สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1208 ตอนพิเศษ (80.1)

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1208 ตอนพิเศษ (80.1)

ศาลาพักม้า ลู่จื่ออวิ๋นยื่นจดหมายให้ผู้ส่งสาร กล่าวกำชับสองสามประโยค

“ฮูหยินวางใจเถิด จักไม่ให้ของท่านสูญหายอย่างแน่นอน” ท่าทีของผู้ส่งสารนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองชูอีที่อยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง

ชูอีเหลียวมองไปรอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าสงสัยทุกสิ่งอย่างในศาลาพักม้า

หลังออกจากศาลาพักม้ามาแล้ว ชูอีก็เอ่ยขึ้น “ศาลาพักม้าเมื่อครู่นี้เป็นที่ส่งสารของราชสำนักกระมัง?”

“ท่านอยากจะเอ่ยอะไร?” ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับมามองเขา

“ไม่มีอะไร” ชูอีเอ่ย “ตอนนี้จะไปที่ใดหรือ?”

หากนางเข้าออกศาลาพักม้าได้ตามต้องการ นั่นแสดงว่านางเป็นคนในครอบครัวขุนนางหรือไม่ก็แต่งให้บุรุษที่เป็นขุนนาง ดูจากที่คนเหล่านั้นเห็นป้ายคำสั่งในมือนางแล้วมีท่าทีนอบน้อม เกรงว่าจะเป็นขุนนางใหญ่โต

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ตนที่เป็นเพียงคนยากจนจากบ้านนอกผู้หนึ่งจะกล้าปีนป่ายไปหาดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เช่นนางได้อย่างไร?

“ทางนั้นดูครื้นเครงทีเดียว พวกเราไปดูกันเถอะ!” ลู่จื่อวิ๋นกล่าว

ชูอีคุ้มครองลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปในฝูงชน

ที่นั่นคึกคักจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ชูอีพบว่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ล้วนเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่น เขาคุ้มครองลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปอย่างใกล้ชิด โดยจงใจหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสสตรีเหล่านั้น

เมื่อเห็นศีรษะของสตรีเหล่านั้นล้วนเงยขึ้น สีหน้าดูตื่นเต้น ทั้งยังร้องตะโกนว่า ‘จงหลาง’ อะไรสักอย่าง

ชูอีก็มองตามสายตาของพวกนางไป

เห็นเพียงชายในชุดสีเงินผู้หนึ่งอยู่ตรงนั้น ชายผู้นั้นถือลูกแพรปักหนึ่งลูกไว้ในมือทำท่าทีเหมือนกำลังจะขว้างออกไป

ลู่จื่ออวิ๋นหันไปถามสตรีข้าง ๆ “ที่นี่มีอะไรหรือ? ไยครึกครื้นถึงเพียงนี้?”

สตรีผู้นั้นเห็นรูปโฉมของลู่จื่อวิ๋นก็ทั้งอิจฉาทั้งริษยา ทว่ายังคงตอบคำถามของนางตามจริง

“โยนลูกแพรปักหาเจ้าสาว?” ลู่จื่อวิ๋นประหลาดใจ “แต่ไรมาไม่เคยได้ยินว่าบุรุษโยนลูกแพรปักหาเจ้าสาวมาก่อน คนผู้นี้ไม่กลัวว่าลูกแพรปักจะตกไปอยู่ในมือของสตรีอัปลักษณ์หรือผู้เฒ่าผู้แก่หรืออย่างไร?”

“คุณชายหลี่กล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้ลูกแพรปักคือเจ้าสาวของเขา เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะงดงามหรืออัปลักษณ์ จะแก่เฒ่าหรือเยาว์วัย สถานะสูงศักดิ์หรือเป็นเพียงสาวชาวบ้านทั่วไป”

ขณะที่นางเอ่ย สตรีผู้นั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องตะโกนไปทางหลี่หยวนจง “จงหลาง ทางนี้ มองมาทางนี้…”

ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมองหลี่หยวนจง

คนผู้นั้นดูมีพรสวรรค์ทีเดียว มิน่าเล่าเหตุใดสตรีจำนวนมากจึงแห่แหนกันมาดอมดมเขาเหมือนผีเสื้อ ดูท่าคุณชายหลี่ผู้นี้อยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นเขยเต่าทองคำ*[1] แล้ว

ชูอีกล่าว “ที่นี่คนมากเกินไป พวกเราไปเถอะ!”

“ครึกครื้นก็ครึกครื้นอยู่หรอก เพียงแต่ไม่ใช่ความครึกครื้นที่พวกเราจะสัมผัสได้” ลู่จื่อวิ๋นเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับชูอี “ไปกันเถอะ!”

หลี่หยวนจงยืนอยู่บนหอสูงมองลงไปข้างล่าง

ในฐานะบุตรชายเศรษฐีของที่นี่ เขาเติบใหญ่มาพร้อมกับเสื้อผ้าดี ๆ อาหารรสเลิศ หล่อหลอมให้มีนิสัยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลจึงไม่มีพี่น้องแย่งชิงอำนาจ ปกติจึงเกียจคร้านตัวเป็นขน

ครั้งนี้ครอบครัวรบเร้าให้เขาแต่งงาน เขาไม่พอใจที่ครอบครัวคิดจะจัดแจงเรื่องการแต่งงานให้เขา เพื่อที่จะยั่วยุให้ครอบครัวโมโห หลี่หยวนจงจึงสั่งให้ลูกน้องจัดเตรียมงานนี้เพื่อหาเจ้าสาว

หลี่หยวนจงหยิบลูกแพรปักมาโยนขึ้นไป รับเอาไว้ แล้วโยนขึ้นไปอีก จากนั้นก็รับเอาไว้อีกครั้ง หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ คนข้างล่างยังไม่มีท่าทีร้อนใจแต่ยังคงกรีดร้องเสียงดัง ‘จงหลางมองข้า’

“สหายหลี่ เจ้าอยากแต่งงานกับผู้ใดก็ได้จริง ๆ หรือ?” ดรุณน้อยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม

หลี่หยวนจงมองคนด้านล่างด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรไม่ได้เล่า? อย่างไรเสียที่บ้านก็ต้องการให้ข้าแต่งภรรยาสักคน ข้าก็จะแต่งตามความต้องการของพวกเขา แต่งกลับไปทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว”

“เจ้าทำเช่นนี้ขาดทุนเกินไปหน่อยแล้ว” ดรุณน้อยอีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าสตรีเหล่านั้นจะต้องการแต่งงานกับเจ้าจากใจจริงหรือต้องการแต่งกับเจ้าเพื่อเงินที่สกุลจะยกให้ ทว่าหากเจ้าหุนหันพลันแล่นแต่งกลับไปก็รังแต่จะทำให้ผู้อื่นเขาเสียเวลาเสียชื่อเสียง ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าเล่นเช่นนี้ มิเช่นนั้นจะผิดต่อแม่นางผู้อื่นเขา”

หลี่หยวนจงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าน่ะ มักจะหัวโบราณอยู่เรื่อย ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว หากข้าสุ่มสตรีสักคนมาก็ผิดศีลธรรมไปหน่อยจริง ๆ งิ้วดี ๆ ฉากนี้ที่ควรร้องก็ร้องแล้ว เช่นนั้นก็ควร…”

หลี่หยวนจงเห็นคนผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน

“เช่นนั้นพวกเรากลับละ” เมื่อเห็นว่าเขากลับขึ้นฝั่งแล้ว*[2] สหายไม่เอาอ่าวสองสามคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตั้งใจจะกลับบ้านไปหาแม่ของตน

“ช้าก่อน…” หลี่หยวนจงชี้ไปทางมุมหนึ่งแล้วเอ่ย “พวกเจ้ารีบดูนั่น…”

“ดูอะไร?”

“พวกเจ้าดู มานี่เร็วเข้า…”

หลี่หยวนจงชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

คนอื่น ๆ มองไปยังทิศทางที่เขาชี้

“บนโลกนี้มีเทพธิดาฉางเอ๋อร์อยู่จริงหรือนี่”

“คนงามจับจิตเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เหตุใดไม่เคยพบเห็น? ไม่ได้การ ข้าต้องไปถามว่านั่นเป็นแม่นางจากที่ใด”

“รอประเดี๋ยว…” สหายที่อยู่ข้าง ๆ รั้งหลี่หยวนจงไว้ “ดูสิ นางเกล้าผมอย่างสตรีออกเรือนแล้ว นั่นหมายความว่านางแต่งงานแล้ว ดูบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ นางผู้นั้นสิ ถึงแม้จะเสียโฉม แต่ก็เห็นได้ว่าบรรยากาศรอบกายไม่เหมือนผู้ใด ถึงแม้สาวน้อยผู้นั้นจะเป็นเซียนสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์ ในเมื่อเป็นบุปผาเลื่องชื่อที่มีเจ้าของ เจ้าก็ไม่ต้องกระทำเกินความจำเป็นแล้ว”

หลี่หยวนจงเห็นชูอีก็ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ข้าจำคนผู้นี้ได้ คราก่อนบ้านข้าจัดงานเลี้ยงและต้องการสัตว์ป่า ก็เป็นเด็กคนนี้ที่ขายกวางป่าตัวหนึ่งให้ ข้ายังให้เขาหนึ่งร้อยตำลึงเงิน”

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร” หลี่หยวนจงโบกพัดในมือเบา ๆ “ข้าต้องยืนยันสักหน่อยว่าสาวน้อยผู้นั้นเป็นภรรยาของเขา”

เหล่าสหายไม่เอาถ่านมองหน้ากันไปมา

นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายใหญ่หลี่สนใจสตรีผู้หนึ่ง

หลี่หยวนจงผู้นี้เมื่ออายุได้สิบห้าก็ไปเที่ยวหอโคมเขียวดื่มสุราบุปผา ทว่าเขาเพียงแค่ฟังงิ้วไม่ได้สนใจสิ่งใด นับประสาอะไรกับลงมือทำ คนผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นคุณชายเสเพลแต่กลับบริสุทธิ์และเคารพตนเอง หากกล่าวว่าเขามีมารยาทและสุภาพเรียบร้อย กลับไม่ได้เข้าเค้าเลยแม้แต่น้อย กล่าวโดยสรุปคือ แม้พวกเขาจะรู้จักกันมานานหลายปี พวกเขาก็ยังมองคนผู้นี้ได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง

“เอาละ ๆ วันนี้ไม่โยนลูกแพรปักแล้ว” บ่าวรับใช้สกุลหลี่ตีฆ้องประกาศครั้งสุดท้าย

สตรีด้านล่างที่รออยู่ครึ่งค่อนวันได้ยินบ่าวรับใช้กล่าวเช่นนั้น แต่ละคนต่างผิดหวังไปตาม ๆ กัน

นั่นเป็นสกุลหลี่เชียวนะ!

สำหรับที่นี่ สกุลหลี่ร่ำรวยที่สุด

“ข้าคิดว่าจะมีโอกาสได้เป็นสตรีของจงหลางจริง ๆ เสียอีก”

“อย่าว่าแต่ภรรยาเอก ถึงแม้จะเป็นอนุข้าก็ยินดี!”

“ถูก ข้าก็ยินดีเช่นกัน”

หลี่หยวนจงเศรษฐีรุ่นสองผู้นี้มีชื่อเสียงเรื่องความใจกว้าง แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือถึงแม้เขาจะเสเพล แต่กลับไม่เคยได้ยินว่าเขาปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้อย่างโหดร้าย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นมิตรต่อชาวบ้านด้วย

ลู่จื่ออวิ๋นถูกชูอีคุ้มกันออกมาจากฝูงชน

“ขอบคุณที่ท่านดูแลข้า” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว” เพื่อตอบแทน ข้าจะเลี้ยงข้าวท่านสักมื้อ”

“ไม่ต้อง…”

“ข้าหิวแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขัดประโยคถัดไปของเขา “ตอนนี้ท่านเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนท่านแม้แต่น้อย”

ชูอีมองลู่จื่ออวิ๋นด้วยความงุนงง

เขาไม่เข้าใจความหมายของนาง

ลู่จื่ออวิ๋นผิดหวังอยู่บ้างแต่ไม่นานก็ฮึดขึ้นมา

อันที่จริง เช่นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี นางจะถือเสียว่าตนเองกำลังอยู่ในความฝันอันยาวนาน ในความฝันเขาไม่ต่อสู้แย่งชิงเล่นเล่ห์อุบายอยู่ตลอดเวลา เป็นแค่เพียงชายบ้านนอกธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น

[1] เขยเต่าทองคำ : หมายถึง ลูกเขยที่ร่ำรวย

[2] กลับขึ้นฝั่ง : มาจากสำนวน ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง หมายถึง ผู้คนที่ได้ทำเรื่องเลวร้ายไปแล้ว ขอเพียงตั้งใจกลับตัว ย่อมมีทางออกเสมอ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท