ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 495 กุญแจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 495 กุญแจ

ลั่วเซิงไปพบจูอู่ที่ห้องโถงหอสุรา

เห็นได้ชัดว่าจูอู่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้ามา แต่หนวดเคราที่ยุ่งเหยิงและดวงตาแดงก่ำของเขากลับไม่สามารถปิดบังความเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งเดินทางได้

ทันทีที่เห็นลั่วเซิงเข้ามา เขาก็เรียกคุณหนูทันที

“นั่งก่อน” แม้ลั่วเซิงจะร้อนใจ แต่ใบหน้ากลับสงบ ส่งสัญญาณให้จูอู่ดื่มน้ำดับกระหายก่อนค่อยพูด

จูอู่กระดกน้ำชาหนึ่งจอก รู้สึกเพียงคอที่แห้งผากอันเกิดจากการเร่งเดินทางชุ่มชื้นขึ้นไม่น้อย

“หาเจอหรือไม่” ลั่วเซิงจึงเริ่มถาม

จูอู่พยักหน้าเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “หาเจอแล้วขอรับ”

ลั่วเซิงตาเป็นประกาย ถอนหายใจยาว

หาเจอก็ดีแล้ว!

จูอู่ยื่นสิ่งของบางอย่างที่มีลักษณะเรียวยาวซึ่งถูกห่อด้วยผ้าสีเขียวส่งให้ “คุณหนูลองดูว่าใช่สิ่งนี้หรือไม่”

ลั่วเซิงรับมา เปิดผ้าสีเขียวมุมหนึ่งออกเผยให้เห็นมุมหนึ่งของสิ่งนั้น นางโค้งริมฝีปากยิ้ม “ท่านจูลำบากแล้ว”

“เป็นหน้าที่ขอรับ”

ลั่วเซิงพูดเสียงเบาลงกว่าเดิม “พาคนมาด้วยแล้วใช่หรือไม่”

“พามาแล้วขอรับ จัดแจงเรียบร้อยตามที่คุณหนูสั่งแล้ว”

“ดีแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน”

จูอู่ลังเลครู่หนึ่ง

เวลาเที่ยงแบบนี้ คุณหนูไม่ให้เขาอยู่กินข้าวที่นี่หรือ

รอมาครึ่งค่อนวันไม่เห็นลั่วเซิงจะนึกอะไรขึ้นได้ จูอู่ทำได้เพียงค่อยๆ ลุกขึ้นและจากไป

ลั่วเซิงนั่งในห้องโถงเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังเรือนหลัง

เมื่อได้ยินเสียง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตั้งสติได้ “เซิงเอ๋อร์คุยกับผู้ดูแลบัญชีเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือ”

“หอสุราอย่างมากก็แค่เรื่องเกี่ยวกับเงินทอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยิ้มๆ เมื่อกวาดตามองบนโต๊ะก็เผยสีหน้าประหลาดใจ “เหตุใดท่านพ่อไม่กินละเจ้าคะ”

“โอ้ จะกินเดี๋ยวนี้แหละ” แม่ทัพใหญ่ลั่วหยิบถ้วยก๋วยเตี๋ยวขึ้นมากินอย่างมูมมาม

เพียงพริบตาถ้วยก๋วยเตี๋ยวบนโต๊ะก็เกลี้ยงเกลา แม่ทัพใหญ่ลั่วเช็ดปาก เอ่ยชมว่า “อร่อย!”

ลั่วเซิงเงียบ

กินเร็วขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่ได้รสชาติหรอก

“ที่ศาลาว่าการยังมีงานต้องทำ พ่อกลับก่อนแล้วกัน” แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกกังวล กำชับว่า “เซิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงเด็กสาว เรื่องของราชสำนักอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย”

“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชี้ไปที่ข้างนอก “ท่านพ่อพาองครักษ์จิ่นหลินสองคนนั่นไปเถอะเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วทำท่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด เพียงสาวเท้าเดินออกไป

ลั่วเซิงนั่งนิ่งในห้องหนังสือ

แสงอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูใบไม้ผลิส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้เห็นฝุ่นที่ปลิวว่อนอยู่ในลำแสงนั้น

ลั่วเซิงหยิบของที่จูอู่นำกลับมา แกะผ้าสีเขียวที่ห่ออยู่ชั้นนอกออกเผยให้เห็นทั้งหมด มันคือกล่องไม้หนานมู่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า

กล่องไม้หนานมู่แตกต่างจากกล่องทั่วไปที่บรรจุสิ่งของมีค่า กล่องหนานมู่ไม่มีกลอน แต่มีรูกลมหลายรูล้อมรอบรูลึกเล็กๆ ที่มีรูปร่างแปลกตารูหนึ่ง

หากตั้งใจนับดีๆ รูกลมมีเจ็ดรูพอดี

มือขาวเนียนลูบคลำกล่องไม้หนานมู่เบาๆ สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่รูลึกเล็กๆ ตรงกลาง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด กำไลฝังอัญมณีเจ็ดสีที่สวมอยู่บนข้อมือถูกถอดออกมา

ลั่วเซิงมือข้างหนึ่งชูกำไล อีกข้างกดลงที่ด้านในของกำไล อัญมณีสีแดงเม็ดนั้นก็ถูกนำออกมา ด้วยวิธีการนี้ อัญมณีทั้งเจ็ดเม็ดจึงถูกถอดออกมาทีละเม็ด

อัญมณีทั้งเจ็ดเม็ดถูกใส่ลงในรูกลมๆ ทั้งเจ็ดรูบนกล่อง สำหรับคนนอกแล้วมันไม่มีรูปแบบตายตัวใดๆ มีเพียงลั่วเซิงเท่านั้นที่รู้ว่านี่เป็นเพียงขั้นตอนแรกในการเปิดกล่อง

กำไลอัญมณีเจ็ดสีที่เดิมแวววาวกลายเป็นเปลือยเปล่า กล่องธรรมดาๆ ใบหนึ่งดูงดงามไม่ธรรมดา

รูรูปร่างประหลาดบนกล่องที่ถูกล้อมรอบด้วยอัญมณีเจ็ดสีดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม

ปลายนิ้วที่อ่อนโยนลูบผ่านทุกส่วนของกำไลข้อมือ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงติ๊กและบริเวณนั้นพลันปรากฎช่องว่าง เมื่อค่อยๆ ดึงออกจากกันก็เผยให้เห็นปลายเรียวที่มีลวดลายข้างหนึ่ง

แท้จริงแล้วนี่คือกุญแจดอกหนึ่ง

ลั่วเซิงใช้ปลายข้างนั้นเล็งให้ตรงกับรูเล็กตรงกลางแล้วค่อยๆ เสียบลงไป

เสียงดังแกร๊ก กล่องเปิดออก ในกล่องยาวๆ มีสิ่งของสีเหลืองม้วนหนึ่งนอนนิ่งในนั้น

ลั่วเซิงค่อยคลี่สิ่งของม้วนนั้นออกอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจสอบละเอียดแล้วก็เผยรอยยิ้มผ่อนคลายแล้วจึงปิดกล่องและถอดอัญมณีออกมาทีละเม็ดใส่กลับเข้าไปในกำไลเช่นเดิม

ผ่านไปครู่หนึ่ง กำไลอัญมณีเจ็ดสีที่กลับมาแวววาวก็ถูกสวมลงบนข้อมืออีกครั้ง

นางนำกล่องกลับไปซ่อนไว้ในจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างดี จากนั้นลั่วเซิงก็ส่งคนไปส่งข่าวให้หลินเถิง

เมื่อหลินเถิงมาที่หอสุราอีกครั้งก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

ทั้งสองเจอกันที่โต๊ะหินข้างต้นพลับในสวน

แสงแดดฤดูใบไม้ผลิกำลังดี ในสวนอบอุ่นกว่าในห้องเล็กน้อย ต้นพลับแผ่กิ่งก้านเปลือยเปล่าออกแลดูเกียจคร้าน ถึงมันอยากจะทำใบไม้ร่วงสักสองสามใบในยามนี้เพื่อเพิ่มการมีตัวตนของตนเองแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง

แสงและเงาทำให้ใบหน้าที่งดงามของเด็กสาวดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลินเถิงก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “คุณหนูลั่วถามบิดาแล้วหรือ”

อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคดี แม้จะลำบากใจเพียงใดเขาก็ต้องสู้

“ถามแล้ว”

น้ำเสียงสงบเช่นนี้ ทำให้หลินเถิงอดสงสัยไม่ได้ว่า อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว

“ท่านพ่อข้าเป็นคนสั่งให้ทำเอง”

หลินเถิงมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างตะลึงงัน

ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “ใต้เท้าหลินประหลาดใจหรือ”

หลินเถิงลูบจมูกเบาๆ

สิ่งที่เขาประหลาดใจคือความสงบของคุณหนูลั่วต่างหาก

ลั่วเซิงพูดอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาททรงมีบัญชาให้ท่านพ่อข้าทำ”

หลินเถิง “…”

หลังจากสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “คุณหนูลั่ว…”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ข้ารบเร้าท่านพ่อไม่เลิกราจนได้คำตอบมา ท่านพ่อเลือกที่จะเงียบต่อไปหรือไม่ข้าไม่สน แต่ข้าไม่อยู่เฉยแน่นอน”

นางมองหลินเถิงนิ่ง สีหน้าจริงจัง “หากใต้เท้าหลินยืนกรานที่จะจับคนเบื้องหลังให้ได้ เช่นนั้นข้าก็สามารถบอกท่านอย่างชัดเจนได้ว่าคนผู้นั้นคือฮ่องเต้ ท่านพ่อข้าเป็นเพียงดาบเล่มหนึ่งในมือของพระองค์ ดาบเล่มนี้ฆ่าคนตายเพื่อเจ้านายมีความผิด แต่ไม่ควรรับโทษ”

สีหน้าของหลินเถิงแปรเปลี่ยนไปมาอย่างน่าอัศจรรย์ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มอย่างขมขื่นว่า “คุณหนูลั่วช่างกล้าพูดจริงๆ”

ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ที่นี่มีเพียงข้าและใต้เท้าหลิน ใต้เท้าหลินจะจับข้าเพราะข้าพูดความจริงหรือไม่”

หลินเถิงมองนางอย่างลึกซึ้ง พูดสองคำออกมาว่า “ไม่จับ”

“เช่นนั้นใต้เท้าหลินจะฟ้องร้องฝ่าบาทหรือไม่”

หลินเถิงเงียบไปนาน ก่อนจะส่ายศีรษะ

ฟ้องร้องฝ่าบาท คำพูดที่มีความผิดร้ายแรงเช่นนี้ คงจะได้ยินจากปากของคุณหนูลั่วเท่านั้น

ทว่าเขาผู้ซึ่งได้รับการศึกษาจากนักปราชญ์มาแต่เล็กแทนที่จะรู้สึกโมโหกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เมื่อคนเบื้องหลังคือผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด เขาจะทำอะไรได้เล่า

แล้วความยุติธรรมที่ว่าคืออะไร

หลินเถิงไม่เคยรู้สึกหนาวเหน็บเช่นนี้มาก่อน

ลั่วเซิงทำใจบีบคั้นชายหนุ่มที่ซื่อตรงคนนี้ต่อไปไม่ไหว นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ใต้เท้าหลิน แทนที่จะคิดเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ สู้เราคิดว่าจะทำอะไรเพื่อสตรีหนึ่งร้อยหกคนนั่นได้บ้างดีกว่า”

สตรีที่หายตัวไปห้าคนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่สตรีหนึ่งร้อยหกคนนี้ยังอยู่

นางไม่อาจใช้ความรักที่แม่ทัพใหญ่ลั่วมีต่อบุตรสาวให้แม่ทัพใหญ่ลั่วหยุดการกระทำได้ นั่นมีแต่จะนำพาหายนะมาให้จวนลั่วทั้งจวน

แต่นางก็ไม่อาจทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไร นั่งดูหญิงสาวเหล่านี้ตายไป

ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้หรือไม่ก็ต้องทำอะไรสักอย่าง

เรื่องที่แก้ไขไม่ได้… เมื่อหลินเถิงได้ยินประโยคนี้ ความขุ่นเคืองก็จุกอยู่บริเวณหน้าอก ทำอย่างไรก็ไม่จางหายไป

เขากำหมัดแน่น พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบว่า “คุณหนูลั่วพูดถูก”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท