“เหตุใดท่านไม่ดื่มน้ำร่วมสาบานเล่า นับแต่นี้ไป พวกเราล้วนเป็นพี่น้อง!” ลู่เซิ่งถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ร่างเงาสวมหน้ากากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น เอื้อมมือปลดหน้ากากลง เผยใบหน้าบุรุษรูปงามขาวผ่อง
“แค่ผ่านมาทางนี้โดยบังเอิญ นึกไม่ถึงว่าจะพบเจอและได้ยินวาจาที่น่าสนใจเช่นนี้” นัยน์ตาจ้องมองลู่เซิ่งฉายแววสงสัย
“ขอถามชื่อแซ่ของท่านได้หรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเบาดุจน้ำพุใสกระจ่าง ไม่ได้กึกก้องสะท้อนแม้อยู่ในถ้ำ
“ข้าลู่เซิ่ง ท่านเล่า” ลางสังหรณ์จากจิตวิญญาณของลู่เซิ่งบ่งบอกว่าคนตรงหน้านี้มีพลังน่ากลัวถึงที่สุด
ในฐานะผู้เข้มแข็งระดับอนธการ เขาสัมผัสได้อย่างแม่นยำ ว่านี่เป็นร่างของคนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
“ข้าชื่อหงอวิ๋น[1]” บุรุษตอบยิ้มๆ “เดิมทีจะเดินทางไปเยี่ยมสหาย ผ่านมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินวาจาแข็งกล้าชนิดที่พลิกความรู้เดิมของท่าน เปิดหูเปิดตาแล้ว สหายลู่มีความรู้กว้างขวาง ชนิดที่ข้าไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อน”
“หงอวิ๋นหรือ” ชื่อนี้ตั้งได้ส่งเดชเหลือเกิน ไม่ว่าจับใครมาสักคนก็น่าจะมีชื่อนี้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเหยี่ยวแดงหลายตัวจากรังแถวนี้ นกรุ้งแดงที่อยู่ในป่าสนห่างออกไป หรือว่าครอบครัวพญากระรอกที่อยู่เหนือยอดไม้ใหญ่ที่ซห่างออกไปยิ่งกว่า ที่ลู่เซิ่งรู้ก็ชื่อหงอวิ๋นไปสี่ห้าตัวแล้ว
“น้องลู่ช่างรอบรู้ พรสวรรค์ไม่ธรรมดา หากสนใจก็มาเยี่ยมเยือนอารามเมฆาเพลิงของข้าได้ละ” หงอวิ๋นเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “ข้าหงอวิ๋นไม่มีอะไรมอบให้นอกจากสุราน้ำเต้าเลิศรส ให้สหายได้ดื่มอย่างสำราญ!”
“สหายหงอวิ๋นอารมณ์ดีจริงๆ เจอใครก็เรียกพี่ขานน้องได้หมด หากเป็นแบบนี้ต่อไป พี่น้องท่านคงมทั่วใต้หล้ากระมัง” ลู่เซิ่งกลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าเปิดเผยเกินไป ไม่กลัวคนอื่นเขาวางแผนร้ายหรืออย่างไร
เขาพอจะมีความเข้าใจต่อโลกใบนี้บ้างแล้ว แม้ไม่ได้มากด้วยอันตราย แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก สามารถเรียกได้ว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก ฉะนั้นต้องมีสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงมีคนนิสัยอย่างนี้ได้กัน
ลู่เซิ่งหรี่ตา นิสัยแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไร้เดียงสาเกินไป ก็คงได้รับการปกป้องอย่างยิ่งยวด ถึงได้ไม่ทราบอันตรายใดๆ เลยสักนิด
หรือไม่ก็เป็นเพราะตนแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่สนใจอันตรายที่อยู่รอบกาย
ลู่เซิ่งสังหรณ์ใจว่าคงจะเป็นอย่างที่สอง
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้เล่า” หงอวิ๋นเห็นสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่คิดปิดบังของลู่เซิ่ง ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“เพียงแค่นึกสนใจเล็กน้อย” ลู่เซิ่งตอบราบเรียบ
“อย่างนั้นหรือ สนใจงั้นหรอกหรือ…” หงอวิ๋นถอนใจ “ในตอนนั้นข้าเองจำได้ว่าเกิดจิตแรกขึ้น ก็เพราะความสนใจเช่นกัน”
ลู่เซิ่งฉงนเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยถามต่อ
โครม!
ทันใดนั้นก็มีแรงสั่นสะเทือนมาจากนอกถ้ำ เหมือนมีสัตว์ยักษ์บางชนิดพุ่งใส่ถ้ำด้านนอกอย่างรุนแรง
“แย่แล้วๆๆ!” นกปีศาจหลายตัวพุ่งเข้ามาในถ้ำด้วยสีหน้าหวาดผวา “องค์ราชา! ด้านนอกมีปีศาจสาวกำลังร้องโวยวายขอรับ! ท่านรีบไปดูเถอะ!”
“ปีศาจสตรีหรือ พวกเกาหนีเล่า” ลู่เซิ่งงุนงง
“พวกใต้เท้าเกาหนีกำลังถูกปีศาจสาวหยอกล้อจนหัวหมุน ทำอย่างไรก็จับอีกฝ่ายไม่ได้เลยขอรับ!” ปีศาจน้อยผู้ที่พูดชัดถ้อยชัดคำตัวหนึ่งรีบอธิบาย
“หือ? คงต้องไปดูแล้วสินะ” ลู่เซิ่งลุกขึ้น ด้วยร่างอันใหญ่โตพอลุกในถ้ำ ก็เกิดการสั่นไหวทันที
เสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังตึงตังเป็นจังหวะ ลู่เซิ่งเดินออกจากถ้ำ หงอวิ๋นก็ตามออกมาด้วยเช่นกัน
ยามนี้บนที่ราบนอกถ้ำเนินเขาขาว มีหญิงสาวเลอโฉมสวมกระโปรงขาว บนคอมีขนกระต่ายปุกปุยคนหนึ่งยืนอยู่
พื้นรอบตัวนางมีหลุมยักษ์หลายหลุม นกยักษ์หลายตัวที่สวมเกราะหนังแนบเนื้อสีดำถูกคว่ำสลบอยู่บนพื้น
มีตัวหนึ่งที่บนร่างมีรูใหญ่ เลือดไหลนองเต็มพื้นเหมือนลำธาร
นกยักษ์ที่อยู่รอบๆ ห้อมล้อมหญิงสาวนางนี้เอาไว้ เหมือนพร้อมกรูกันเข้าไปรุมนางให้ตกตายได้ทุกเมื่อ
ภาพที่ลู่เซิ่งเห็นเป็นเช่นนี้
“อ้าว? ในที่สุดตัวการก็ออกมาแล้วหรือ” หญิงสาวเห็นลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ถึงบุคลิกที่แตกต่างไป ตาพลันเป็นประกาย เมื่อรู้ว่าเจอตัวการแล้ว
“ผู้ใด” ลู่เซิ่งกวาดตามองอาการบาดเจ็บของนกยักษ์ที่อยู่โดยรอบก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าสตรีผู้นี้อยู่ในระดับไหน
‘ระดับทารกกำเนิดเป็นอย่างน้อย!’ เขาแยกแยะระดับนี้ได้แค่ในชั่วอึดใจ
ระดับทารกกำเนิดแตกต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป มีเพียงถึงขอบเขตนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเปลี่ยนปราณปีศาจในตัวให้กลายเป็นพลังงานที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงได้ ซึ่งนั่นคือปราณทารก
ปราณทารกแข็งแกร่งกว่าพลังปีศาจในระดับแก่นทองคำไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
ลู่เซิ่งขบคิดในใจ ปัจจุบันเขาอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสร้างรากฐาน อย่างน้อยต้องก้าวข้ามระดับแก่นทองคำทั้งหมดก่อนถึงจะไปสู่ระดับทารกกำเนิด สู้น่ะย่อมสู้ได้แน่ แต่ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายหนีไปได้ล่ะก็…
เดิมทีนึกว่าเนินเขาขาวเป็นเพียงขุมกำลังเร่ร่อน นึกไม่ถึงว่าจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง
เขากลับไม่รู้เลยว่า ถ้าหัวหน้าเผ่าชิงย่วนแห่งเนินเขาขาวไม่บังเอิญต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงสำคัญพอดี ต่อให้ที่นี่จะถูกมนุษย์ทำลายไปหลายสิบปี ก็ไม่มีใครมาแก้แค้นให้พวกนางหรอก
“ข้าจิ่วจิ่ว ตั้งชื่อนี้เพราะอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเก้าของตระกูล” เมื่อหญิงสาวเห็นลู่เซิ่ง ก็ฉีกยิ้มแจ่มใส
“อย่างนั้นแม่นางจิ่วจิ่วมที่นี่เพราะเรื่องอะไรหรือ” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“ข้ามาหาชิงย่วน” จิ่วจิ่วเก็บรอยยิ้ม เผยสีหน้าจริงจัง
“ชิงย่วนหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ถูกต้อง ประมุขตระกูลข้ากำลังจัดงานเลี้ยงใหญ่ การร้องบรรเลงเต้นรำต้องใช้การจัดลำดับแถวที่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ชิงย่วนเป็นหนึ่งในนักเต้นนี้” จิ่วจิวบอกกล่าวตามตรง
ไม่รู้ว่านิ้วนางคีบควงป้ายคำสั่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสทองอ่อนตั้งแต่เมื่อไร
ป้ายคำสั่งนี้หนาหนักยิ่ง แต่นางกลับควงมันได้อย่างง่ายดาย เหมือนผีเสื้อโบยบินผ่านบุปผา
“นักเต้นหรือ” ลู่เซิ่งคร่ำเคร่ง ก่อนหน้านี้ชิงหย่วนเป็นราชาปีศาจระดับแก่นทองคำชัดๆ ตอนนี้กลับเป็นแค่นักเต้นในงานเลี้ยงของอีกฝ่ายเท่านั้น
“เป็นอันใด ชิงย่วนเล่า เรียกนางมาเถอะ” จิ่วจิวเอ่ยอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบ
ทันใดนั้นหงอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังเขาก็ก้าวขึ้นมา
“ข้าน้อยหงอวิ๋นแห่งอารามเมฆาเพลิง งานเลี้ยงนั่นเป็นงานเลี้ยงในอารามอาทิตย์จันทราใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามหนึ่งประโยค แต่กลับเบี่ยงเบนความสนใจของจิ่วจิวมาอยู่บนตัวเขาทันที
“อารามเมฆาเพลิงหรือ” จิ่วจิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความคิดที่กำลังจะลงมือพลันหยุดชะงักไว้
นางจ้องมองหงอวิ๋นอย่างระแวดระวัง
พรึ่บ
นางหยุดป้ายคำสั่งในมือลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะเก็บไว้ในแขนเสื้อ สายตาที่นางจ้องมองลู่เซิ่งในเวลานี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ในเมื่อท่านเซียนจากอารามเมฆาเพลิงอยู่นี่ เช่นนั้น ครั้งนี้เป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว…”
หลังจากอีกฝ่ายเก็บป้ายคำสั่งไป ความรู้สึกคุกคามภายในใจของลู่เซิ่งก็หายไปด้วยเช่นกัน
“อย่างนั้น…จิ่วจิ่วขอตัวก่อน จิ่วจิ่วบอกเจ้านายได้หรือไม่ว่าท่านเซียนอยู่ที่ใด” นางให้ความเคารพบุรุษที่ชื่อหงอวิ๋นเป็นพิเศษอย่างเหนือความคาดหมาย
“มีอันใดไม่ได้เล่า ข้ากับราชาปีศาจเฉาหัวในอารามเจ้าเป็นสหายสนิทกัน ช่วยทักทายเขาแทนข้าด้วย” หงอวิ๋นยิ้มอย่างเป็นมิตร เอ่ยเสียงอ่อนโยนกับจิ่วจิ่ว
“ข้าน้อยทราบแล้ว” จิ่วจิ่วพยักหน้ารับจริงจัง เหลือบมองลู่เซิ่งอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวทะยานขึ้นฟ้า บินออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นหมอกขาวหายลับไปกับขอบฟ้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่เซิ่งไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่น้อย
เขาในตอนนี้อยู่ในระดับสร้างรากฐานสูงสุด คิดจะต่อสู้กับหญิงสาวคนเมื่อครู่ให้ชนะนั้นง่ายดายนัก แต่หากคิดจะฆ่าปิดปากก็ยังยากนัก ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงสร้างพื้นฐาน จึงไม่มีเวลาไปเรียนอิทธิฤทธิ์อาคมใดๆ เลย
นอกจากนี้ ถ้าลงมือจริงๆ ป้ายคำสั่งในมืออีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่คุกคามเขามากที่สุด
“อารามอาทิตย์จันทราจัดงานเลี้ยงอีกแล้ว…” หงอวิ๋นเหม่อมองหมอกขาวที่ห่างออกไป เอ่ยพึมพำไม่รู้ว่าพูดอะไร
ลู่เซิ่งรอจนจิ่วจิ่วจากไป จึงประสานมือคำนับหงอวิ๋น
“ครั้งนี้ขอบคุณสหายหงอวิ๋นที่ช่วยเหลือ”
เขานึกไม่ถึงเหมือนกันว่าการทำลายเผ่าจิ้งจอกเนินเขาขาว จะดึงดูดคู่ต่อสู้ระดับนี้มา
ตอนนี้เขาไม่คิดที่จะดึงดูดปัญหามาเร็วแบบนี้
ยังดีที่หงอวิ๋นมีความเป็นมาลึกลับขู่ให้อีกฝ่ายถอยไปได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาลงมือเอง ก็ยังคงยุ่งยากมากอยู่ดี
“ข้าจดจำน้ำใจครั้งนี้ไว้แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยจริงจัง “หากมีโอกาสข้าทดแทนแน่นอน ถ้าท่านเจอปัญหา สามารถใช้สิ่งนี้อัญเชิญข้าได้”
เขายื่นเส้นขนสีฟ้าในอดีตของตัวเองไปให้
ของสิ่งนี้ถูกเขาหลอมให้กลายเป็นของวิเศษประเภทอักขระข้อความ สำหรับใช้ครั้งเดียวทิ้ง
เขาเคยทดลองมาก่อน ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันเท่าไร ขอแค่บีบเส้นขนให้สลาย เขาก็จะสัมผัสได้ทันที
หงอวิ๋นรับเส้นขนไว้ ก่อนจะอดยิ้มไม่ได้
ช่วยเหลือหรือ เขาคือตัวตนแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับจอมอริยะ ผู้สำเร็จเมฆาสีชาดก้อนแรก ทั้งยังเคยฟังธรรมในอารามเมฆาม่วงมาก่อน จะใช้น้ำใจของผู้เยาว์ตัวเล็กจ้อยได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเขาเจอปัญหาเข้าจริงๆ ปีศาจนกตัวน้อยนี้จะช่วยเหลืออะไรได้หรือ
แต่นี่เป็นความหวังดีของอีกฝ่าย เขาจึงเก็บมันไว้อย่างเห็นคุณค่า เขามองออกว่านี่เป็นเส้นขนเส้นแรกที่อีกฝ่ายเก็บไว้หลังขนร่วง สำหรับปีศาจนกมากมายมันมีความหมายสำคัญยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายกลับมอบให้ตนอย่างไม่ลังเล
นี่ถือว่าเขาเป็นสหายแล้วสินะ
ตัวเขานั้นไม่ชอบอะไรอย่างอื่นนอกจากสหายกับสุรา
ในเมื่อเป็นความประสงค์ของสหาย เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเก็บไว้
“ได้ๆๆ สักวันหนึ่ง ถ้าเจอปัญหา จะขอให้ท่านช่วยแน่นอน” หงอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม้เขาจะรู้ดีว่าไม่มีวันนั้นก็ตาม
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ในเมื่อท่านรับน้ำใจของข้าแล้ว เช่นนั้น ก็เป็นคนดีให้ถึงที่สุดเสียเลยสิ ท่านช่วยข้าปกป้องที่นี่หน่อย ข้าจำเป็นต้องเตรียมการบางอย่างเพิ่มเติม”
ถ้าเขาเดาไม่ผิด เป็นไปได้อย่างยิ่งที่หงอวิ๋นตรงหน้านี้คือหงอวิ๋นผู้น่าเวทนาในความทรงจำของเขา ซึ่งเขาเคยอ่านประวัติมาก่อนบนโลกใบเดิม…
“หือ” หงอวิ๋นงุนงง เขาเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ไม่ได้คิดจะรั้งอยู่เพื่อช่วยเหลือจริงๆ เสียหน่อย
“ท่านเป็นสหายมิใช่หรือ” ตอนนี้ลู่เซิ่งไม่มีกำลังรบที่ใช้ข่มขวัญได้คอยช่วยเหลือ อุตส่าห์ได้คนดีๆ มาเป็นพวก ย่อมต้องใช้ประโยชน์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้นในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ คาดว่าคงมีแต่บรรพชนหงอวิ๋นที่ผูกมิตรไปทั่วใต้หล้าผู้นี้เท่านั้น ถึงจะเข้าใกล้ได้แบบนี้ แถมเข้ามาแอบฟังแนวคิดพิลึกของเขาอีก
พวกผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้ ต่างมีบุคลิกใหญ่โตทั้งสิ้น ด้วยระดับของเขาในปัจจุบัน ต่อให้มีใจคิดไปมาหาสู่ ก็ยังขาดความสามารถอีกมากโข
‘ถ้าโลกใบนี้เป็นสถานที่ที่เราคิดไว้จริงๆ ล่ะก็…อย่างนั้นก็น่าสนใจแล้ว…’ ดวงตาลู่เซิ่งฉายประกายเย็นเยียบ
……………………………………….
[1] หงอวิ๋น ภาษาจีนหมายถึงเมฆาสีชาด