บทที่ 577 บุกเบิกดินแดนตะวันตก
หลังจากยึดดินแดนกลับคืนมา ก็มีหลายอย่างที่ต้องจัดการ และครั้งนี้เผยยวนก็ไม่ได้พาจี้จือฮวนกลับไปที่ค่ายทหารอีก
ให้นางพักอยู่ในเมือง สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่ามาก ซักล้างก็สะดวก อีกทั้งจี้จือฮวนยังเป็นคนที่รักสะอาดมากอีกด้วย
และเผยยวนก็กลัวว่าความเหนื่อยล้าจากการเดินทางนาน ๆ จะทำให้นางทนไม่ไหว
จึงได้ตอบจดหมายไปว่า เขาจะยังไม่กลับเมืองหลวงในช่วงสามเดือนแรก ต้องรอให้ครรภ์ของนางแข็งแรงก่อนแล้วค่อยกลับไป
เรื่องนี้ไท่ซ่างหวงและองค์หญิงใหญ่ก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด เดิมทียังคิดจะส่งมือหนึ่งเรื่องดูแลหญิงตั้งครรภ์ของสำนักหมอหลวงไปที่นั่น แต่เมื่อลองครุ่นคิดดูดี ๆ แล้วก็พบว่าไม่จำเป็นเลย เพราะที่นั่นก็มีหมอจากตระกูลหมอเทวดาอยู่ด้วยแล้ว
ดังนั้นจึงส่งแม่นมและนางในที่มีประสบการณ์ในวังกลุ่มหนึ่งมาเท่านั้น เพื่อช่วยดูแลเรื่องอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันของจี้จือฮวนที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขา
เผยยวนก็ตัดสินใจว่าจะพักที่จวนเก่าของตระกูลกู้
เพียงแต่จวนของตระกูลที่มีชื่อเสียงร่วมศตวรรษในอดีต ได้ถูกรื้อถอนและขายไปในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้เรือนที่เหลืออยู่ในจวนมีไม่มาก
โชคดีที่เรือนเล็กของกู้อู๋โยวและเสิ่นหลันหยางในตอนนั้นยังไม่มีใครซื้อไป จึงยังมีสภาพเดิมอยู่
เจิ้งต้าเฉียงจึงขนไม้ไปซ่อมแซมด้วยตัวเอง ส่วนเศรษฐีใหญ่สองคนอย่างเซียวเย่เจ๋อและจีฝูเย่ ก็ซื้อของมาเพิ่มอีกมากมาย
ในที่สุดเรือนสี่ชั้นของหลงซีหลังนี้ก็ถูกปรับปรุงจนเสร็จสมบูรณ์ และพวกเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญยังมีกลิ่นอายของหมู่บ้านตระกูลเฉินเล็กน้อยอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องครัวนั่น ก็ได้มีการเอาธรณีประตูออกแล้วด้วย เพราะกลัวว่าหากจี้จือฮวนเดินเข้า ๆ ออก ๆ จะล้มเอาได้
จ้านอิ่งในฐานะสหายที่ดีของเผยยวน ก็มีรางกินหญ้าที่สะดวกสบายและลานที่กว้างขวางเป็นของตัวเอง
แต่อาชิงกับอาอินกลับเกิดขัดแย้งกันขึ้นว่าจะพักที่ใดดี
เผ่าหมาป่าหิมะยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเมือง ยิ่งไปกว่านั้นผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่าก็ไม่ชิน
พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่บนภูเขาหิมะ
อีกทั้งหากปล่อยให้หมาป่าหิมะเพ่นพ่านอยู่ในเมือง ผู้คนจะหวาดกลัวเอาได้
เรื่องนี้จี้จือฮวนและเผยยวนย่อมเคารพการตัดสินใจของพวกเขา
ส่วนเด็กทั้งสองคนอยากพักอยู่ที่ใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของพวกเขาเอง
อาอินตบโต๊ะ เพราะอยากให้พ่อแม่ทั้งสองคู่อยู่ด้วยกัน!
ดังนั้นนางกับอาชิงจะเปลี่ยนกะกัน เจ็ดวันเปลี่ยนกะหนึ่งครั้ง
เวลานี้ก็เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว อากาศที่นี่จึงร้อนมาก เผยยวนถอดเสื้อออกและกำลังเหลาท่อนไม้อยู่ เพื่อทำซุ้มสำหรับแขวนดอกไม้ไว้ในลานบ้าน ถึงเวลาก็ยังสามารถให้ร่มเงาและยังทำเป็นชิงช้าได้ด้วย
จี้จือฮวนสวมหมวกผ้าบาง ๆ ขณะออกมาหา ก่อนจะยื่นแบบร่างของพัดลมให้กับจีฝูเย่ที่กำลังกินแตงโมอยู่ใต้ร่มไม้ “เจ้าลองเอาไปทำดู ทางที่ดีคือต้องสามารถใช้แรงลมได้ ตรงนี้ให้เพิ่มแกนเข้าไปด้วย”
จีฝูเย่มองอย่างใจลอย
เผยยวนรีบเช็ดเหงื่อหันมาถาม “จะไปที่นาหรือ?”
“อืม” การป้องกันเมือง รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและการวางแผนงานต่าง ๆ เรื่องเหล่านี้ล้วนมีเจ้าหน้าที่ของราชสำนักเป็นคนดูแลอยู่แล้ว ดังนั้นจี้จือฮวนจึงเป็นกังวลแค่ปัญหาการบุกเบิกที่ดินในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
เผยยวนย่อมต้องไปเป็นเพื่อนนาง และตอนนี้ก็ไม่มีใครในเมืองที่ไม่รู้จักสองสามีภรรยา เมื่อเห็นพวกเผยยวนเดินออกมาจากบ้านตระกูลกู้ ต่างก็เข้ามาทักทายทันที
“ท่านอ๋อง พระชายา จะไปดูนาอีกแล้วหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว ท่านอาหลี่ เดี๋ยวเก็บแตงโมไว้ให้ข้าสักสองลูกด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้เลยขอรับ”
นอกเมืองอยู่ไม่ไกลมากนัก จี้จือฮวนกับเผยยวนจึงไม่ได้นั่งรถม้าไป เมื่อเดินไปถึงชานเมืองก็เห็นทหารเกราะเหล็กจำนวนมาก รวมถึงนักรบของถู่เจียกำลังถอดเสื้อไถนากันอยู่ โดยมีชาวนาจำนวนหนึ่งกำลังชี้แนะพวกเขาอยู่ข้าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีต้นกล้าจำนวนมากที่เอามาจากเนินเขาใกล้เคียง ตั้งใจว่าจะเอามาปลูกในพื้นที่นี้ด้วย
แม้จะยังอยู่ไกลแต่ก็สามารถได้ยินเสียงขุดดินของพวกเขาอย่างชัดเจน
มัวเอ๋อร์เก๋อซางเดิมจะต้องกลับถู่เจียแล้ว เพียงแต่เมื่อเขาเขียนรายงานในจดหมายบอกว่าพวกเนี่ยเจิ้งอ๋องยังไม่กลับ และจะทำการบุกเบิกที่ดินเพื่อปลูกพืชที่นี่ ถูลี่จึงให้เขาอยู่ต่อ จะได้เรียนรู้ด้วย ถึงเวลาก็ค่อยกลับไป
เพราะภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดของถู่เจียก็คือ เผ่าถูกู่หุนและต้าจิ้น เผยยวนไม่มีทางโจมตีถู่เจียอย่างแน่นอน เช่นนั้นหากเผ่าถูกู่หุนมีความเคลื่อนไหว มัวเอ๋อร์เก๋อซางที่อยู่ที่นี่ก็จะสามารถจัดการได้ทันท่วงที
ชาวถู่เจียมีรูปร่างสูงใหญ่ พละกำลังก็มาก มีพวกเขาคอยลากวัวการงานจึงคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นจี้จือฮวนมา เจ้าหน้าที่จากตำบลใกล้เคียงก็เข้ามาแสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ต้องมากพิธี” จากนั้นจี้จือฮวนก็ถามขึ้นมา “เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ต้องขอบคุณสือฟางผู้นั้นที่ขุดทางเดินใต้ดินเอาไว้ จนเกือบจะไปถึงถู่เจียแล้ว พวกเราจึงไม่ต้องมาเริ่มขุดบ่อน้ำเอง เพราะแค่ขุดลงไปจากทางใต้ดินเหล่านั้นก็เจอแหล่งน้ำใต้ดินแล้ว เพียงแต่การหาบน้ำขึ้นมายังลำบากเล็กน้อยขอรับ”
จี้จือฮวนจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องหาบน้ำหรอก ถึงเวลานั้นพวกเราจะทำกังหันน้ำเพื่อสูบน้ำขึ้นมาแทน”
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็ไม่เข้าใจ ช่างเถอะ อย่างไรเสียสิ่งที่พระชายาพูดส่วนใหญ่ พวกเขาก็ฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว จนกว่าจะได้เห็นของสิ่งนั้นจริง ๆ ถึงเวลานั้นก็จะได้รู้ถึงความสามารถของมันเอง
“แต่พระชายาขอรับ ยี่สิบปีมานี้ที่ดินเหล่านี้มีเพียงไม่กี่หมู่เท่านั้นที่สามารถเพาะปลูกได้ พวกเราไม่สู้เอาไว้เลี้ยงสัตว์ไม่ดีกว่าหรือขอรับ?”
“เลี้ยงสัตว์ย่อมต้องเลี้ยงอยู่แล้ว แต่เรื่องปลูกข้าวก็ไม่สามารถละทิ้งได้ เพราะข้าวถือเป็นรากฐานที่สำคัญ”
จี้จือฮวนย่อตัวลงแล้วบีบดูดินจำนวนหนึ่ง “ดินเค็มแม้ว่าจะเพาะปลูกได้ยาก แต่พวกเราก็ต้องลองดูก่อน”
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็มีคนจำนวนมากและยังแข็งแรงกำยำอีกด้วย เพราะต่างก็เป็นชายหนุ่ม หากทุกคนร่วมแรงกันปฏิรูปที่ดินผืนนี้ได้สำเร็จ ต่อไปก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังนับพันนับหมื่นรุ่น
“อันที่จริงเราได้เปรียบทั้งเรื่องเวลาและสถานที่แล้ว เพราะอย่างน้อยแค่การขุดบ่อน้ำเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายสิบปีทีเดียว แต่สือฟางได้ช่วยพวกเราขุดมานานแล้ว ขอเพียงเรามีที่สูบน้ำและคลองผันน้ำ ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำก็จะสามารถบรรเทาลงไปได้มาก”
จี้จือฮวนรู้สึกว่าโชคดีมากจริง ๆ เพราะหากมองที่ดินเหล่านี้เป็นแค่ที่ดินรกร้างก็คงจะเปล่าประโยชน์
“ยิ่งไปกว่านั้นการที่หลงซีแปดเมืองถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าหลังเช่นนี้ ก็เพราะขาดแคลนเสบียง หากว่าวันข้างหน้าต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้อีก เราจะไม่พึ่งตัวเอง รอแต่จะพึ่งราชสำนักที่อยู่ห่างไกล คอยให้ทหารขนเสบียงมาส่งให้อย่างนั้นหรือ ระหว่างทางมีความยากลำบากและอุปสรรคมากมายเพียงใด พวกเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้รับเสบียงจริง ๆ? หากถูกคนปล้นไประหว่างทางเล่า?” จู่ ๆ เผยยวนก็ถามขึ้นมา
คำพูดเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบ ๆ ต่างเห็นด้วย และพยักหน้าหงึก ๆ
“เช่นนั้นแค่พวกเรามีน้ำก็สามารถปลูกข้าวได้แล้วหรือขอรับ?”
“อาจจะยากแต่ก็ต้องลองดู หากเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาก็จะพอช่วยได้ ดินปนทรายแบบนี้เหมาะที่จะปรับเป็นเนินทรายมากกว่า”
จี้จือฮวนชี้ไปยังพื้นที่ที่ล้อมเอาไว้ “ถึงเวลาเราก็ปลูกป่าไว้ที่นั่น ให้ต้นไม้ช่วยบังลมและทรายที่จะพัดมา ปกป้องพืชพรรณ ใช้ผืนดินหล่อเลี้ยงผืนดิน! พวกเราจะบุกเบิกที่ดินเพื่อผลิตเสบียงและช่วยรักษาชายแดน ด้วยการเก็บอาหารไว้บนดิน!”
เมื่อทุกคนกินข้าวจนอิ่มท้องแล้ว ชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ชายแดนก็จะได้รับการพัฒนา ที่ราบภาคกลางก็จะเจริญรุ่งเรือง
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ต่างก็เต็มตื้นไปด้วยความหวัง
เมื่อก่อนคนในหลงซีทั้งแปดเมืองก็เคยพยายามแล้ว แต่น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่สนใจ และไม่มีผู้ชายที่แข็งแรงมาช่วยกันมากมายเช่นนี้ เดิมทุกคนก็ไม่ชอบทำนาอยู่แล้ว หลายคนจึงทนความยากลำบากนี้ไม่ไหว ต่อมาเมื่อเปลี่ยนเจ้าเมืองทุกอย่างก็เริ่มเสื่อมโทรมลง จึงไม่มีใครเสนอแนะให้ทำนาอีก
บัดนี้ในที่สุดก็มีคน มีน้ำ และบ้านเมืองก็สงบสุข พระชายาพูดถูกแล้ว!
คนเราจะยอมแพ้ในชะตากรรมเช่นนี้ไม่ได้ พวกเขาต้องพยายามให้มากกว่านี้!
ลองดูสักตั้ง บางทีพวกเขาอาจจะสามารถปลูกข้าวได้มากมายบนดินแดนแห่งนี้จริง ๆ ก็เป็นได้ ถึงเวลาก็ปลูกผลไม้เพิ่ม! เช่นนี้ทุกครัวเรือนก็จะมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์แล้ว!
“ท่านอ๋อง พระชายา! พวกเราจะเชื่อฟังพวกท่านขอรับ! หลงซีของเราต้องสามารถทำได้แน่!”
จี้จือฮวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มวลชนรวมเป็นหนึ่ง มนุษย์ก็สามารถพิชิตสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นแป้งที่กัดยากเพียงใด พวกเราก็จะต้องกัดมันเพื่อราษฎร!”
“ขอรับ! พวกเราต้องทำได้อย่างแน่นอน!”
“ถูกต้อง! หากปลูกข้าวได้สำเร็จ คนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือราษฎรหลงซีเช่นพวกเรา ทุกคนมาร่วมแรงร่วมใจกันเถอะ!”