ตอนที่ 492 ถูกจับ
เสนาบดีจ้าวเพ่งมองไปบนโต๊ะ ม่านตาหดลงในทันใด
บนโต๊ะที่สะอาด มีคำว่า ‘ลั่ว’ เขียนไว้อย่างชัดเจน
“หรือว่า…” เสนาบดีจ้าวสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขามองไปที่ซุนซื่อหลาง
‘ลั่ว’ คำนี้หมายถึงใคร เสนาบดีจ้าวย่อมรู้
มองดูทั่วทั้งราชสำนัก จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากแม่ทัพใหญ่ลั่วผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน
หรือว่าคดีหายตัวมากมายที่ช่วงนี้หลินเถิงกำลังสืบสวนจะเกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว?
ซุนซื่อหลางไม่รู้เรื่องคดีหายตัว เมื่อเห็นเสนาบดีจ้าวเห็นแล้วก็พูดเสียงเบาว่า “การปฏิบัติภารกิจขององครักษ์จิ่นหลินมิอาจคาดเดา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคำสั่งของเบื้องบนเล่า หากมีคดีอะไรที่ข้องเกี่ยว ข้าขอแนะนำใต้เท้าจ้าวอย่าสืบต่อไปเลย”
เสนาบดีจ้าวได้ยินดังนั้นหนังตาก็กระตุกไม่หยุด
ซุนซื่อหลางคนนี้ ไม่รู้เรื่องอะไรก็เดาว่าเป็นคำสั่งของเบื้องบน หากเขารู้ว่าคดีที่กรมยุติธรรมกำลังสืบคือคดีหายตัวต่อเนื่อง เกรงว่าคงจะเสียใจจนตบปากตนเอง
ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร เสนาบดีจ้าวก็พยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ “ใต้เท้าซุนพูดถูก”
ซุนซื่อหลางเช็ดปาก เรอเสร็จแล้วพูดว่า “วันนี้ขอบคุณใต้เท้าจ้าวที่ดูแล นี่ก็ดึกแล้ว เราแยกย้ายกันเถอะ”
“แยกย้าย แยกย้าย”
เมื่อฟังโค่วเอ๋อร์แจ้งราคา เสนาบดีจ้าวก็กัดฟันบอกให้จดบัญชีไว้ จากนั้นก็ออกจากหอสุราพร้อมซุนซื่อหลาง
ก่อนออกไปเขาเหลียวหลังโดยสัญชาติญาณ เหลือบเห็นลั่วเซิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน
บริเวณโต๊ะคิดเงินแสงค่อนข้างสลัว เด็กสาวในชุดสีขาวถูกแสงสีส้มอบอุ่นปกคลุม ทำให้ใบหน้าที่แต่เดิมเย็นชาของนางอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ดูไปแล้วงดงามราวกับภาพวาด
เสนาบดีจ้าวสายตาลุ่มลึก ถอนหายใจยาวๆ ในใจ
อากาศเย็นๆ ข้างนอกหอสุราทำให้จิตใจสงบลง
หลังจากที่เสนาบดีจ้าวแยกย้ายกับซุนซื่อหลางแล้วก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปทางที่ว่าการกรมยุติธรรม
หลินเถิงเจ้าหมอนั่นติดนิสัยรีบร้อนในการไขคดี รู้ว่าเขานัดซุนซื่อหลางกินข้าวเพื่อหลอกถาม หลินเถิงต้องรอข่าวจากเขาอยู่ที่ศาลาว่าการแน่ๆ
ส่วนแม่ทัพใหญ่ลั่ว…เมื่อคิดถึงคำว่า ‘ลั่ว’ ที่เขียนด้วยน้ำชาบนโต๊ะอาหาร เสนาบดีจ้าวก็อดถอนหายใจไม่ได้
จะว่าไปแล้ว เขาและแม่ทัพใหญ่ลั่วมีมิตรภาพที่ไม่เลว ไม่เช่นนั้นครานั้นแม่ทัพใหญ่ลั่วก็คงไม่ไหว้วานให้เขาไปเป็นหน้าม้าในวันที่หอสุราเปิดร้านวันแรก
ส่วนเหตุผลที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นเป็นเพราะแม่ทัพใหญ่ลั่วมีนิสัยใจคอดี แม้จะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน แต่เวลาทำอะไรมักจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้เสมอ
แน่นอนว่า หลายปีมานี้เรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่น้อยนินทาลับหลังองครักษ์จิ่นหลินก็มีไม่น้อย แต่น้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา พวกเขาเหล่านี้ใครจะสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ บ้างเล่า
เพราะความเข้าใจนี้ เขาจึงมีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าข้องเกี่ยวกับคนเบื้องบนท่านนั้นมากกว่า เช่นนั้นแล้วเขาในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุติธรรมจะทำอย่างไรดี
เสนาบดีจ้าวส่ายศีรษะ นานๆ ทีจะรู้สึกสับสน
ไฟในที่ว่าการกรมยุติธรรมยังคงสว่าง หลินเถิงรอเสนาบดีจ้าวอยู่ตามคาด
เมื่อเห็นเสนาบดีจ้าวเดินเข้ามา หลินเถิงก็ลุกพรวด ใบหน้าที่จริงจังอดไม่ได้ที่จะเผยความสุขเล็กน้อย “ใต้เท้ากลับมาแล้วหรือ”
เสนาบดีจ้าวลอบถอนหายใจ เดินไปหาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ใต้เท้ากินข้าวกับซุนซื่อหลางเสร็จแล้วหรือขอรับ”
“เสร็จแล้ว ซุนซื่อหลางเจ้าคนนี้ ทั้งกินและดื่มอย่างตะกละตะกลาม แต่ปากนี่ปิดแน่นดีเชียว ปัดความรับผิดชอบไปมากับข้าอยู่นั่น” เสนาบดีจ้าวเผยสีหน้าโมโห ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรง
หลินเถิงชะงักเล็กน้อย “ใต้เท้าไม่ได้คำตอบหรือขอรับ”
“ถามแล้วไม่ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์อะไรเลย” เสนาบดีจ้าวมีประสบการณ์เรื่องการโกหกคน การโกหกลูกน้องคนโปรดหัวแข็งคนหนึ่งย่อมไม่รู้สึกกดดันอะไรอยู่แล้ว “หลินเถิงเอ๋ย ข้าคิดว่าเริ่มลงมือจากซุนซื่อหลางน่าจะไม่ได้แล้ว ลองหาทางอื่นเถอะ หากสืบอะไรไม่ได้จริงๆ พยายามเต็มที่ก็พอแล้ว คดีที่ยังไม่คลี่คลายบนโลกใบนี้มีมากถมไป จะไขทุกคดีให้หมดได้อย่างไร หลักการนี้เจ้าก็เข้าใจแต่แรกมิใช่หรือ”
ทางนี้ไม่ได้ ย่อมมีทางอื่น
หลินเถิงอดคิดถึงลั่วเซิงไม่ได้ เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง การพลิกคดีนี้อาจอยู่ที่คุณหนูลั่ว
สตรีที่เกิดวันเวลาเดียวกันจำนวนหนึ่งร้อยหกคน ทางฝั่งเขาจับตาดูได้สิบกว่าคน ที่เหลือคงต้องพึ่งคนของคุณหนูลั่วช่วยแล้ว
ตราบใดที่แนวคิดถูกต้อง คนเบื้องหลังย่อมลงมือกับสตรีหนึ่งในหนึ่งร้อยหกคนแน่นอน จับตาดูสตรีเหล่านี้ให้ดี สักวันต้องจับคนร้ายได้
นี่เป็นวิธีที่โง่เขลาที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพียงแต่ว่าจะเสียเวลาและเสียแรงเท่านั้น
ผ่านไปสองวัน ขอทานน้อยคนหนึ่งก็วิ่งแจ้นไปรายงาน สตรีที่กลุ่มที่พวกเขาจับตาดูถูกบุรุษสองคนลากไปแล้ว!
ตามแผนการที่วางไว้ นางให้ขอทานจับกลุ่มกันกลุ่มละสามคน กลุ่มหนึ่งรับผิดชอบจับตาดูสตรีคนหนึ่ง ทันทีที่มีความเคลื่อนไหว ขอทานคนหนึ่งมารายงาน อีกคนหนึ่งรอที่เดิมคอยส่งข่าว ส่วนอีกคนหนึ่งแอบตามไปเพื่อไม่ให้คลาดสายตา
ลั่วเซิงทราบข่าวแล้วก็มองไปนอกหน้าต่างโดยสัญชาติญาณ
ถึงแม้ว่าบัดนี้ความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิยังไม่คลายลง แต่ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลินอกหน้าต่างก็สว่างสดใสยิ่งนัก
กลางวันแสกๆ ก็กล้าลงมือ จะบอกว่าสติฟั่นเฟือนก็ไม่เกินจริง
นางรีบสั่งสองพี่น้องสือเยี่ยนตามขอทานไปช่วยคนทันทีและส่งคนไปส่งข่าวให้หลินเถิง
ภายใต้การรอคอยที่ร้อนใจ ผู้ที่เร่งเดินทางมาถึงก่อนคือหลินเถิง
หลินเถิงพาลูกน้องจำนวนหนึ่งมา เมื่อเข้าไปก็ถามอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูลั่ว เกิดเรื่องที่ไหน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
ลั่วเซิงสีหน้ายังคงสงบ “ใต้เท้าหลินใจเย็นๆ ก่อน ข้าส่งคนไปช่วยแล้ว”
หลินเถิงจะเย็นได้ที่ไหน เขายืนกรานว่า “เพิ่มอีกคนย่อมปลอดภัยกว่า”
“เกิดเรื่องในตรอกแห่งหนึ่งในถนนซงจื่อ ส่วนตอนนี้ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ หากใต้เท้าหลินร้อนใจอยากไปดูก็ได้ แต่ว่าคนที่ไปช่วยคือสองพี่น้องสือเยี่ยน ข้าคิดว่าด้วยความสามารถของพวกเขาน่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด”
ทันทีที่หลินเถิงได้ยินว่าคือสองพี่น้องสือเยี่ยน หัวใจที่แขวนอยู่บนหน้าผาก็ลดลงครึ่งหนึ่ง ทว่านี่คือหน้าที่ของเขา เขาจึงพาคนจากไปอย่างเร่งรีบ
ลั่วเซิงมองแผ่นหลังที่หายไปจากหน้าประตูหอสุรา ก้มหน้าจิบชาคำหนึ่ง
เพิ่งดื่มชาไปครึ่งจอก หลินเถิงก็กลับมาอีกครั้ง
ผู้ที่กลับมาพร้อมเขายังมีสือเยี่ยน
ลั่วเซิงยังไม่ทันเอ่ยปากถาม สือเยี่ยนก็พูดขึ้นว่า “ระหว่างทางที่ข้ากลับมาเจอใต้เท้าหลินพอดีก็เลยกลับมาด้วยกันขอรับ คุณหนูโปรดวางใจ สตรีนางนั้นถูกลูกน้องจำนวนหนึ่งของใต้เท้าหลินส่งกลับเรือนแล้ว”
ลั่วเซิงมองหลินเถิง
หลินเถิงพยักหน้าเบาๆ “สตรีชื่อเสียนเหนียง เป็นภรรยาของพ่อค้าเร่คนหนึ่ง เนื่องจากวันนี้พ่อค้าเร่ไม่สบาย นางจึงออกมาส่งของแทนเขา คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่อง ข้าคิดว่าเป้าหมายของคนเหล่านั้นคือสตรีที่เกิดวันเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว สตรีรู้มากไปกลับไม่ดีต่อนางจึงส่งนางกลับไปก่อนแล้ว”
“ใต้เท้าหลินทำดีแล้ว” ลั่วเซิงหันไปถามสือเยี่ยน “คนสองคนที่ลงมือกับสตรีนางนั้นเล่า”
“ครานั้นข้ารับผิดชอบพาสตรีไป สืออี้ไปไล่ตามสองคนนั้น ท่านวางใจ ด้วยฝีมือของน้องสี่ข้า สองคนนั้นหนีไม่ได้หรอก”
เป็นดั่งที่สือเยี่ยนพูด ไม่นานสืออี้ก็จับตัวทั้งสองคนกลับมาหอสุราและเข้ามาทางประตูหลัง