ตอนที่ 502 เหยื่อล่อ
หลินเถิงสะท้านไปทั้งตัว จู่ๆ ความหวาดกลัวก็ถาโถม
เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้เกิดจากอะไร หลังจากหยุดคิดชั่วครู่แล้ว เขาก็คิดได้เพียงว่าเป็นความหวาดกลัวที่เกิดจากความกังวลว่าสหายอาจจะตกอยู่ในอันตราย
คนผู้นั้นเสียสติไปแล้วหรือ สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นประชาชนของเขา เหตุใดจึงกระทำการโหดเหี้ยมเช่นการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้
หลินเถิงคิดไม่ตก ความรู้สึกไร้หนทางยิ่งทำให้เขาทรมานและโมโห
“คุณหนูลั่ว…” เขาปริปาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับสงบนิ่ง “ท่านพ่อข้าจึงจัดฉากให้คนวางเพลิง เผาทะเบียนราษฎรเหล่านั้นทิ้ง”
นางสบตาหลินเถิง ถามอย่างสงบว่า “ใต้เท้าหลินจะจับท่านพ่อข้าหรือไม่”
“ข้าไม่จับ!” หลินเถิงโพล่งออกไปโดยไม่คิด
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้ม “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณใต้เท้าหลินแทนท่านพ่อข้าแล้ว”
หลินเถิงยิ้มขมขื่น “คุณหนูลั่วอย่าพูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ”
เขาทั้งรู้สึกละอายต่อความลำเอียงของตนเองและยิ่งละอายต่อความไร้สามารถของตนเอง
แม้เพลิงที่แม่ทัพใหญ่ลั่ววางจะทำไปเพื่อบุตรสาว แต่กลับช่วยสตรีที่เหมือนคุณหนูลั่วไว้มากมาย เขาไม่ได้มีความคิดคร่ำครึเช่นนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนผิดแล้วยังช่วยเหลือคนร้ายกระทำผิด
จู่ๆ คำพูดนี้ก็ผุดขึ้นในใจ หลินเถิงหนาวสั่น
เขาคงบ้าไปแล้ว ถึงกับใช้คำว่า ‘ช่วยเหลือคนร้ายกระทำความผิด’ มาบรรยายองค์จักรพรรดิ
หลังจากเงียบไปนาน หลินเถิงถามว่า “คุณหนูลั่ว บิดาท่านรู้เหตุผลที่ท่านนั้นทำเช่นนี้หรือไม่”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ
หากต้องพูดถึงเหตุผล บนโลกใบนี้นอกจากฮ่องเต้และราชครูแล้ว เกรงว่าก็มีเพียงนางที่คาดเดาบางอย่างได้
ทว่าการคาดเดาก็เป็นเพียงการคาดเดา แม้จะทายถูก นางก็ไม่มีทางบอกผู้อื่น
“ใต้เท้าหลินไปทำธุระเถอะเจ้าค่ะ อยู่นานไปจะทำให้ผู้อื่นสงสัย”
หลินเถิงลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่วางใจจึงกำชับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหนูลั่ว หากมีปัญหาอะไรต้องบอกข้านะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ “ได้”
ขณะที่กรมยุติธรรมและองครักษ์จิ่นหลินร่วมมือกันตรวจสอบคดีไฟไหม้กรมครัวเรือน จักรพรรดิหย่งอันก็ยังทรงไม่ยอมแพ้กับการกำจัดดาวปีศาจ
สำหรับองค์จักรพรรดิที่โหดเหี้ยมและขี้สงสัยท่านนี้แล้ว ใครก็ตามที่คุกคามบ้านเมืองแม้เพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงยอมสังหารผิดดีกว่าปล่อยไป
ทะเบียนราษฎรถูกเผาทำลายทั้งหมด หากรวบรวมใหม่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง จักรพรรดิหย่งอันย่อมไม่มีความอดทนเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดมาหลายวัน ประกาศใบหนึ่งก็ถูกติดข้างนอก กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในเมืองหลวงทันที
ฮ่องเต้ทรงจะเลือกนางสนมอีกแล้ว!
สามัญชนมากมายที่มุงดูประกาศอ่านหนังสือไม่ออกจึงมีคนถามขึ้นว่า “บนประกาศเขียนว่าอะไรหรือ”
มีคนดูมีการศึกษาคนหนึ่งอธิบายว่า “ฝ่าบาทจะเลือกนางสนมจากประชาชน”
เหล่าประชาได้ยินก็สนใจ “เลือกนางสนมจากประชาชน? แบบนี้ก็หมายความว่าบุตรสาวของเราก็เข้ารับการคัดเลือกได้หรือ”
คนๆ นั้นยิ้มและพูดว่า “ได้น่ะได้ แต่มีเงื่อนไข”
“เงื่อนไขอะไรหรือ” ผู้คนพากันถาม
“เงื่อนไขในการเข้าคัดเลือกคือต้องเป็นสตรีที่มีอายุสิบเจ็ด และเกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด”
ประชาชนที่มุงดูต่างมองหน้ากันไปมา
เงื่อนไขนี้แปลกประหลาดจริงๆ
ข่าวลือเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ไม่นานราชครูออกจากการกักตน เป็นเพราะสังเกตท้องฟ้าในยามกลางคืนแล้วพบว่ามีดาวที่เหมาะสมกับองค์จักรพรรดิปรากฏ ซึ่งก็หมายความว่าในพระราชวังกำลังจะมีนายหญิงคนใหม่
ฮองเฮาองค์ใหม่จะมีทายาทให้ฮ่องเต้
และตามคำทำนายของราชครู วันเกิดของสตรีนางนี้คือยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน
ข่าวลือแพร่สะพัดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คนในเมืองหลวงบ้างคิดว่าไร้สาระ และมีอีกหลายคนเชื่อเช่นนั้น
สำหรับใครหลายๆ คนแล้ว การส่งบุตรสาวเข้าวังไปเป็นนางสนมตัวน้อยๆ คนหนึ่งอาจจะลังเล แต่หากเป็นฮองเฮาก็คุ้มค่าที่จะลอง เซียวกุ้ยเฟยเพิ่งพ้นช่วงอยู่ไฟได้รับข่าวนี้ นางโมโหจนหน้าดำหน้าแดง
ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยเช่นนี้เลยหรือ เพิ่งเลือกนางสนมไปไม่กี่เดือนก็จะเลือกนางสนมใหม่อีกแล้ว!
จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะองค์หญิงที่นางให้กำเนิด
เมื่อคิดถึงบุตรสาวที่อ่อนแอราวกับแมวป่วย เซียวกุ้ยเฟยก็ยิ่งทุกข์ใจ นางส่งคนไปเชิญจักรพรรดิหย่งอันที่ตำหนักหย่างซิน
รอไม่นาน จักรพรรดิหย่งอันก็เสด็จมาถึง
“สนมรักมีอะไรหรือ”
เซียวกุ้ยเฟยจ้องมองจักรพรรดิหย่งอัน จู่ๆ ตาก็แดง
จักรพรรดิหย่งอันตกตะลึง “สนมรักเป็นอะไรไปหรือ”
เซียวกุ้ยเฟยก้มหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “หม่อมฉันได้ยินว่าวังหลังจะมีนายหญิงแล้วเลยรู้สึกกลัวเพคะ”
แววพระเนตรจักรพรรดิหย่งอันลุ่มลึก พระองค์จับมือเซียวกุ้ยเฟยไว้ “สนมรักได้ยินข่าวลือจากที่ใดมา”
“ตอนนี้รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองมิใช่หรือ” เซียวกุ้ยเฟยกะพริบตาสองสามที ดูอ่อนแอเล็กน้อย “เมื่อวังหลังมีนายหญิงแล้ว สนมที่ได้รับความโปรดปรานเช่นหม่อมฉันก็จะกลายเป็นหนามยอกอก ไม่แน่วันไหนทำอะไรผิดไปก็จะ…”
จักรพรรดิหย่งอันเอ่ยขัดความขุ่นเคืองใจของเซียวกุ้ยเฟย “สนมรักอย่าคิดมาก นายหญิงใหม่ที่ไหนกัน ข้าแค่เติมคนเข้าวังหลังเท่านั้น”
ความทุกข์ใจหลายวันมานี้ทำให้จักรพรรดิหย่งอันไม่ค่อยมีอารมณ์ปลอบประโลมเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างไรเซียวกุ้ยเฟยก็เป็นแก้วตาดวงใจของเขาจึงตรัสด้วยความอดทนว่า “สนมรักก็รู้ว่าข้าไร้ทายาท นางสนมที่เลือกเข้าวังหลังช่วงก่อนหน้านี้ไร้ความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ข้าจึงอยากจะเลือกสตรีส่วนหนึ่งเข้าวังอีกครั้ง สนมรักวางใจ จะอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือเจ้าได้”
เซียวกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหยันในใจ
อะไรคือการบอกว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวจนถึงบัดนี้ การคัดเลือกนางสนมคราวที่แล้วจนถึงตอนนี้ผ่านมายังไม่ถึงครึ่งปีเลย!
ส่วนเรื่องที่ว่าไม่มีผู้ใดอยู่เหนือนางได้ หากนางเชื่อจริงๆ ก็คงเป็นคนโง่
จนถึงบัดนี้ฝ่าบาทยังไม่มีทายาท ตราบใดที่นางสนมให้กำเนิดโอรส ถึงครานั้นบารมีของมารดามาจากบารมีของบุตรชาย ใครจะยังจำนางผู้เป็นกุ้ยเฟยคนนี้ได้อีก
แม้เซียวกุ้ยเฟยจะไม่พอใจ แต่ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าใดๆ นางแอบอิงอ้อมอกของจักรพรรดิหย่งอัน พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้ว”
หลังจากออกจากวังอวี้หวา จักรพรรดิหย่งอันก็พระพักตร์ขรึมลงทันที “ต่อไปใครพูดจาไร้สาระต่อหน้ากุ้ยเฟยก็ให้เขาปิดปากไปตลอดชีวิตเสีย”
เรื่องการคัดเลือกนางสนมอีกครั้งกลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันร้อนแรงในเมืองหลวง ในห้องหนังสือจวนลั่ว ลั่วเซิงและแม่ทัพใหญ่ลั่วก็กำลังหารือเรื่องนี้
“คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อเผาทะเบียนรายชื่อไปแล้ว ฝ่าบาทจะทรงโยนเหยื่อล่อเช่นนี้ออกมา”
แม่ทัพใหญ่ลั่วถอนหายใจ “แบบนี้ก็ยังดีกว่าก่อนหน้านี้ อย่างน้อยครอบครัวที่รักบุตรสาวก็จะไม่ส่งบุตรสาวเข้าวัง”
หากก่อนหน้านี้เป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมีสตรีโชคดีที่รอดชีวิตได้
ความเศร้าโศกในใจแม่ทัพใหญ่ลั่วยังคงไม่หายไป
ฝ่าบาททรงคิดวิธีนี้ออกมาเพื่อกำจัดสตรีที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน เห็นได้ชัดว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน
ต้องมีสักวันหนึ่ง ดาบที่อยู่บนที่สูงนั่นจะตกใส่ศีรษะของเซิงเอ๋อร์
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวอันเป็นที่รัก ตกอยู่ในความเงียบที่ยาวนาน
มีเสียงดังขึ้นจากนอกห้องหนังสือ “แม่ทัพใหญ่ มีเทียบเชิญจากจวนองค์หญิงมาขอรับ”
“เข้ามา”
คนรับใช้คนหนึ่งผลักประตูเข้ามาเบาๆ มอบเทียบเชิญวิจิตรแผ่นหนึ่งให้ลั่วเซิง
ลั่วเซิงเปิดออกมาอ่านผ่านตา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ทำไมหรือ”
ลั่วเซิงถือเทียบเชิญไว้แล้วยิ้ม “องค์หญิงฉางเล่อทรงชวนลูกไปเล่นที่จวนองค์หญิงเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้ความสัมพันธ์ขององค์หญิงฉางเล่อและบุตรสาวจึงวางใจลง “ไปเถอะ ปัญหาเหล่านี้พ่อจะหาทางออกเอง”
“เช่นนั้นลูกขอตัวไปก่อนเจ้าค่ะ”
เทียบกับความวางใจของแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว ลั่วเซิงกลับไม่สบายใจเช่นนั้น
หลังจากการทดสอบคราวนั้น องค์หญิงฉางเล่อก็ไม่ได้ติดต่อนางนานแล้ว จู่ๆ มาเชิญนางไปจวนองค์หญิง ไม่แน่อาจจะเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน[1]
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน คืองานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อสังหารอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางเลือก