บทที่ 535 เป็นทั้งอาจารย์และมิตรสหาย
หลังอู๋ฝานกลับมาถึงบ้านก็ได้รับสายจากเกิ่งหย่าเฟย
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เตือนนะครับ” อู๋ฝานตอบรับ
อู๋ฝานไม่ได้บอกให้เกิ่งหย่าเฟยทราบว่าตนเองสังหารทั้งหวงถิงเฟิงและจานเฮ่อไปแล้ว ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อในตัวอีกฝ่าย แต่เพราะรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“งั้นวางสายนะคะ” เกิ่งหย่าเฟยตอบกลับมาผ่านปลายสาย
“รอเดี๋ยวครับ” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้น “หย่าเฟย …เกิดอะไรขึ้นกับฝั่งคุณรึเปล่าครับ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงคุณดูไม่ปกติอย่างที่ควรจะเป็น”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ วางสายก่อนนะคะ” จบคำเธอจึงวางสายไปทั้งแบบนั้น
เกิ่งหย่าเฟยเองก็ไม่ได้บอกอู๋ฝานว่าคืนนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง แม้อยากจะบอก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชายหนุ่ม ทว่าหญิงสาวไม่ได้นึกโกรธอะไรอีกฝ่าย ทั้งหมดคือการตัดสินใจของตนเอง ไม่ใช่ร้านโลกในแหวนบังคับให้เธอต้องไปแม้แต่น้อย คนที่เธอควรจะเกลียดชังจึงเป็นเหมือนพ่อของเธอ นั่นคือพ่อของหลี่ปิงและคนจากวังเมฆาสีชาด
ในความเห็นของเธอ อู๋ฝานในตอนนี้เผชิญอันตรายมากพอแล้ว ดังนั้นการไม่บอกเรื่องที่จะรบกวนจิตใจอีกฝ่ายจนเกิดภาระทางความคิดจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
อู๋ฝานวางสายขณะแสดงอาการสับสนและสงสัยออกมา สัญชาตญาณของเขาร้องบอกว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเกิ่งหย่าเฟย แต่ไม่มีทางทราบจนกว่าเธอจะบอกออกมาด้วยตัวเอง
ทันทีที่วางสายโทรศัพท์ ก็พบว่ามีข้อความเข้าจากหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ บอกเพียงสั้นกระชับว่า ‘กลับถึงหอพักแล้วค่ะ’
หลังออกจากถนนเปลี่ยวไร้ผู้คน อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็แยกย้าย เขากลับบ้าน ส่วนเธอกลับหอพัก การแสดงออกทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนปกติอย่างที่เคยเป็น
อู๋ฝานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะตอบกลับ ‘ราตรีสวัสดิ์ครับ’
หลังเขาวางโทรศัพท์ลงก่อนจะไปอาบน้ำเตรียมเข้าสู่โลกแห่งเกม ส่วนเรื่องของเกิ่งหย่าเฟยนั้น เขาคิดถามจากหวังจื่อหมิงในเช้าวันรุ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
อีกฝั่งหนึ่ง หลังหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เห็นอู๋ฝานตอบกลับมา มุมปากของเธอถึงกับยกขึ้นเล็กน้อย กระทั่งหลับตาลงด้วยสีหน้าท่าทีที่บ่งบอกว่าพึงพอใจ
หลังเที่ยงคืน ร่างของอู๋ฝานก็ปรากฏตัวที่โลกแห่งเกมอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขายังอยู่ที่เรือนในศาลาพักม้าตามเดิม นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร จักรพรรดิก็ยังไม่ได้เรียกอู๋ฝานให้ไปเข้าเฝ้า ทั้งยังไม่มีการว่าราชการในช่วงเช้า เขาเองก็ยังไม่อาจจากไปไหนได้หากไร้ซึ่งคำสั่งของจักรพรรดิ
ช่วงสามวันที่ผ่านมา การค้นหาอูหย่าในเมืองหลวงไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งสืบค้นอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ ตามถนนจะเห็นทหารกลุ่มใหญ่เดินตรวจตรา กระจายตัวทั่วทั้งเมืองหลวง การค้นหาอย่างเข้มงวดทำให้คนมากมายในเมืองหลวงเดือดร้อน แต่เพราะมันเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารจักรพรรดิ ดังนั้นจะเข้มงวดถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย แม้เผชิญหน้ากับการตรวจสอบราวจ้องหาจุดจับผิด ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำ ทำได้เพียงยอมร่วมมือแต่โดยดี
เพราะพวกอู๋ฝานอยู่ภายใต้การคุ้มครองขององค์หญิงเจ็ด จึงทำให้สามารถข้ามผ่านการตรวจสอบ กล่าวคือพวกเขาในเวลานี้ได้ใช้ช่วงเวลาอันปลอดภัยและสงบสุข
“ขยับเท้าแบบนี้ แขนขยับเช่นนี้ เคลื่อนที่ให้เร็ว ปลายมีดจะต้องแม่นยำ เดี๋ยวข้าแสดงเป็นตัวอย่างให้ดูก็แล้วกัน” ขณะอู๋ฝานเดินมาถึงหน้าห้องของลั่วเยวี่ย เขาก็ได้ยินเสียงของอูหย่าดังออกมาจากในห้อง
อู๋ฝานผลักประตูเข้าไป จากนั้นก็ปิดประตู ก่อนจะเห็นว่าอูหย่ากำลังสอนวิชาให้กับลั่วเยวี่ยอยู่ภายในห้อง
“นายท่าน” เมื่อเห็นอู๋ฝานเข้ามา ลั่วเยวี่ยก็รีบแสดงความเคารพ
ส่วนทางด้านอูหย่า นางเพียงแค่ปรายสายตามองโดยไม่ทักทายใด ๆ กระทั่งหันไปพูดกับลั่วเยวี่ยต่อด้วยซ้ำ “ฝึกฝนอย่างเข้มงวดกับตัวเอง อย่างเสียสมาธิ”
ลั่วเยวี่ยมองอู๋ฝานที่พยักหน้าให้ ก่อนจะรับการฝึกจากอูหย่าอย่างต่อเนื่อง
อู๋ฝานไม่รบกวนคนทั้งสอง เขาเดินตรงเข้าไปและนั่งลงเพื่อรับชม
นับตั้งแต่ลั่วเยวี่ยต้มยาให้อูหย่าเมื่อสามวันก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็สนิทชิดใกล้กันมากขึ้น ลั่วเยวี่ยรับผิดชอบคอยดูแลอูหย่าทุกวัน หลังฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บ นางเห็นว่าลั่วเยวี่ยมีความสนใจต่อการฝึกฝนวิชา ดังนั้นจึงอาสาเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้
เนื่องจากอูหย่าสนใจเรื่องการใช้กระบี่และหอกตั้งแต่เด็ก นางจึงได้ฝึกฝนวิทยายุทธหลากหลายจนเชี่ยวชาญ ทั้งยังมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นแล้วอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยคงไม่เลือกนางมาทำภารกิจลอบสังหาร แน่นอนว่าที่เลือกนางก็เพราะมีสถานะตัวตนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เนื่องจากหญิงสาวถือครองสถานะที่สามารถเข้าใกล้จักรพรรดิได้ง่าย
ในใจของลั่วเยวี่ยนั้นต้องการติดตามอู๋ฝานเพื่อรับใช้และปกป้อง ความปรารถนาคือการได้เป็นองครักษ์ประจำตัว ขณะนี้มีโอกาสได้ยอดฝีมือเช่นอูหย่าสอนสั่ง นางย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปง่าย ๆ
ดังนั้นคนทั้งสองจึงฝึกกันอย่างต่อเนื่องหลายวัน และห้องของลั่วเยวี่ยก็อยู่ข้างห้องของอู๋ฝาน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ใครอื่นซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจะเข้ามาได้
“ลั่วเยวี่ยเป็นคนฉลาด ฝึกฝนได้ดี และจิตใจก็ดีเช่นกัน เรียกได้ว่าดีครบถ้วน เพียงแต่ห่วงเจ้ามากจนเกินไป” หลังอูหย่าจัดแจงชี้แนะลั่วเยวี่ยให้ฝึกซ้อมต่อด้วยตัวเอง นางจึงเดินมาหาอู๋ฝานพลางกล่าว
อูหย่าค่อนข้างประทับใจในตัวลั่วเยวี่ย ทั้งยังไม่มองปรามาสอีกฝ่ายเพราะตนเองเป็นองค์หญิง ขณะที่ลั่วเยวี่ยเป็นเพียงข้ารับใช้ หลังอยู่ด้วยกันหลายวัน คนทั้งสองจึงสนิทกันเสมือนอาจารย์และมิตรสหาย
แต่อูหย่าไม่ค่อยพอใจที่ลั่วเยวี่ยมักจะให้ความสำคัญกับอู๋ฝานเป็นประการแรกเสียทุกเรื่อง นางรู้สึกว่าเด็กสาวควรมีความคิดและชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ใช่มองอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนที่ต้องรับใช้
“ไม่ดีงั้นหรือ?” อู๋ฝานมองลั่วเยวี่ยที่กำลังตั้งใจฝึกซ้อมพลางเผยยิ้มออกมา “ข้าไม่เคยกลั่นแกล้งอะไรนาง และไม่เคยข่มขู่ขอให้นางเป็นข้ารับใช้ด้วยซ้ำ”
“หากเจ้าดีกับนางจริงก็ควรมอบอิสระให้ ไม่ใช่ผูกมัดเอาไว้กับตัวเองตลอดเวลาแบบนี้” อูหย่าตอบกลับ
“ข้าไปผูกมัดอิสรภาพของนางไว้เมื่อใด?” อู๋ฝานมองอูหย่าพลางถาม “นางสามารถไปจากข้าได้ทุกเมื่อ เจ้าไม่อาจนำความคิดตนเองไปแทนความคิดคนอื่นได้ เจ้าคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรหนานปิง มีสถานะตัวตนที่ต้องทำ ชั่วชีวิตมีคนรับใช้ไม่ขาดแคลน มีเงินทองให้ใช้ไม่หมดสิ้น อีกทั้งยังมีคนคุ้มกันอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ แต่แล้วลั่วเยวี่ยเล่า? นางเคยเป็นสตรีที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทั้งยังมีน้องชายอยู่เคียงข้าง แผ่นดินที่มีแต่ความวุ่นวายแบบนี้จะมีที่ใดให้ทั้งสองไปใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ อู๋ฝานจึงมองทางลั่วเยวี่ยอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ “และข้าเองก็เชื่อว่านางอยู่ที่นี่กับข้าแล้วมีความสุขดี แม้ขอให้นางจากไปก็คงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
อูหย่ามองลั่วเยวี่ยและต้องยอมรับอยู่ในใจ คำพูดของอู๋ฝานไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่มีที่ใดให้อยู่อาศัยได้อย่างสงบ เป็นเรื่องยากที่ลั่วเยวี่ยและน้องชายจะรอดชีวิตโดยไร้ซึ่งการสนับสนุน อย่างน้อยอีกฝ่ายก็คอยคุ้มครองคนที่อยู่เคียงข้าง หากนางยังเป็นองค์หญิงสามแห่งหนานปิงก็คงอยากจะช่วยเหลือเด็กสาว เพราะยามนี้แม้แต่ตัวเองนางก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
ขออภัย
เกิดเหตุขัดข้องในการเชื่อมต่อ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
ลองใหม่อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น อูหย่าค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้ร้องขอ ใจของลั่วเยวี่ยก็คงไม่ยินดีไปจากอู๋ฝาน แม้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่ทุกครั้งที่ลั่วเยวี่ยเอ่ยถึงเรื่องของชายหนุ่ม สายตาและสีหน้าของนางจะแสดงออกมาชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไร ดังนั้นการที่อูหย่าจะทราบว่านางให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายถึงเพียงใดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย