ตอนที่ 274 ขอร้อง
พระดำรัสฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทำให้ซินโย่วคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ผู้ที่หารือราชกิจกับฮ่องเต้เป็นการส่วนพระองค์ล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ถึงกับให้ไต้จ้าวเล็กๆ อยู่ฟังด้วย
ดูท่าเขาให้ความสำคัญกับ ‘บุตรชาย’ คนนี้มากกว่าที่นางคิดไว้
ซินโย่วหลบสายตาลงปิดบังแววตายิ้มเยาะ ปฏิเสธว่า “เรื่องใหญ่ของแผ่นดินเช่นนี้ กระหม่อมอยู่ร่วมฟังเกรงว่าจะไม่เหมาะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เห็นซินโย่วปฏิเสธ กลับยืนยันความคิด “เรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน ราษฎรก็ใส่ใจได้ เจ้าอยู่ร่วมฟังมีอันใดไม่เหมาะ เราคิดว่าเหมาะสมมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซินโย่วก้มหน้าลง ไม่ดึงดันอีก
ไม่นานบรรดาขุนนางก็ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า มีเสนาบดี เจ้ากรมและคณะมนตรีหลายท่าน
พอทุกคนคำนับเสร็จ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถึงฎีกาที่เพิ่งส่งมาใหม่
ขุนนางใหญ่หลายคนมองไปยังซินโย่วที่มุมหนึ่งพร้อมกัน
ตอนนี้ในราชสำนักไม่มีผู้ใดไม่รู้จักหนุ่มน้อยผู้นี้ ปัญหามาแล้ว พวกเขาจะเริ่มหารือราชกิจแล้ว เหตุใดซินไต้จ้าวยังไม่ไปอีก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่สนพระทัยสายตาสงสัยของบรรดาขุนนาง ตรัสถามเสนาบดีกรมคลัง “เสนาบดีอวี๋ ภัยพิบัติที่อำเภอเจ่าเหอ ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร”
“กระหม่อม…” เสนาบดีอวี๋อดเหลือบมองไปทางซินโย่วอีกครั้งไม่ได้
หารือเรื่องสำคัญแล้วนะ
“ทำไมหรือ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เลิกพระขนง
จังโส่วฝู่ทูลขึ้น “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมหารือราชกิจ ซินไต้จ้าวควรถอยออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เราคิดว่าซินไต้จ้าวอยู่ฟังก็ไม่เป็นอันใด”
พอตรัสเช่นนี้ออกมา แม้คนที่อยู่ในที่นั้นผ่านประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย ก็อดสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้
ฮ่องเต้ทรงหมายความเช่นไร
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “เรื่องที่หารือวันนี้ก็คือการช่วยเหลือปวงประชาผู้ประสบภัยพิบัติ โรคภัยและความทุกข์ของราษฎรมิใช่ความลับทางการทหาร เราคิดว่าร่วมฟังว่าขุนนางทุกท่านคิดเช่นไรได้ไม่ใช่หรือ”
บรรดาขุนนาง “…” ทรงคิดเช่นนี้แล้ว พวกกระหม่อมจะยังคิดอย่างไรได้อีก
การอยู่ฟังครั้งหนึ่งย่อมไม่เป็นอันใด แต่ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้เป็นการลองใจอย่างหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
เห็นท่าทีฮ่องเต้ต่อซินไต้จ้าว เห็นชัดว่าทรงมั่นพระทัยว่าซินไต้จ้าวก็คือบุตรชายของเขากับฮองเฮาซิน
นี่คือคิดอบรมสอนสั่งซินไต้จ้าว วันหน้า…
หลังจากบรรดาขุนนางใหญ่เกิดการคาดเดาเช่นนี้ มีบางคนรู้สึกหนักหน่วงในใจ มีบางคนรู้สึกคาดหวังรอดูต่อ
พวกแรกคิดว่าซินไต้จ้าวแม้เป็นบุตรบุญธรรมฮองเฮาซิน แต่เติบโตนอกวัง แม้ฮ่องเต้ทรงยืนยันหนักแน่น คิดจะมอบสถานะให้ก็มิได้ง่ายดายเพียงนั้น ดังนั้นจึงหยุดความคิดที่จะต่อต้านฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไปก่อน
ส่วนพวกหลังแน่นอนว่ายินดีที่ฮ่องเต้ทรงคิดอบรมสอนสั่งซินไต้จ้าว
เดิมซินโย่วคิดว่าจะเผชิญกับการต่อต้านรุนแรง คิดไม่ถึงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสแล้วกลับไม่มีคนต่อว่านางสักคำ
ไม่ว่าในใจขุนนางใหญ่เหล่านี้คิดอย่างไร ซินโย่วรู้สึกได้ทันทีว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำลังประลองกำลังกับขุนนาง และทรงได้เปรียบ
จากนั้นก็เป็นการหารือของฮ่องเต้กับขุนนาง ซินโย่วเป็นผู้ฟังที่ได้มาตรฐาน
เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่ทันรู้ตัว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเสวยน้ำชาให้ชุ่มพระศอแล้วก็ตรัสว่า “ลำบากขุนนางทุกท่านแล้ว หารือกันถึงตรงนี้ก่อน”
“พวกกระหม่อมทูลลา”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองไปทางซินโย่ว “ซินไต้จ้าว เจ้าเองก็กลับไปก่อน”
ซินโย่วคุกเข่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นึกอยากรู้
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เอ๋อร์เสนอคำร้อง
เหลือบมองเห็นบรรดาขุนนางใหญ่ที่กำลังออกไปพากันผ่อนฝีเท้าลง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ปกติยิ่ง “ในเมื่อมีเรื่องกราบทูล เช่นนั้นก็ดื่มน้ำชาก่อน พระราชทานน้ำชา…”
ขุนนางใหญ่หลายคนคิดอยากรอฟังว่าซินโย่วจะทูลอันใด “…”
ความอยากรู้รุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจดื้อรั้นอยู่ที่นี่ต่อได้ พอออกจากตำหนักเฉียนชิงกง ขุนนางในคณะมนตรีที่สนิทกับจังโส่วฝู่ท่านหนึ่งก็กระซิบถามว่า “ท่านจัง ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้แฝงความนัยลึกซึ้ง!”
จังโส่วฝู่กวาดตามองพวกเสนาบดีกรมคลังด้านหน้าทีหนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเติ้งโปรดระวังวาจา”
หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ค่อยๆ ให้ความสำคัญกับคณะมนตรี ทรงยอมรับฟังข้อเสนอของพวกเขา แต่ทรงให้ความสำคัญต่อเสนาบดีหกกรมยิ่งกว่า ฮ่องเต้คิดรับโอรสฮองเฮาซินกลับคืนสู่ราชวงศ์ คนที่จะต่อต้านไม่ได้มีเพียงแค่เขา
หันไปมองด้านหลัง
ขุนนางที่เอ่ยขึ้นรีบหุบปาก พยักหน้าเล็กน้อย
ตำหนักเฉียนชิงกง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามซินโย่ว “ซินไต้จ้าวต้องการเอ่ยอันใด”
“เมื่อครู่กระหม่อมได้ยินฝ่าบาทหารือกับบรรดาใต้เท้า ทางใต้หลายพื้นที่ประสบอุทกภัย คิดว่าขบวนส่งโลงศพท่านแม่เข้าเมืองหลวงก็คงถูกอุทกภัยนี้ขวางเส้นทางไปด้วยกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่รู้เฮ่อชิงเซียวบอกเรื่องนี้ต่อซินโย่วไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าไม่เสียทีที่เป็นบุตรชายของเขากับซินซิน ฉลาดเฉลียวได้เช่นนี้
“ได้รับผลกระทบจริง ตอนนี้ขบวนหยุดอยู่ในพื้นที่ทะเลสาบอวิ๋นหู”
ซินโย่วคุกเข่าลงอีกครั้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมอยากไปทะเลสาบอวิ๋นหูรับโลงศพท่านแม่เข้าเมืองหลวงด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ปฏิเสธทันที แต่พอได้เห็นแววตาผิดหวังของหนุ่มน้อย พระสุรเสียงก็ผ่อนลง “ทางใต้มีอุทกภัยหลายพื้นที่ ยามนี้ไม่ปลอดภัย”
“กระหม่อมออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วแต่เล็ก เคยไปทะเลสาบอวิ๋นหู มิใช่คนอ่อนแอบอบบาง” ซินโย่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา หลายพื้นที่ประสบภัยล้วนส่งผู้แทนพระองค์ไป กระหม่อมรู้ว่าโลงศพท่านแม่หยุดอยู่ที่นั่น แต่กลับนั่งเสวยสุขอยู่แต่ในเมืองหลวง ยากจะรู้สึกสงบใจลงได้ ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรแววตาเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่ม ทรงรู้สึกลังเลครู่หนึ่ง เพราะคำนึงถึงความปลอดภัย แน่นอนว่าไม่ทรงยินยอมปล่อยเขาออกจากเมืองหลวง แต่เรื่องที่มู่เอ๋อร์ขอร้องมิใช่เรื่องเหลวไหล
ตอนแผ่นดินยังไม่ก่อตั้ง ทรงสนทนากับฮ่องเฮาเรื่องบุตรของพวกเขา ตอนนั้นฮองเฮาก็เคยตรัสว่า หากรักบุตรจริงก็ควรดูว่าบุตรต้องการอันใด ความต้องการมีเหตุผลหรือไม่ มิใช่คิดเพียงว่าดีต่อบุตรและบีบบังคับให้พวกเขายอมรับ
นอกจากนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระจ่างแก่พระทัยว่า ทรงไม่มีทางเลือก ตอนนี้มีมู่เอ๋อร์อยู่ แม้ต้องการมอบแผ่นดินให้มู่เอ๋อร์ แต่มู่เอ๋อร์มิได้เติบโตในวังหลวง รอโลงพระศพฮองเฮามาถึงเมืองหลวงแล้วฝังที่สุสานหลวงก่อน ย่อมยืนยันมอบสถานะให้มู่เอ๋อร์ได้ แต่ก็คงมีขุนนางมากมายไม่ยินยอม ตอนที่ยังทรงสุขภาพแข็งแรงดีก็ยังดี แต่รอวันหน้าก็อาจกลายเป็นภัยใหญ่หลวง
ราชวงศ์ต้าซย่าให้ความสำคัญกับความกตัญญู มู่เอ๋อร์ต้องการไปรับโลงพระศพฮองเฮากลับเมืองหลวงด้วยตนเองอย่างไม่สนใจอันตราย นี่เป็นการสร้างชื่อเสียงดีงามที่ไร้ผู้ตำหนิติเตียน ยามกลุ่มอิทธิพลแย่งชิงความเป็นใหญ่ หลายฝ่ายล้วนมาขออาศัยบารมี ทรงรู้ดีว่าชื่อเสียงบางครั้งต้านทานกองทัพนับหมื่น เป็นยันต์คุ้มกันตนได้
ซินโย่วมองความลังเลของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ออก แนบหน้าผากติดพื้น “กระหม่อมต้องการเพียงแค่นำท่านแม่ที่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฝังให้เป็นสุขกลับมาด้วยตนเอง ข้างกายไร้ญาติมิตร ค่ำคืนไม่อาจหลับตา ยามกินยามนอน ยากสงบสุข ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังทรงลังเล แม้พระสติทำให้ทรงตัดสินพระทัยได้ ทว่าความผูกพันกลับทำให้ไม่อาจรับคำในทันที
เดินทางออกนอกบ้านไม่เหมือนอยู่บ้าน แม้ส่งทหารไปอารักขา ก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงอันตรายทั้งหมดได้
“ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หนุ่มน้อยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นเสียงก้องกังวานเข้าโสตประสาทรับรู้ของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ในที่สุดฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็พยักพระพักตร์ “ตกลง เราอนุญาตให้เจ้าไปได้ แต่เรามีข้อแม้”
“ฝ่าบาทตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“การเดินทางไปครั้งนี้ เจ้าต้องเดินทางอ้อมพื้นที่อุทกภัย ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง”
ซินโย่วตอบรับ
ในเมื่อรับปากแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงเริ่มคิดถึงตัวเลือกที่จะร่วมเดินทาง พอทรงครุ่นคิดรอบคอบแล้วก็รับสั่งว่า “เรียกตัวฉางเล่อโหวเฮ่อชิงเซียวเข้าวัง”
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินคอยอารักขาซินไต้จ้าวเพราะได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ข่าวของซินไต้จ้าว เฮ่อชิงเซียวย่อมทราบอย่างเปิดเผย ซินโย่วเข้าวังยังไม่ออกมา เขาจึงคาดเดาว่าถูกเรียกตัวเข้าวังอาจเกี่ยวข้องกับนาง
พอถวายคำนับเสร็จ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสขึ้นดังคาด “ซินไต้จ้าวจะเดินทางไปรับโลงพระศพฮองเฮาเข้าเมืองหลวง ชิงเซียว ความปลอดภัยของเขามอบให้เจ้าแล้ว”