สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1209 ตอนพิเศษ (80.2)

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1209 ตอนพิเศษ (80.2)

“พี่ชายที่อยู่ข้างหน้า ช้าก่อน…” บ่าวรับใช้จวนหลี่วิ่งเข้ามาหา เหนื่อยเสียจนต้องละล่ำละลักพูด “พี่ชาย ท่านเดินเร็วยิ่งนัก ข้าไล่ตามท่านมาตลอดทางนานแล้ว”

“มีเรื่องใด?”

“เป็นเช่นนี้ คุณชายข้าอยากหารือเรื่องการค้ากับท่าน” บ่าวรับใช้เอ่ย “ข้าเป็นคนจวนหลี่ ก่อนหน้านี้จวนข้าเคยซื้อสัตว์ป่าจากท่าน ท่านยังจำได้กระมัง? คุณชายเราอยากซื้อสัตว์ป่าจากท่านอีกครั้ง”

ชูอีหันไปมองลู่จื่ออวิ๋น

ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ข้าจะไปดูกับท่าน”

“ได้”

“ทั้งสองท่านเป็นสามีภรรยาหรือ?” บ่าวรับใช้เอ่ยถาม “ผู้น้อยไม่ได้มีความหมายอื่นได้ เพียงแค่กำลังคิดว่าควรเรียกแม่นางน้อยผู้นี้ว่าอย่างไร”

“เรียกข้าฮูหยินลู่ก็ได้” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว

“ฮูหยินลู่ เชิญทางนี้…”

จวนหลี่ ลู่จื่ออวิ๋นถูกจัดเตรียมให้นั่งพักผ่อนที่ศาลา

สาวใช้นำน้ำชาและของว่างมาให้ ทั้งยังพัดวีให้นางเป็นระยะ ๆ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่นาง ถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อนก็ยังถูกสังเกตเห็นอย่างง่ายดาย

“หน้าข้ามีอะไรติดหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

ในแววตาพวกนางไม่ได้มีความมุ่งร้าย

สาวใช้คนหนึ่งเป็นคนชอบยิ้มแย้ม ยามยิ้มยังเผยลักยิ้มออกมา ดูใสซื่อตรงไปตรงมาทีเดียว

“บ่าวไม่เคยเห็นคนที่สวยอย่างฮูหยินมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”

“ปากหวานเสียจริง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “จวนหลี่ของพวกเจ้าทำการค้าประเภทใดหรือ?”

“นายท่านเป็นพ่อค้าเกลือเจ้าค่ะ”

“พ่อค้าเกลือหรือ!” ลู่จื่ออวิ๋นกระจ่างแล้ว “มิน่าเล่า”

มิน่าเล่าเหตุใดจึงกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของที่นี่

คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเป็นพ่อค้าเกลือได้ ในเมื่อจวนหลี่เป็นพ่อค้าเกลือได้จักต้องมีผู้หนุนหลังอย่างแน่นอน

“ฮูหยิน นายท่านเมื่อครู่ผู้นั้นเป็นสามีท่านหรือเจ้าคะ?”

ลู่จื่ออวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าลองเดาสิ”

“เรื่องนี้บ่าวเดาไม่ออกเจ้าค่ะ”

สาวใช้อีกผู้หนึ่งเอ่ย “ฮูหยินให้พวกบ่าวเดา ในเมื่อยามนี้ไม่มีเรื่องอะไร เช่นนั้นจะพูดคุยเรื่องขบขันกับฮูหยินนะเจ้าคะ บ่าวรู้สึกว่านายท่านผู้นั้นไม่ใช่สามีของฮูหยิน ผู้ชายมีบุคลิกสง่างามไม่ธรรมดา ทว่าฮูหยินสูงศักดิ์ยิ่งกว่านั้น นอกจากนี้เสื้อผ้าของฮูหยินยังเป็นผ้าไหมทอดิ้นลายเมฆซึ่งมีราคาอย่างน้อยสามร้อยตำลึงเงิน เสื้อผ้าของนายท่านผู้นั้นกลับเรียบง่าย ดูไม่เหมือนคนร่ำรวยเพียงนี้เจ้าค่ะ”

“เสื้อผ้าชุดนี้ของข้าสีเข้ม ไม่ได้ฉูดฉาดอย่างผ้าไหมทอดิ้นลายเมฆทั่วไป เจ้ามองเพียงปราดเดียวกลับจำต้นกำเนิดของมันได้ทันที แสดงให้เห็นว่าเจ้าสายตาไม่เลวเลย มีคุณสมบัติของผู้ทำการค้าที่ดี” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “เพียงแต่เจ้าเดาผิดแล้ว เขาเป็นสามีของข้า”

“หา?” คนที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างรู้สึกประหลาดใจ

“เพียงแต่เขาป่วย ลืมเลือนอดีตที่มีกับข้าไปแล้ว ดังนั้นข้าจำต้องพาเขาไปรักษา” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “หลังจากเขาป่วย เขาก็รู้สึกว่าตนเป็นเพียงชายบ้านนอกธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง ข้าคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นอยู่เป็นเพื่อนเขาที่ชนบทก็ดีเช่นกัน”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นฮูหยินก็ลำบากแล้วจริง ๆ”

ลู่จื่ออวิ๋นเห็นสาวใช้หาข้ออ้างปลีกตัวออกไป แววตาเข้าใจแวบขึ้นมาในดวงตานาง

ดังคาด การที่สาวใช้เหล่านี้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับชูอีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ในเมื่อไม่รู้จักกัน ย่อมไม่ใช่พวกนางที่สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน

เช่นนั้นคงมีคนอยู่เบื้องหลัง คนผู้นี้เป็นผู้ใดไม่สำคัญ เกรงว่าจะต้องตานางไม่ก็ชูอีเป็นแน่ นางนั้นเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ออกจากบ้าน ทั้งยังไม่ได้ข้องเกี่ยวกับชายใด ถึงแม้นางจะรู้ว่ามีชายในหมู่บ้านจับจ้องมาไม่น้อย ทว่าหลังจากได้รับชมการแสดงของติงเซียงกับไป๋จื่อหลายฉาก บุรุษเหล่านั้นก็รู้ว่านางเล่นด้วยไม่ได้ง่าย ๆ จึงไม่กล้าเกิดความคิดใด ๆ

ไม่ใช่เพราะนาง หรือว่าเป็นเพราะชูอี?

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเสียโฉมไปแล้ว ทว่าก็ยังมีคนไม่น้อยสนใจในตัวเขา หญิงสาวเมื่อไม่นานมานี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง

แม้กระทั่งช่วยคนผู้หนึ่งยังนำพาปัญหามาได้ เห็นได้ว่าชนบทแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจอะไร

“นางกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?” หลี่หยวนจงเอ่ยถามสาวใช้

สาวใช้พยักหน้า “เจ้าค่ะ”

“เฮ้อ…” หลี่หยวนจงคร่ำครวญ “บุปผางามปักมูลวัว*[1]”

“ข้าคิดว่าสาวน้อยผู้นั้นกำลังโกหก” สหายข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “เจ้าลองคิดดู หากพวกเขาเป็นสามีภรรยาจริง ๆ คนสองคนจะดูไม่คุ้นเคยกันเพียงนี้หรือ?”

“ข้าสั่งสัตว์ป่าสามตัวจากพี่ชายน้อยผู้นั้น” หลี่หยวนจงหัวเราะพลางกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่บ้านเขา ตามขึ้นเขาไปล่าสัตว์”

เช่นนี้ก็จะรู้แล้วว่าพวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกัน

“หากเป็นความจริงอย่างที่นางกล่าว พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เพราะพี่ชายน้อยผู้นั้นป่วยจึงลืมอดีต เช่นนั้นเจ้าก็ไม่อาจทำลายความสัมพันธ์ผู้อื่น!”

“วางใจเถิด” หลี่หยวนจงกล่าว “ข้าหลี่หยวนจงต้องการสิ่งใดได้สิ่งนั้น แต่จะไม่ทำเรื่องอย่างบังคับฝืนใจ ถึงแม้ว่า… ข้าจะชอบพอสตรีผู้หนึ่งเป็นครั้งแรกก็ตาม”

ลู่จื่ออวิ๋นรอกระทั่งชูอีออกมา

“คนจวนหลี่ต้องการให้ท่านทำอะไรหรือ?”

“พวกเขาอยากล่าสัตว์สามตัวจึงมาหาข้า” ชูอีเอ่ย “ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว หนึ่งตัวให้หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน”

“ราคานี้นับว่าไม่ต่ำ พอรับได้”

“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” ชูอีกล่าว “จากนี้จะไปที่ใด?”

“เมื่อครู่บอกว่าจะไปกินข้าว ท่านลืมแล้วหรือ?”

“ใช่”

ชูอีพาลู่จื่ออวิ๋นไปภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมือง

ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปที่ร้านบะหมี่ข้าง ๆ “ข้าอยากกินบะหมี่”

ชูอีมองภัตตาคารแล้วก็หันไปมองร้านบะหมี่

ความแตกต่างระหว่างทั้งสองไม่ใช่เพียงเล็กน้อย

“วันนี้ข้าอยากกินบะหมี่ จะตกลงหรือไม่!”

“ย่อมได้”

หนึ่งเค่อต่อมา เถ้าแก่ร้านบะหมี่ยิ้มตั้งแต่มุมปากจนถึงแก้ม

นับตั้งแต่หญิงสาวผู้นั้นเข้ามาในร้านบะหมี่ของเขา คนที่ผ่านไปมาต่างก็รีบร้อนเข้ามาในร้านบะหมี่ ปกติแล้ววันหนึ่งขายบะหมี่ได้ไม่ถึงห้าสิบถ้วย ตอนนี้โต๊ะในร้านกลับถูกจับจองจนเต็ม ขายไปมากกว่าห้าสิบถ้วยแล้ว

เขาจึงเรียกลูกกับยายเฒ่าที่อยู่ข้างในออกมาช่วย

ยามเฒ่าไม่เคยเห็นสนามรบที่ใหญ่เพียงนี้มาก่อน นางเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

ป๋องแป๋ง ๆ! ป๋องแป๋ง ๆ! เด็กที่เล่นกลองป๋องแป๋งผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากข้างใน

ท่านป้ากำลังถือถ้วยบะหมี่มา ขอเพียงนางหมุนตัวกลับไปก็จะชนเข้ากับเด็กคนนั้น จากนั้นบะหมี่ในมือก็จะหก มีความเป็นไปได้ว่าจะหกใส่ตัวเด็กคนนั้นด้วย

ลู่จื่ออวิ๋นพยายามหยุดเรื่องทั้งหมดนี้ ทว่ามีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่านาง

ชูอีอุ้มเด็กขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างประคองถ้วยในมือท่านป้าไว้ เสียงเย็นชาดังขึ้น “ระวังหน่อย บะหมี่ร้อนเพียงนี้หากทำหกใส่เขา เงินมากน้อยเพียงใดก็ไม่อาจชดเชยค่าเสียหายได้”

“ขอบคุณ ขอบคุณ” ท่านป้ารีบเข้าไปอุ้มลูก

เถ้าแก่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็กล่าวขอบคุณเช่นกัน “ขอบคุณท่านผู้นี้ ค่าบะหมี่ของท่านกับภรรยาข้าไม่ขอรับไว้ ต้องขอบคุณพวกท่าน กิจการของเราถึงได้ดีเพียงนี้และก็ต้องขอบคุณพวกท่าน ลูกของข้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ”

“พวกเราไม่ได้…”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านแล้ว เถ้าแก่” ลู่จื่ออวิ๋นตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องขอบคุณ” เถ้าแก่ให้ท่านป้าพาลูกกลับเข้าไปแล้ว

เด็กน้อยตกใจกลัว ต้องการคนคอยดูแล

เถ้าแก่เหลือเพียงคนเดียวจึงกลับมายุ่งอีกครั้ง

ชูอีหันไปมองลู่จื่ออวิ๋น

เมื่อครู่เถ้าแก่บอกว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน นึกไม่ถึงว่านางจะไม่ปฏิเสธ

แต่ก็ใช่ เพียงแค่คนที่พบเจอกันโดยบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากมายเพียงนั้น ท้ายที่สุดแล้วหากต้องอธิบายกับทุกคน นั่นไม่เท่ากับว่าใส่ใจเกินไปหน่อยหรือ? เรื่องนี้ จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การใส่ใจอะไร

[1] บุปผางามปักมูลวัว : หมายถึง หญิงสาวที่โดดเด่นแต่งงานกับชายขี้ริ้วขี้เหร่หรือชายน่ารังเกียจ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท