บทที่ 1205 ตอนพิเศษ (78.2)
ลู่จื่ออวิ๋นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ชูอี “…”
เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นนางสะดุดก็เจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดเพียงอยากจะกอดนางปลอบโยนนางให้สบายใจ แล้วค่อยหาที่ที่ปลอดภัยวางนางลง
“ข้า…”
“ข้าเจ็บเท้า” ลู่จื่ออวิ๋นกอดคอเขา “เดินไม่ได้แล้ว”
ในเมื่ออุ้มขึ้นมาแล้ว คิดจะวางนางลงย่อมไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
ชูอีได้กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยออกมาจากร่างบาง
เขากอดนางแน่นขึ้นแล้วเดินออกไป
ไป๋จื่อกับติงเซียงกำลังถือจอบกับเสียมออกมาพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ ทั้งสองคนก็มองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงปลีกตัวออกไปอย่างเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
“คุณชายชูอี ข้ากับน้องสาวจะออกไปจัดการแปลงผัก เช่นนั้นพวกเรารบกวนท่านดูแลเจ้านายแล้ว”
“ใช่แล้ว แปลงผักมีวัชพืชมากเกินไปทำให้ผักรสชาติไม่ดี เช่นนั้นพวกเราไปแล้วนะเจ้าคะ”
ชูอีอุ้มลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปในบ้าน
บ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เดิมเป็นบ้านเก่าที่ซื้อมาจากหมู่บ้าน ดังนั้นเครื่องเรือนจึงเก่ามากเช่นกัน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น สตรีขยันขันแข็งทั้งสามคนก็ยังคงจัดบ้านเสียหรูหรา
“ห้องท่านอยู่ที่ใด?”
“ทางนั้น…” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่ห้องข้าง ๆ
ชูอีอุ้มนางเดินเข้าไปในห้อง
ทันทีที่เข้ามาในห้องก็เห็นดอกไม้ในแจกัน
เป็นดอกไม้ป่าดอกหนึ่ง มีเพียงก้านเดียว กิ่งไม้ที่ตายแล้วประกบอยู่ด้วยกัน ดูแล้วค่อนข้างมีเอกลักษณ์ทีเดียว
เขาวางลู่จื่ออวิ๋นลงบนเตียง
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นชูอีกำลังจะไปก็คว้าชายเสื้อเขาไว้
ชูอีหันกลับมามองนางแล้วเอ่ย “ข้าจะหายาให้ท่าน ท่านไม่ได้เท้าแพลงหรือ?”
“ที่บ้านไม่มียา” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ช่างเถิด พักสักสองสามวันคงไม่เป็นอะไรแล้ว”
“มีสุราหรือไม่?”
“มี”
“อยู่ที่ใด?”
ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่มุมห้อง
ชูอีไปหยิบสุรามา จากนั้นก็นั่งลงแล้วถอดรองเท้ากับถุงเท้าของนางออก
“ชูอี ท่านทำอะไร?”
ชูอีมองเท้าเล็ก ๆ กลมมน แก้มเขาพลันแดงเรื่อขึ้นมา
เหตุใดเท้าเล็ก ๆ นั่นถึงได้น่ารักเพียงนี้?
เท้าของสตรีเป็นเช่นนี้ทุกคนหรือ?
ไม่ ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นเท้าของสตรีอื่น แต่ก็แน่ใจว่าเท้าสตรีอื่นจักต้องไม่น่ามองเท่านางเป็นแน่ ไม่ว่าจะใบหน้าหรือเท้า นางล้วนเป็นผลผลิตเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
สตรีผู้นี้…
สวรรค์ส่งมาเพื่อทดสอบเหล่าบุรุษจริง ๆ
“ซี้ด…” ลู่จื่ออวิ๋นตีมือเขาแล้วเอ่ยอย่างเคือง ๆ “เจ็บ”
ชูอีมองเท้าที่บวมแดงเล็กน้อย ความเจ็บปวดฉายขึ้นในแววตาแวบหนึ่ง
เท้าที่น่ามองบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ข้าจะเบามือ…”
การเคลื่อนไหวของชูอีเบาลงจริงๆ
ลู่จื่ออวิ๋นมองใบหน้าชูอีแล้วเอ่ย “ข้ามียาขวดหนึ่ง สามารถลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าท่านได้”
มือของชูอีหยุดชะงัก
เขาหลุบตาลง แสงเย็นเยือกแวบผ่านแววตาเขา
“ไม่ต้อง”
“เช่นนั้นก็ลืมไปเถิด ท่านไม่ต้องการก็ช่างมัน”
ชูอีเงยหน้าขึ้นมองนาง “หน้าตาข้าอัปลักษณ์กระมัง?”
ลู่จื่ออวิ๋นมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านใส่ใจด้วยหรือ?”
หากสนใจคงไม่ปฏิเสธน้ำใจนาง ในเมื่อปฏิเสธแล้ว แปลว่าคงไม่ใส่ใจกระมัง! เช่นนั้นตอนนี้เหตุใดต้องถามนางอย่างนั้นเล่า?
“ไม่ใส่ใจ”
“ตราบใดที่ท่านไม่ใส่ใจ ผู้อื่นคิดอย่างไรมีอะไรสำคัญ?”
ชูอีนวดเท้าให้นาง
นิ้วมือร้อนลวกราวกับมีเปลวเพลิงกำลังโลดแล่นไปมา
จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอิสตรี นี่ไม่ใช่สตรีผู้หนึ่ง เดิมทีก็เป็นคนงามที่ทำจากดอกไม้ เขาคิดแม้กระทั่งว่า นางอาจจะเป็นเซียนบุปผาจากสวรรค์ชั้นฟ้าจุติลงมายังโลกมนุษย์ ถึงได้งดงามทั้งยังมีกลิ่นกายหอมเพียงนี้
“ชูอี ที่แท้ท่านกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?” ลู่จื่ออวิ๋นยกนิ้วขึ้นเชยคางให้เขาเงยหน้าขึ้นมา
ชูอี “…”
การกระทำนี้เหลวไหลยิ่ง ปกติแล้วมักจะเป็นชายมักมากใช้ยามหยอกล้อสตรี นางกลับดีนัก ไม่ทำตามกฎเกณฑ์แม้แต่น้อย ถึงขั้นใช้ท่าทางเช่นนี้กับบุรุษผู้หนึ่ง สิ่งที่น่าเกลียดชังที่สุดคือ หัวใจเขากลับเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาเสียได้
“ได้ยินว่าท่านความจำเสื่อม” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามเขา “ท่านจำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อยเลยหรือ? อย่างเช่นว่าก่อนจะสูญเสียความทรงจำเคยแต่งงานหรือไม่ เคยมีลูกหรือไม่…”
“ไม่มี” ชูอีกล่าวอย่างหนักแน่น
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
นางกำมือแน่น ลังเลว่าจะเปิดหัวกะโหลกของเขาหรือว่าจะทิ่มลูกตาเขาให้ตาบอดดี
ไม่มีหรือ?
เหตุใดถึงแน่ใจว่าไม่มี?
เขาไม่แม้กระทั่งคิดถึงความเป็นไปได้นี้ด้วยซ้ำ เพียงแค่ปิดกั้นทุกหนทาง
“ท่านสูญเสียความทรงจำ เรื่องก่อนหน้านี้ล้วนจำไม่ได้ จักรับรองได้อย่างไรว่าไม่มี? ไม่แน่ว่าท่านไม่เพียงแต่มีภรรยาเท่านั้น แต่อาจยังมีอนุน้อย ๆ อีกหลายห้อง มีลูกอีกสิบถึงยี่สิบคน” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ
ชูอีรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันใด
เขาไม่ชอบการคาดเดาเช่นนี้
เขาไม่ชอบสตรีที่มีมากเกินไป
ถึงแม้เขาจะสูญเสียความทรงจำ ทว่าสัญชาตญาณบอกว่า เขาจักต้องไม่ใช่บุรุษมักมากอย่างแน่นอน
“ช่างเถิด เรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าจะพูดคุยเรื่องเหล่านี้อยู่ไย?” ลู่จื่ออวิ๋นชักเท้ากลับคืน “ขอบคุณท่านที่ส่งข้ากลับมา เท้าข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“ในเมื่อท่านมาที่นี่เพื่อผ่อนคลายก็ควรต้องจากไปกระมัง?”
“อืม”
“เช่นนั้น ท่านจะจากไปยามใด?”
ลู่จื่ออวิ๋นถลึงตามองเขา ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เขากระตือรือร้นที่จะไล่นางไปเพียงนี้ต้องไม่ชอบนางเพียงใดกัน? การมีอยู่ของนางต่อเขาที่สูญเสียความทรงจำเป็นปัญหามากเลยหรือ?
“พรุ่งนี้! พรุ่งนี้จะไป แค่นี้ก็ได้แล้วกระมัง?” ลู่จื่ออวิ๋นยกเท้าขึ้นเตะเขาน้อย ๆ “ไป ๆ ๆ ข้าต้องพักผ่อนแล้ว”
การเตะนั้นไม่ได้ใช้แรง แทนที่จะกล่าวว่าเป็นการไล่เขาออกไปยังไม่สู้บอกว่าเป็นการหยอกเอินเขาจะเหมาะกว่า
ความโศกเศร้าแวบขึ้นมาในแววตาของชูอี
เมื่อครู่นี้นางยังอยู่ดี ๆ เหตุใดบอกว่าจะทะเลาะก็ทะเลาะแล้วเล่า? นางบอกว่าพรุ่งนี้นางจะไป นี่เป็นความจริงหรือ?
ชูอีกลับมาที่บ้านของตน
ป้าหลินได้ยินเสียงฝีเท้าจึงตะโกนไปทางประตู “ชูอี นั่นเจ้าหรือ?”
“ข้าเองขอรับ” ชูอีขานรับ “ท่านแม่ วันนี้แดดแรงยิ่งนัก ท่านอย่าได้ออกมาตากแดดนะขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” ป้าหลินกล่าว “ข้าอยู่ที่นี่เช่นนี้มาหลายปีแล้ว ชูอี ข้าได้ยินเสียงเจ้า ฟังดูไม่กระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย เจ้าเหนื่อยแล้วหรือ?”
“ไม่ได้ขอรับ” ชูอีเอ่ย “ท่านแม่ ท่านเป็นม่ายตั้งแต่ยังเยาว์ ท่านไม่เคยคิดจะแต่งงานกับบุรุษอื่นเลยหรือขอรับ?”
ป้าหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนั้นมีคนมาสู่ขอเยอะแยะจริง ๆ ขอเพียงพยักหน้าก็หาชายอื่นได้ง่าย ๆ เพียงแต่ชายคนที่สองจะดีได้เท่าชายคนแรกที่แต่งงานกันได้อย่างไร? สามีภรรยาย่อมต้องเป็นสามีภรรยาผูกผม เช่นนี้ถึงจะทุ่มเททั้งใจ”
“หากบุรุษผู้นั้นเป็นคนดีมาก ไม่สนใจว่าท่านจะพาลูกมาด้วย เช่นนั้นแต่งไปแล้วคงมีความสุขกระมัง?”
“เช่นนั้นข้าถามเจ้า หลังจากแต่งงานจะอยากมีลูกของตนเองหรือไม่ หากมีแล้ว ลูกติดจะเป็นอย่างไร? จะถูกทอดทิ้งให้เหน็บหนาวหรือไม่ หากไม่มีลูกของตนเอง หลังแต่งงานแล้วชายผู้นั้นจะมีความสุขหรือไม่?”
“หากเขารู้สึกว่าจะมีลูกของตนหรือไม่ไม่สำคัญและจะปฏิบัติต่อลูกของท่านเป็นดั่งเลือดเนื้อเชื้อไขตน บุรุษเช่นนี้ท่านยินดีแต่งด้วยหรือไม่?” ชูอีเอ่ย
ป้าหลินนิ่งเงียบไป
จู่ ๆ นางก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าต้องตาสาวน้อยข้างบ้านผู้นั้นใช่หรือไม่?”