ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 801 นอนหลับ

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 801 นอนหลับ

“อันที่จริง ผมเองก็รู้ว่าครั้งนี้คุณหนีไปไหนไม่รอด เราดั้นด้นมาไกลขนาดนี้ก็เพื่อคุณโดยเฉพาะ”

โจวเจ๋อมองเงาดำ และคลำเอาบุหรี่มาจุดอีกมวน “ไม่ว่าจะอยู่ในจุดยืนของเขาหรือว่าอยู่ในจุดยืนของผม จะให้คุณหนีไปก็ล้วนไม่สมเหตุสมผล และไม่มีทางเลือกทำแบบนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด แต่เป็นพวกเราต้องการ และคุณก็เป็นความต้องการของพวกเรา แต่ผมรับปากคุณได้เรื่องหนึ่ง หากมีโอกาสละก็ ผมให้โอกาสคุณได้ ให้โอกาสคุณได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

คุณอยู่ในส่วนลึกจิตวิญญาณของผม ไม่สิ อยู่ในส่วนลึกจิตวิญญาณของเขาต่างหาก มีตราประทับจิตวิญญาณอยู่ หลังเข้ามาทุกครั้ง ตราประทับจิตวิญญาณนั้นก็เหมือนการชาร์จแบตเตอรี่ ทั้งยังสามารถโลดแล่นได้ถึงสองสามครั้ง”

“ตอนแรกแม้แต่เขาข้าก็ไม่เชื่อด้วยซ้ำ แล้วจะให้ข้าเชื่อเจ้าหรือ” เงาดำย้อนถามกลับไปตรงๆ

“ผมก็แค่พูดๆ ไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วตัวผมเองก็ยังไม่เชื่อว่าผมจะทำตามคำสัญญานี้สำเร็จหรือเปล่าด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันนะ”

“พล่ามเรื่องไร้สาระพวกนี้จะมีความหมายอะไร”

“อย่างน้อยๆ ตอนที่ผมกลืนคุณจะรู้สึกผิดน้อยลงนิดหนึ่ง ถึงยังไงเมื่อกี้คุณก็ช่วยผมนี่ แต่ก็เหมือนกับที่คุณพูดนั่นแหละ ถึงเนื้อจะเปื่อยก็เปื่อยในหม้อของตัวเอง ผมคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดี”

“ข้าเชื่อในคำพูดนี้ แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อในสัญญาของเจ้าอยู่ดี”

“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า

เงาดำเริ่มหลอมละลายอย่างช้าๆ จนกลายเป็นแอ่งของเหลวที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะเดียวกันก็ตะโกนบอก “อ้าปาก…”

โจวเจ๋ออ้าปาก เงาดำจมดิ่งเข้าไปในนั้น ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนดื่มน้ำ ความรู้สึกนี้คล้ายกับการดูดบุหรี่ เพียงแต่บุหรี่คำนี้พ่นออกมาไม่ได้ ทำเอาเถ้าแก่โจวสำลักและเริ่มไอโขลกๆ

“เถ้าแก่…” อิงอิงช่วยตบแผ่นหลังของโจวเจ๋อเบาๆ

ผ่านไปสักพัก โจวเจ๋อถึงได้สงบลง และส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว”

ในเมื่อคนผู้นั้นเข้าไปแล้ว โจวเจ๋อก็เชื่อว่าจิตสำนึกของเจ้าใบหน้าครึ่งหนึ่งจะค่อยๆ สลายไปด้วยตัวเอง จงรู้ไว้ว่า ในร่างเขาในเวลานี้มีเจ้าโง่กับเขาไท่ซานปกป้องเอาไว้อยู่ หากเจ้าใบหน้าครึ่งหนึ่งจะเล่นตุกติกใช้กลยุทธิ์ลอบตีเฉินชาง[1] อะไรพรรค์นั้นเป็นไม่ได้เลย

เป้าหมายหลักและเป้าหมายใหญ่ที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมาอย่างกะทันหันล้วนจัดการเสร็จสิ้นแล้ว

เบื้องล่างนั้น

สายตาของโจวเจ๋อมองไปทางมุมที่อยู่ไกลๆ เด็กชายลากเจ้าแมวการ์ฟิลด์เดินเข้ามาหา

‘พลั่ก!’

เด็กชายโยนแมวการฟิลด์มาด้านหน้าโจวเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าขาของมันหักไปข้างหนึ่ง เวลานี้เอาแต่หมอบคลานร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้น และมองโจวเจ๋อด้วยดวงตากลมโตแวววาวไปด้วยหยาดน้ำตา

มันรู้ว่าความเป็นความตายของมันขึ้นอยู่กับความคิดของชายตรงหน้าคนนี้ แม้กระทั่งตัวมันเองยังรู้สึกเหมือนมันมาถึงทางตันจริงๆ แล้ว

ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนทุบตีไปเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆ ผลคือตัวเองคิดจะทรยศก็ทรยศ ทรยศได้ไม่นานนัก ลูกพี่ก็โดนสยบไปเสียแล้ว เตียวโง่ตัวนี้ก็รู้สึกขมขื่นในใจเช่นกัน

โจวเจ๋อยกเท้าขึ้น แววตาของฮวาหูเตียวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถ้ามันสวดเป็นก็เดาว่าคงจะสวดคาถาจุติสุขาวดีให้ตัวเองในใจ

‘พลั่ก!’

โจวเจ๋อเตะฮวาหูเตียวลอยกระเด็นไปด้านหน้าเด็กชาย และถูกเด็กชายจับตรึงเอาไว้

“ให้คุณจัดการแล้วกัน ฆ่าแล้วตุ๋นเนื้อก็ได้”

เด็กชายพยักหน้ารับ ก่อนหน้านี้ เขาหักขาเจ้าฮวาหูเตียวไปข้างหนึ่งเองโดยพลการ จริงๆ แล้วมันเป็นลักษณะของการอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างหนึ่ง ขาน่ะ รักษามันหน่อยก็ยังฟื้นฟูได้ แต่หากสูญเสียชีวิตไปก็จะไม่มีวันกลับมาได้อีก

โจวเจ๋อชอบโยนปัจจัยที่ไม่แน่นอนออกไปเสมอ ก็เหมือนกับปาระเบิดใส่คนข้างๆ แล้วรู้สึกว่าไม่กระทบถึงความปลอดภัยของตัวเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเขาโยนสมุดหยินหยางให้เจ้าลิงเป็นของเล่น และตอนนี้เขาก็เตะฮวาหูเตียวให้เด็กชายเลี้ยงดู จะทิ้งก็เสียดาย จะใช้ก็ขี้เกียจ กลัวทิ่มมือตัวเอง เผือกที่เสี่ยงลวกมือนี่ให้คนในจัดการจะดีกว่า

“ไปกันเถอะ มันจบหมดแล้ว”

โจวเจ๋อและอิงอิงพยุงกันและกันเดินไปที่ทางเดิน

ด้านหลังนั้น เด็กชายเอาหางฮวาหูเตียวพันไว้รอบคอตัวเอง คล้ายกับสวมใส่ผ้าพันคอขนมิงค์ให้ตัวเอง ขณะเดียวกันก็แบกทนายอันพาดไว้บนไหล่ของเขา

หลายคนเบียดเสียดกันอยู่ในรถตู้ไฟฟ้ายี่ห้ออู่หลิงหงกวงของทนายอันจนอัดแน่น ข้างนอกยังเหลืออีกตั้งสองสามคน แต่โชคดีที่ต่างก็แข็งแกร่งมาก พอถูกลมภูเขาจึงไม่พากันแข็งตาย

โจวเจ๋อถอนหายใจอย่างจนปัญญา และชี้นิ้วไปทางเด็กชายที่อยู่ด้านหลังพร้อมเอ่ยว่า “หาอ่างน้ำเย็นแล้วปลุกเขาตื่นหน่อย ให้เขาส่งพัสดุด่วนกลุ่มนี้ออกไปก่อน”

“…” ทนายอันที่หมดสติ

หลังจากวุ่นวายกันไปพอสมควร เมื่อลงจากเขาชิงเฉิงพร้อมเช็กอินเข้าพักที่โรงแรมก็เกือบจะรุ่งสางแล้ว

พอเข้าห้องพักไป โจวเจ๋อก็อาบน้ำ จากนั้นก็เข้านอนทันทีโดยไม่สนใจเรื่องการกิน อิงอิงก็รีบอาบน้ำ เช็ดตัวให้แห้ง และมุดตัวเข้าผ้าห่ม ไม่มีเธอเถ้าแก่นอนไม่หลับ

รอจนถึงตอนกลางวัน โจวเจ๋อถึงได้ตื่นนอน บอกตามตรงว่าเมื่อคืนนอนไม่สบายตัวเท่าไร มีเสียง ‘อื้ออึง’ อยู่ในหัวตลอด และเอาแต่ฝันถึงเหตุการณ์บางอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

นี่น่าจะเกิดจากการทับซ้อนหลายชั้นของความทรงจำและประสบการณ์ละมั้ง และไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะคงอยู่อีกนานแค่ไหน มันกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับที่ตัวเขาให้ความสำคัญมาโดยตลอดอย่างยิ่ง

เถ้าแก่โจวนึกเสียใจเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้โลภจะใช้ประโยชน์สิ่งนี้กันนะ เมื่อวานให้เจ้าโง่กลืนเจ้าใบหน้าครึ่งหนึ่งนั่นไปก็สิ้นเรื่องแล้วนี่นา แต่จะเอาเรื่องนี้ไปบ่นกระปอดกระแปดก็จะดูเหมือนว่าตัวเองได้ผลประโยชน์แล้วยังทำเป็นขาดทุน

เมื่อเปิดหน้าต่างโรงแรม ไกลออกไป จะมองเห็นภูเขาหมอกหนาหลายลูกยาวเป็นทอด ช่วยให้ผู้คนเกิดท่วงทำนองทางความคิดที่เงียบสงบสุดลูกหูลูกตา

เมืองเล็กๆ ริมหรงเฉิงแห่งนี้ มีความน่าอยู่กว่าเมืองหรงเฉิงเป็นไหนๆ เพียงแต่ว่าผู้คนมากมายยังคงแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าโอกาส สิ่งที่เรียกว่าการศึกษาของลูก สิ่งที่เรียกว่าหน้าตาทางสังคม และอื่นๆ แล้วยัดกันลงไปในเครื่องปั่นเนื้อมนุษย์ที่เรียกว่า ‘เมืองใหญ่’ แห่งนี้ต่อไป พร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา

เมื่อวาน เจ้าโง่บอกจะถอยก็ถอยไปเลย โจวเจ๋อก็ไม่กล้าถาม

เจ้าบ้านี่ไม่รู้จักฮั่นป๋าจริงๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นอวดดีกันแน่

บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง แต่ถ้าคุณบอกว่าเจ้าโง่ไม่รับรู้ถึงการเข้าใกล้ของฮั่นป๋า นั่นน่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก เขาไม่สังเกตเห็นมัน ทนายอันก็ไม่สังเกตเห็นมันเช่นกัน แต่เจ้าโง่จะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร

แต่โจวเจ๋อไม่รู้สึกว่าฮั่นป๋าน่าสงสารสักเท่าไร เขาไม่มีสิทธิ์หรือสถานะไปสงสารคนอื่นด้วยซ้ำ มันก็เหมือนกับประชาชนคนจีนในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่นที่สงสารประชาชนของประเทศญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตบนความยากจนข้นแค้น

เป็นบ้าไปแล้วหรือไง

หากไม่ใช่เพราะเจ้าโง่ลงมือในตอนท้าย ตอนนี้อิงอิงก็คงกลายเป็นฮั่นป๋าไปตั้งนานแล้ว

เฮ้อ…

สูดหายใจเข้าลึกและถอนหายใจออกแรงๆ

การเดินทางมาหรงเฉิงครั้งนี้นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว ตัวเขาเองและอิงอิงล้วนได้รับประโยชน์อย่างมาก ควรถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวอย่างคุ้มค่า

ต่อมา โจวเจ๋อกลับไม่รีบร้อนที่จะกลับไป ครั้งก่อนมาหรงเฉิงยังไม่ได้เที่ยวเล่นดีๆ เลย ครั้งนี้ขอเที่ยวเล่นให้สบายใจเฉิบหน่อยแล้วกัน สัมผัสเมืองที่ขึ้นชื่อด้านการพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อยว่าจะเหมาะกับตัวเองสักแค่ไหน

“เถ้าแก่ ท่านตื่นแล้ว” อิงอิงกุมหน้าผากของตัวเองและลุกจากเตียง เธอดูเหมือนจะงุนงงและงัวเงียเล็กน้อย

โจวเจ๋อหันหน้ากลับมาด้วยความประหลาดใจ พลางมองอิงอิงและถามขึ้น “คุณผล็อยหลับไปเหรอ”

“หือ อื้อ! อืม!!! เอ๊ะ!” คิดไม่ถึงว่าอิงอิงจะอุทานออกมา “ข้าเผลอหลับไปจริงๆ เจ้าค่ะ!”

ตอนเที่ยง ขณะที่กินบะหมี่ในร้านบะหมี่ข้างนอก อิงอิงนั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อ สีหน้าของสาวใช้เคร่งขรึม คล้ายกับกำลังขบคิดถึงเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากๆ อยู่

ซุปถั่วแดงที่เถ้าแก่โจวต้องการนั้น พอกินดูแล้วจะบอกว่าอย่างไรดีล่ะ

หลังจากคุ้นเคยกับฝีมือการทำอาหารของสวี่ชิงหล่างไปแล้ว ของที่ร้านอาหารข้างนอกปรุงออกมาบอกได้เพียงว่าฝืนกินได้ โชคดีที่ได้ผ่านช่วงเวลาที่ต้องอาศัยการกินข้าวคู่กับน้ำส้มสายชู พริก และน้ำบ๊วยกันมาแล้ว จึงไม่ถึงกับพิถีพิถันมากนัก กินอิ่มท้องก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

หลังจากวางตะเกียบลงแล้วยกนมถั่วเหลืองยี่ห้อเหวยอี๋ขึ้นมาจิบ โจวเจ๋อมองท่าทางเหม่อลอยครุ่นคิดของอิงอิง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหม่อลอยอะไรน่ะ ก็แค่งีบหลับไม่ใช่เหรอ มีเรื่องใหญ่อะไร เดาว่าเผลอๆ ผ่านไปอีกช่วงหนึ่งคุณก็คงกินข้าวด้วยแล้วละ”

ร่างกายของอิงอิงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากได้รับ ‘ของขวัญ’ จากฮั่นป๋าคราวนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะถูกกระตุ้นให้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ

จำได้ว่าครั้งก่อนดูเหมือนอิงอิงจะเคยพูดว่า ด้านล่างของเธอไม่ได้เย็นถึงขนาดนั้นแล้ว

หึๆ…

อิงอิงส่ายหน้าและพูดอย่างจริงจัง “เถ้าแก่ ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้”

“งั้นกังวลเรื่องอะไรล่ะ”

โจวเจ๋อคิดว่าอิงอิงกำลังกังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเธอ ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หลังจากที่คุ้นชินกับบางสิ่งบางอย่างแล้ว เมื่อสิ่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีก ก็ต้องไม่สบายตัวอยู่ดี โดยเฉพาะ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือร่างกายของเธอเองด้วย

“เถ้าแก่ ข้ากำลังคิดว่า หากร่างกายนี้กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ละก็ อยากจะเปลี่ยนให้เร็วกว่านี้ได้หรือไม่”

“หืม”

“ค่อยๆ เปลี่ยนไปแบบนี้ทีละน้อยแล้วเมื่อไรข้าจะมีลูกน้อยเสียทีล่ะเจ้าคะ”

‘พรืด!’ นมถั่วเหลืองในปากโจวเจ๋อเกือบจะพุ่งออกมาแล้ว

“เถ้าแก่ ค่อยๆ กิน ค่อยๆ กินเจ้าค่ะ” อิงอิงกุลีกุจอหยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปากโจวเจ๋อ

“อิงอิงเอ๋ย อันนี้ไม่รีบ ไม่ต้องรีบ”

ตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าเป็นเบอร์ของร้านขายยา

เนื่องจากการแจกโบนัสสิ้นปีนี้จ่ายได้น่าพอใจและเยอะมาก ปีนี้ร้านขายยาจึงไม่ปิดตัวลง ทุกคนต่างก็เป็นคนในพื้นที่จึงกลับไปล้อมวงกินข้าวคืนวันส่งท้ายปีเก่า จากนั้นก็ทำงานตามปกติ

ความจริงแล้ว แรงจูงใจในการทำงานและความสามัคคีของพนักงานในยุคปัจจุบันนั้นเรียบง่ายมาก พวกคำขวัญและวัฒนธรรมองค์กรเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ถ้ามีเงินและสวัสดิการเพียงพอ ทุกอย่างจะดีเอง

“เถ้าแก่ พนักงานร้านขายยาของเราทุกคนมาอวยพรปีใหม่ให้คุณค่ะ!”

“อ๋อ สวัสดีปีใหม่ สวัสดีปีใหม่”

“จริงสิ เถ้าแก่ คนไข้คนนั้นตื่นแล้ว ตอนนี้ยังขยับตัวไม่ได้ แต่ยืนกรานว่าจะออกจากโรงพยาบาลให้ได้”

คนไข้คนนั้น เป็นใครนะ โจวเจ๋อนึกอยู่พักหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่า ฟางฟางมีความผูกพันต่อโกวซินคนนั้น แต่ไม่ใช่ความผูกพันอันบริสุทธิ์แบบนั้น เป็นความรู้สึกของพนักงานที่มองดูผลงานของตนเองล้วนๆ

“โอเค เมื่อทำการรักษาพยาบาลเราก็ต้องเคารพความต้องการของคนไข้ ไม่สามารถปักธงว่าทำไปเพื่อเขาและตัดสินใจแทนเขาได้” โจวเจ๋อให้ความรู้แก่พนักงานของเขาอย่างจริงจัง

“เข้าใจแล้วค่ะ เถ้าแก่” ฟางฟางรู้สึกผิดเล็กน้อย รู้สึกว่าเธอจะลืมจิตวิญญาณของบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วจริงๆ ยังคงเป็นเถ้าแก่ของเธอที่มีความตระหนักรู้สินะ

“อืม จำไว้นะ ก่อนเขาออกจากโรงพยาบาลแจ้งนักพรตเฒ่าให้เขาไปส่งหน่อย”

…………………………………………………………………..

[1] กลยุทธิ์ลอบตีเฉินชางเป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก หมายถึงการใช้โอกาสที่ฝ่ายศัตรูตัดสินใจที่จะรักษาพื้นที่เขตแดนของตนไว้ และแสร้งทำเป็นนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีทางด้านหน้า แต่ลอบนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีในพื้นที่เขตแดนที่ฝ่ายศัตรูไม่ทันคาดคิดและสนใจวางแนวกำลังป้องกัน

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท