บทที่ 1206 ตอนพิเศษ (79.1)
ป้าหลินยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เงื่อนไขเหล่านี้สอดคล้องกับสาวน้อยข้างบ้านผู้นั้น นี่จักต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นางถามชูอีอย่างไม่แน่ใจ เมื่อไม่ได้ยินคำตอบของเขา นี่จึงยืนยันการคาดเดาของนางแล้วจริง ๆ
“เจ้าชอบพอสาวน้อยผู้นั้นหรือ?”
“ท่านแม่ ข้าจะประคองท่านนั่ง ท่านนั่งพักประเดี๋ยว ข้าจะไปตักน้ำ”
“ช้าก่อน…” ป้าหลินตะโกนเรียกชูอี ทว่าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไปเรื่อย ๆ จึงรู้ว่าเขาจากไปด้วยความเขินอายแล้ว “เจ้าเด็กคนนี้…”
เพียงแต่ เมื่อรู้ว่าเขามีคนที่ชอบพอก็จัดการได้ง่ายแล้ว เพียงแค่ต้องรู้ว่าสาวน้อยผู้นั้นมีความตั้งใจจะแต่งงานใหม่หรือไม่ หากไม่มี เจ้าเด็กคนนั้นเกรงว่าจะต้องน้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะอยู่ด้วยกันมานาน หญิงชราไม่เพียงแต่รู้จักเขาดีเท่านั้น แต่ยังรู้ด้วยว่าเขามีนิสัยบางอย่าง อย่างเช่นว่า เขาค่อนข้างดื้อรั้น ขอเพียงเขาเชื่อมั่นแล้ว แม้แต่ม้าแปดตัวยังฉุดกลับมาไม่ได้
“ท่านป้า ท่านมาได้อย่างไร?” ติงเซียงเห็นป้าหลินยืนค้ำไม้ค้ำอยู่ที่ประตูบ้านจึงรีบเข้าไปประคอง
“ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากแม่นางสักอย่าง” ป้าหลินกล่าว “เสื้อผ้าของข้าขาดแล้ว เจ้าก็รู้ หญิงชราตาบอดอย่างข้าทำงานเย็บปักถักร้อยไม่ได้ ทำได้เพียงรบกวนแม่นางช่วยเหลือแล้ว”
“ท่านป้าอย่าได้กล่าวเช่นนั้น พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันก็ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” ติงเซียงช่วยประคองป้าหลินเข้ามาในบ้าน “ข้าจะช่วยพาท่านไปนั่งพักประเดี๋ยว”
ป้าหลินเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของผู้อื่นจึงเอ่ยถาม “คนอื่น ๆ อีกสองคนเล่า?”
“คุณหนูบ้านเราออกไปเดินเล่นแล้วเจ้าค่ะ ส่วนไป๋จื่อบอกว่าที่บ้านไม่มีผักจึงออกไปเก็บผัก” ติงเซียงค่อย ๆ ให้ป้าหลินนั่งลงแล้วจึงไปหยิบตะกร้าเย็บผ้าจากข้างในออกมาเย็บปะให้ป้าหลิน “ท่านป้า อากาศร้อนเพียงนี้ ท่านอย่าได้ออกไปเดินเล่นที่ใดเลย หากภายหน้ามีเรื่องเช่นนี้ เพียงแค่ตะโกนมาทางข้างบ้าน หากพวกเราอยู่ที่บ้านก็จะไปหา”
“พวกเจ้าเป็นหญิงสาวที่ใจดีจริง ๆ หลายปีมานี้ ผู้คนในหมู่บ้านไม่ค่อยพูดคุยกับข้านักเพราะกังวลว่าโชคร้ายของข้าจะไปกระทบโชคลาภของผู้อื่น เพียงแต่ไม่โทษพวกเขา ผู้ใดให้ข้าชะตาอาภัพเล่า?” ป้าหลินเอ่ย “โชคดีสวรรค์ยังเมตตาให้ข้าได้พบกับชูอี จริงสิ แม่นาง คุณหนูบ้านพวกเจ้าเล่า? ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเจ้าเคยเอ่ยถึงเด็กทั้งสอง ตอนนี้อยู่ที่บ้านพ่อเขา มีคนคอยดูแล ข้าก็คิดว่าเด็ก ๆ ยังเล็ก เกรงว่าจะไม่อยากจากแม่ เช่นนั้นคุณหนูพวกเจ้าไว้วางใจให้พ่อแม่สามีดูแลได้อย่างไร หรือว่านางไม่คิดถึงลูกแล้ว?”
“จะไม่คิดถึงได้อย่างไร? นั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณหนูเรากับท่านเขย คุณหนูรักพวกเขายิ่งกว่าอะไรดี เพียงแต่คุณชายกับคุณหนูเติบใหญ่ รู้ความแล้ว พวกเขามักจะเขียนจดหมายถึงมารดา คุณหนูของข้าก็เพิ่งเขียนจดหมายตอบหนึ่งฉบับกำลังคิดว่าจะเข้าเมืองไปส่งข่าวคราว”
“ถึงแม้ข้าจะมองไม่เห็นเจ้า แต่ได้ยินว่าคุณหนูพวกเจ้าหน้าตาสะสวยทั้งยังมีกลิ่นกายหอม เป็นคำนี้กระมัง? ก่อนหน้านี้เคยเดินผ่านโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง นักเล่าเรื่องที่นั่นล้วนกล่าวเช่นนี้”
“ใช่เจ้าค่ะ” ติงเซียงหัวเราะออกมาดัง ๆ
หญิงชราผู้นี้น่าสนใจจริง ๆ
ป้าหลินบีบมือตนแล้วเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “คุณหนูพวกเจ้าเคยคิดจะมองหาบุรุษอื่นหรือไม่? นางยังเยาว์วัยเพียงนั้น หน้าตาก็ดูเหมือนบุปผา หากมีความคิดนี้ ข้าจะเตรียมการให้นางทันที”
“นี่…” ติงเซียงนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ที่แท้เย็บปะเสื้อเป็นเรื่องเท็จ สอบถามข้อมูลจึงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ หญิงชราต้องการทราบเองหรือเพื่อชูอี?
คงเป็นความคิดของตนเอง หากเป็นชูอี เขาคงไม่ยอมให้แม่เฒ่าเดินทางมาที่นี่อย่างแน่นอน
“ท่านป้า เรื่องของเจ้านาย เราที่เป็นบ่าวจักถามไปเรื่อยได้อย่างไร?” ติงเซียงปัดออกไป “เอาละ ปะเรียบร้อยแล้ว ท่านป้ามาลองคลำดูเถิด”
ป้าหลินสัมผัสรอยตะเข็บแล้วเอ่ย “ฝีมือดีจริงเชียว!”
“ท่านเยินยอข้าแล้ว”
“เจ้าพูดคุยเรื่องแต่งงานหรือยัง?” ป้าหลินกล่าว “เจ้าว่าลูกชายข้าเป็นอย่างไร?”
ติงเซียงกำลังเก็บตะกร้าเย็บผ้า เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านป้าหลินเอ่ยก็รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที
ชูอี? ท่านเขยน่ะหรือ? สวรรค์! แม่เฒ่า ได้โปรดอย่าพูดจาเหลวไหล ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสองสามปี!
“แม่เฒ่า ท่านไม่ต้องเอ่ยแล้ว” ติงเซียงเอ่ย “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่ไปกับท่านแล้ว”
ป้าหลินผิดหวังเล็กน้อย
นางสอบถามสิ่งใดไม่ได้เลย
เมื่อครู่ถามติงเซียงก็เพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ในเมื่อชูอีสนใจฮูหยินลู่ เช่นนั้นยังคงเริ่มที่ฮูหยินลู่ทางนั้นเถิด
ในตอนที่ชูอีกลับมาก็พบว่าหญิงชรามีสีหน้าหดหู่ใจ
เมื่อเขาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ตักน้ำไปใส่มือหญิงชรา
“ข้าไม่ดื่มน้ำ” ป้าหลินกล่าว “พรุ่งนี้ฮูหยินลู่ข้างบ้านผู้นั้นจะเข้าเมืองไปส่งจดหมายให้ลูก คนบอบบางเช่นนั้นนั่งเกวียนไปกับผู้อื่นเกรงว่าจะไม่เหมาะสม เจ้าหาทางไปส่งนางเถิด”
“หากข้าบุ่มบ่ามไปส่งนางเข้าเมืองจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง”
“นางยังมีสาวใช้อีกสองคน ไม่ต้องให้พวกเจ้าอยู่เพียงลำพัง มีอะไรต้องกังวล? ข้าไม่เชื่อว่าคนในหมู่บ้านจะปากยื่นปากยาวเพียงนั้น นินทาว่าร้ายผู้อื่นโดยไร้เหตุผล”
บ้านข้าง ๆ ติงเซียงกำลังพูดคุยเรื่องลู่จื่ออวิ๋นจะเข้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ไป๋จื่อเอ่ยว่า “ข้าหารถม้าไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมารับพวกเราเข้าเมือง”
“รถม้ามาจากที่ใด?”
“หากอยากซื้อก็ซื้อได้ เพียงแต่ลานบ้านนี้เล็กเกินไป เลี้ยงม้าไม่สะดวก” ติงเซียงกล่าว
การเลี้ยงม้าไม่ใช่เพียงแค่ดูแลให้อาหารมันอย่างดีเท่านั้น แต่ยังต้องทำความสะอาดให้มันด้วย หากไม่ได้ทำความสะอาดให้ดี ลานทั้งลานจะมีกลิ่นมูลม้า สตรีทั้งสามไม่มีผู้ใดทนรับความสกปรกเช่นนี้ได้
ดังนั้น ไป๋จื่อจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งเพื่อรับส่งพวกนางในยามจำเป็นเท่านั้น ปกติไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องกังวล
เช้าตรู่วันถัดมา มีเสียงดังเข้ามาจากข้างนอก
ไป๋จื่อเตรียมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ขณะกำลังจะกินก็ได้ยินเสียงจึงเอ่ยขึ้น “นี่เช้าเกินไปแล้วกระมัง? ข้ากำชับสารถีผู้นั้นไว้แล้ว ว่ากันตามเหตุผลเขาไม่ควรมาเช้าถึงเพียงนี้”
“ข้าจะไปดู” ติงเซียงเอ่ย
ไม่นานนัก ติงเซียงก็กลับเข้ามา
นางแสดงสีหน้าแปลกประหลาด
“มีอะไรหรือ?” ไป๋จื่อเอ่ยถาม
ติงเซียงชี้ไปที่ประตูลานบ้าน “ไม่ใช่สารถีแต่เป็นชูอีที่อยู่ข้างนอก เขาขับเกวียนมา”
“เขาก็จะเข้าเมืองหรือ?” ไป๋จื่อกล่าว “เช่นนั้นเจ้าให้เขานำเกวียนไปคืน อีกประเดี๋ยวนั่งรถม้าเข้าเมืองไปพร้อมเราก็ได้แล้ว”
“ไม่ใช่ เขาขับเกวียนมารับคุณหนู” ติงเซียงหัวเราะออกมา “เขายังบอกอีกว่าทางเข้าเมืองไกลเล็กน้อย คุณหนูร่างกายบอบบาง เดินไกลเพียงนั้นไม่ไหว เอาเกวียนไปจะดีกว่า”
ลู่จื่ออวิ๋นมองออกไปข้างนอกแล้วเอ่ย “เช้าเช่นนี้คงยังไม่ทันกินข้าวเช้ากระมัง พวกเจ้าเชิญเขาเข้ามาทานข้าวก่อนไปเถอะ”
“เช่นนั้นรถม้าเล่าเจ้าคะ?”
“ประเดี๋ยวบอกสารถีว่าวันนี้ไม่ใช้แล้ว ส่วนเงินจะจ่ายให้”
ติงเซียงกับไป๋จื่อมองหน้ากัน
ทั้งสองไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ลู่จื่ออวิ๋นตัดสินใจเช่นนี้ อย่างไรนางก็รั้งอยู่ที่นี่เพื่อท่านเขย ท่านเขยเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหานางอย่างหาได้ยาก อย่างไรคุณหนูก็ไม่มีทางผลักไสเขาออกไป
ชูอีขับเกวียนมาจอดอยู่ด้านนอก