ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 500 เปลี่ยนแปลง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 500 เปลี่ยนแปลง

“ผิดพลาด?” จักรพรรดิหย่งอันทรงหรี่พระเนตรลง “ราชครูหมายถึงสิ่งใดที่ผิดพลาด”

ไท่กวงเจินเหรินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันเกิดของดาวปีศาจที่จะนำพาหายนะมาสู่บ้านเมืองผิดพลาด วันเกิดของดาวปีศาจที่กระหม่อมทำนายก่อนหน้านี้คือสตรีที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีปิ่งหยิน ในระหว่างที่ทำนายกระหม่อมรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จนมาวันนี้เมื่อทำนายดูอีกครั้งจึงพบว่าคำทำนายผิดพลาด วันเกิดที่ถูกต้องของดาวปีศาจผู้ทำลายบ้านเมืองควรจะเป็นยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน”

ความยินดีจากข่าวดีที่จักรพรรดิหย่งอันทรงได้รับถูกกดลงไปในทันที สีพระพักตร์พลันจริงจัง “หมายความว่า ก่อนหน้านี้เข้าใจผิดหรือ”

ไท่กวงเจินเหรินพยักหน้า “เป็นความพลาดพลั้งของกระหม่อมจริงๆ เหตุผลหลักคือวิถีของดาวปีศาจนั้นผิดปกติ ดูเหมือนว่าจะถูกปกคลุมด้วยดาวจางๆ ดวงหนึ่ง ซึ่งน่าเหลือเชื่อจริงๆ…”

“ไม่เป็นไร ตราบใดที่คราวนี้ราชครูทำนายถูกต้อง เพียงแค่กำจัดต้นตอปัญหาเช่นก่อนหน้านี้ก็พอ” จักรพรรดิหย่งอันตรัสอย่างเย็นชา

ต่อหน้าราชครูที่ช่วยเหลือเขามานานหลายปี จักรพรรดิหย่งอันไม่ได้ปกปิดนิสัยเยือกเย็นโหดเหี้ยมของพระองค์

ไท่กวงเจินเหรินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องทูลรายงานฝ่าบาท”

“ราชครูโปรดพูด”

ไท่กวงเจินเหรินพูดขึ้นทีละพยางค์ว่า “ดาวเทพขุนพล[1]เปลี่ยนแปลง”

“อะไรนะ” จักรพรรดิหย่งอันลุกพรวด

การทำนายดาวปีศาจผิด สำหรับจักรพรรดิหย่งอันแล้วก็แค่การเริ่มต้นใหม่ ตามที่ราชครูกล่าว ยังเร็วเกินไปสำหรับดาวปีศาจที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะวิกฤตต่อบ้านเมืองจึงยังมีเวลามากพอที่จะกำจัดหายนะนี้ แต่ผลกระทบของดาวเทพขุนพลที่มีต่อพระองค์นั้นรุนแรงเกินไป

ตัวตนของดาวเทพขุนพลมีเพียงพระองค์และราชครูที่รู้ และบัดนี้ดาวเทพขุนพลอยู่ทางทิศตะวันออกแดนไกล แทบจะอยู่เหนือการควบคุมของเขา

จักรพรรดิหย่งอันเหลือบมองโต๊ะมังกร ข่าวดีที่วางอยู่บนโต๊ะที่ทำให้นานๆ ทีพระองค์จะรู้สึกดีพระทัย บัดนี้กลับทำให้พระองค์ตื่นตระหนก

นั่นคือความตื่นตระหนกที่ไม่สามารถควบคุมได้

จักรพรรดิหย่งอันทรงข่มความสับสนไว้ในพระทัยและถามเสียงขรึมว่า “ราชครู ดาวเทพขุนพลเปลี่ยนแปลงอย่างไร โปรดพูดให้ชัดเจน”

ไท่กวงเจินเหรินค่อยๆ พูดว่า “ดาวเทพขุนพลมีดีมีร้าย เนื่องจากดาวปีศาจปรากฏกาย กระหม่อมสังเกตท้องฟ้าช่วงนี้ พบว่าดาวเทพขุนพลเปลี่ยนจากดีเป็นร้าย และมีแนวโน้มจะส่งเสริมดาวปีศาจ…”

จักรพรรดิหย่งอันทรงตกพระทัยเมื่อได้ยินดังนี้ พระพักตร์พลันนิ่งสงบดั่งสายน้ำ ผ่านไปนานจึงตรัสถามด้วยสุรเสียงแหบแห้งว่า “ราชครูมีข้อเสนออันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้”

ไท่กวงเจินเหรินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “กระหม่อมมีหน้าที่ทูลรายงานสถานการณ์แก่ฝ่าบาทเท่านั้น ส่วนเรื่องจะตัดสินพระทัยอย่างไร คงต้องให้ฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”

จักรพรรดิหย่งอันพยักพระพักตร์ช้าๆ “เรารู้แล้ว”

หลังจากไท่กวงเจินเหรินออกไป จักรพรรดิหย่งอันก็สั่งโจวซานให้เรียกแม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าวังในทันที

แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังเตรียมตัวเลิกงาน เมื่อทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกก็อดกังวลใจไม่ได้

เรียกเขาเข้าวังเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”

จักรพรรดิหย่งอันหลุบพระเนตรมองแม่ทัพใหญ่ลั่ว ถามว่า “ลั่วฉือ สิ่งที่ให้เจ้าทำเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วก้มหน้าพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ล่าสุดกำจัดไปแล้วสิบกว่าคน เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาประชาชน กระหม่อมกำลังดำเนินการอย่างเงียบๆ ตามแผนพ่ะย่ะค่ะ”

“หยุดเถิด”

“ฝ่าบาท?” แม่ทัพใหญ่ลั่วเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ความยินดีอันไร้ขีดจำกัดผุดขึ้นในใจ

หรือว่าฝ่าบาททรงตื่นรู้แล้วจึงหยุดคำสั่งเหลวไหลเช่นการเข่นฆ่าหญิงสาวบริสุทธิ์

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องทำงานด้วยความรู้สึกผิดอีกแล้ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วตื้นตันในใจ ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าใดๆ

เคียงข้างฮ่องเต้มาหลายปี เขารู้จักฮ่องเต้เป็นอย่างดี เมื่อไรก็ตามที่ทำให้ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าเขาผู้เป็นดาบเล่มนี้ใช้การไม่ได้แล้ว เกรงว่าเขาจะถูกเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็ว

ดาบที่ถูกทิ้งเป็นเพียงเศษโลหะ จุดจบจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องพูดก็เป็นที่รู้กันดี

จักรพรรดิหย่งอันส่งสัญญาณให้แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้น ตรัสด้วยสีพระพักตร์สงบนิ่งว่า “ก่อนหน้านี้เข้าใจผิด ผู้ที่เราต้องการให้เจ้ากำจัดไม่ใช่สตรีในเมืองหลวงที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีปิ่งหยิน แต่คือสตรีที่เกิดในยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน…”

ยังไม่ทันฟังคำพูดของจักรพรรดิหย่งอันจบ แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

เขารู้ว่าเขาไม่ควรเผยสีหน้าผิดปกติ แต่เขาควบคุมไม่ได้

เซิงเอ๋อร์เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน!

คราวนี้ คำพูดของลั่วเซิงพลันดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้ผู้ที่พวกเขาต้องการฆ่าคือสตรีที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีปิ่งหยิน ครั้งหน้าอาจจะเป็นสตรีที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน เมื่อดาบเริ่มชี้ไปที่ผู้บริสุทธิ์ มันก็สามารถตกใส่ศีรษะใครก็ได้…

ลั่วเซิงพูดถูก ดาบตกใส่ศีรษะนางตามคาด

“ทำไมรึ” เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่ทัพใหญ่ลั่ว จักรพรรดิหย่งอันก็ขมวดพระขนง

แม่ทัพใหญ่ลั่วแอบกำหมัดแน่น พยายามรักษาความสงบกล่าวว่า “กระหม่อมคิดถึงสตรีสิบกว่าคนที่พลั้งมือสังหารจึงรู้สึกเสียดายพ่ะย่ะค่ะ”

“เสียดายหรือ” จักรพรรดิหย่งอันแววพระเนตรลุ่มลึก น้ำเสียงเยือกเย็น

แม่ทัพใหญ่ลั่วกำหมัดประสานมือ พูดอย่างจริงจังว่า “แม้กระหม่อมจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เป็นชะตากรรมของสตรีเหล่านั้น หากพวกนางรู้ว่าพวกนางกำลังแบ่งเบาความกังวลพระทัยให้ฝ่าบาท พวกนางย่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหย่งอันทรงเผยรอยยิ้ม ตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปทำงานเถิด เราเชื่อในความสามารถของเจ้า”

“กระหม่อมทูลลา”

ตอนเดินออกจากพระราชวัง แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงกล้าเผยสีหน้าเคร่งขรึม มือของเขาสั่นไปหมด

ในอดีตเขาเคยคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อชีวิตของครอบครัว ครานี้ถึงตาบุตรสาวของเขาแล้ว เขาควรทำอย่างไร

แล้วจะทำอะไรได้บ้าง

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว บนถนนยังคงครึกครื้น

แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินบนถนนชิงซิ่งอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นธงสุราสีเขียวที่พลิ้วไหวหน้าประตูหอสุราก็อดชะงักฝีเท้าไม่ได้ แววตาแปรเปลี่ยนไม่หยุด

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เดินเข้าไปในหอสุรา แต่เดินกลับไปจวนแม่ทัพใหญ่เงียบๆ

เมื่อหอสุราปิด ลั่วเซิงกลับถึงจวนก็ถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วเรียกไปยังห้องหนังสือ

“ท่านพ่อเรียกลูกมามีอะไรหรือเจ้าคะ” เมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ลั่วเซิงก็รู้สึกตึงเครียด เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองลั่วเซิงเงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจพูดว่า “เซิงเอ๋อร์ เจ้าพูดถูกแล้ว”

ลั่วเซิงรู้แทบจะในทันที “ฝ่าบาททรงต้องการให้ท่านสังหารผู้บริสุทธิ์อีกแล้วหรือ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงัก จากนั้นก็พยักหน้า “พระองค์ทรงบัญชาให้พ่อกำจัดสตรีในเมืองหลวงที่เกิดในยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน”

ลั่วเซิงได้ยินคำพูดนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกประหลาดใจแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าเรื่องราวสิ้นสุดลงแล้ว

วันเกิดที่ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายถึงสองคราทำให้นางเชื่อว่าบุคคลที่จักรพรรดิต้องการกำจัดคือนาง

หรือท่านหญิงชิงหยางที่มีชีวิตอยู่ในนามของคุณหนูลั่ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วเฝ้ามองปฏิกิริยาของลั่วเซิง เห็นนางยังคงมีสีหน้าดังเดิมก็ยิ้มอย่างขมขื่น “กลัวว่าจะทำให้เจ้าหวาดกลัว เดิมพ่อไม่อยากบอกเจ้า แต่ต่อมาพ่อคิดว่าเจ้าเป็นลูกของพ่อ เป็นลูกสาวที่อาจหาญ รู้ไว้ย่อมดีกว่าไม่รู้”

“ขอบคุณท่านพ่อที่บอกลูก” ลั่วเซิงยิ้มๆ ถามแผนการของแม่ทัพใหญ่ลั่ว “เช่นนั้นท่านเตรียมจะทำอย่างไรเจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วยกมือขึ้นตบไหล่ลั่วเซิงเบาๆ “ให้เป็นหน้าที่ของพ่อ หากเรื่องราวเลวร้ายถึงที่สุด เราจะหาทางหนีออกจากเมืองหลวง”

เช้าวันต่อมา แม่ทัพใหญ่ลั่วไปกรมครัวเรือน ขอทะเบียนราษฎรจากซุนซื่อหลาง

ซุนซื่อหลางอดพูดไม่ได้ว่า “ไม่กี่วันก่อนแม่ทัพใหญ่ลั่วเพิ่งดูไปมิใช่หรือขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “องครักษ์จิ่นหลินทำงาน เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกให้คนนอกรู้ ใต้เท้าซุนโปรดอภัยด้วย”

ซุนซื่อหลางหนาวสะท้านในใจ รีบกล่าว “แม่ทัพใหญ่ลั่วรอสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนนำทะเบียนมาเดี๋ยวนี้”

[1] ดาวเทพขุนพล เป็นตัวแทนของดาวอำนาจ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท