เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย – บทที่ 579 โหลวเฉิงเย่ผู้โกรธเกรี้ยว

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 579 โหลวเฉิงเย่ผู้โกรธเกรี้ยว

“นายท่านเจ้าคะ ที่ประตูมีคนมาจำนวนมาก บอกว่ามาจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ” ซือเยียนไปซื้อเนื้อที่ตลาดกลับมาจึงพบเข้าพอดี

จีฝูเย่ยังคงศึกษาเกี่ยวกับพัดลมอยู่ “เอ๊ะ? ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ท่านอาจารย์ออกไปข้างนอกคงไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้แน่”

“เช่นนั้นข้าออกไปบอกกับพวกเขาเองดีกว่าเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นหากเข้ามาแล้วมีแต่คนที่ไม่รู้จักจะอึดอัดเอาได้”

“อืม”

ซือเยียนเอาของไปวางไว้ที่ห้องครัว แล้วจึงเดินไปที่หน้าประตู คนที่มาก็คือคนในวังที่ถูกส่งมาคอยปรนนิบัติจี้จือฮวน

ซือเยียนออกไปถึงก็พูดกับขันทีน้อยที่รออยู่ที่ประตูว่า “ต้องขออภัยด้วย ท่านอ๋องและพระชายาออกไปข้างนอก พวกเจ้าไปดูที่ประตูเมืองเองจะดีกว่า ลองถามพวกชาวบ้านดูก็จะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”

ขันทีน้อยชะงักไปเล็กน้อย “ฮะ?”

ซือเยียนชี้ทางให้พวกเขา “เดินไปทางนั้น หรือพวกเจ้าจะรอที่จวนก็ได้ แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืนนี้พวกเขาจะกลับมาหรือไม่”

ขันทีน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบนำขบวนรถม้าไปทางประตูเมืองทันที

จี้จือฮวนกับเผยยวนกำลังเดินตรวจสอบดินอยู่ที่คันนา ก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาหา โดยมีชาวบ้านช่วยนำทางให้พวกเขาอีกด้วย

ดูจากการแต่งกายแล้ว คาดว่าคงเป็นคนที่ไท่ซ่างหวงทรงคัดเลือกมาเป็นพิเศษอย่างแน่นอน

แม่นมที่เป็นผู้นำก้าวมาข้างหน้าเป็นคนแรก “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายาเจ้าค่ะ ผู้น้อยมีนามว่าฟางซวิน ส่วนเขาชื่อว่าซวงสี่ พวกเราได้รับราชโองการจากไท่ซ่างหวงให้มาดูแลพระชายาเจ้าค่ะ”

จี้จือฮวนพิจารณาฟางซวินเล็กน้อย อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่า สมแล้วที่เป็นคนมาจากวังหลวง วางตัวได้เหมาะสม ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีมารยาทมาก ประกอบกับผ่านการคัดเลือกมาจากไท่ซ่างหวงแล้ว ต่อให้จี้จือฮวนจะไม่ชอบที่มีคนคอยปรนนิบัติ ทว่าก็ไม่สามารถไล่คนกลับไปได้

อีกทั้งถึงเวลาที่นางคลอดลูกก็ต้องเลือกหมอตำแยที่เชื่อถือได้มาอยู่ดี เพราะเย่จิ่งฝูก็ไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้

“แม่นมเชิญลุกขึ้นเถอะ ในเมื่อต่อไปจะมาเป็นคนที่คอยติดตามข้าแล้ว ก็ควรปฏิบัติตามกฎของข้า ในจวนไม่ได้มีคนรับใช้อะไร ดังนั้นไม่ต้องเอะอะก็คุกเข่าให้ข้า มีเรื่องอะไรแค่เอามาปรึกษากันก็พอ ที่นี่ไม่ใช่ในวัง ให้ทุกคนคิดเสียว่าเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ก็แล้วกัน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรให้มาก”

ก่อนหน้านี้พวกเขายังกังวลอยู่ว่าเจ้านายใหม่ของตัวเองจะเป็นคนเข้าหายากหรือไม่

เพราะในเมืองหลวงมีการพูดถึงนางต่าง ๆ นานา พวกผู้หญิงต่างก็บอกว่าพระชายาเป็นคนเชิดหน้าชูตาและเป็นวีรสตรีในหมู่ผู้หญิง ในขณะที่พวกผู้ชายกลับไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาคิดว่าผู้หญิงควรอยู่แต่ในบ้านปรนนิบัติดูแลสามีและเลี้ยงลูก แต่พระชายาแต่งกับเนี่ยเจิ้งอ๋องมานานเพียงนี้ นอกจากไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์แล้ว ยังไม่ให้สามีมีอนุ นี่เท่ากับนางเป็นภรรยาที่ไม่มีคุณธรรมและขี้อิจฉา

พวกเขาฟังมาก ๆ เข้าจึงกลัวว่าพระชายาจะเป็นคนที่โหดร้าย

แต่ตอนนี้ดูแล้วช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี!

เจ้านายบ้านไหนพูดจาประนีประนอมกับคนรับใช้เช่นนี้บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนระดับพระชายาเช่นนี้

ก่อนที่ฟางซวินจะออกจากเมืองหลวง ได้รับการอบรมจากองค์หญิงใหญ่มา บอกว่าวันหน้าให้นางเชื่อฟังสิ่งที่จี้จือฮวนบอก อีกทั้งอย่ามองจี้จือฮวนเหมือนเจ้านายทั่วไป บัดนี้เมื่อได้พบหน้าจี้จือฮวนก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

นางมาก็เพื่อดูแลพระชายาที่ตั้งครรภ์ ดังนั้นนางเพียงแค่ต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้ให้ดีก็พอแล้ว

“เจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นฟางซวินรับปาก และไม่ได้คุกเข่าให้นางอีก จี้จือฮวนจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ

“พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตระกูลกู้ก่อนเถอะ พวกเรายังต้องดูการทำนาต่อ”

ฟางซวินพูดขึ้นมา “เช่นนั้นพระชายาเดินไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ แต่ท้องอ่อน ๆ ไม่ควรเดินนานเกินไป คืนนี้หมอหลวงหวังจะมาตรวจชีพจรให้พระชายานะเจ้าคะ”

“ต้องรบกวนแล้ว”

จี้จือฮวนพูดขึ้นมา จากนั้นก็ไปเดินดูพื้นที่เลี้ยงสัตว์กับเผยยวนต่อ ซวงสี่อายุยังน้อย ตอนที่เดินตามฟางซวินกลับไปจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ท่านแม่นม พวกเรากลับจวนไปเช่นนี้จะไม่ถูกลงโทษหรือขอรับ?”

“ไม่โดนหรอก องค์หญิงใหญ่ตรัสว่า พระชายาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง อีกทั้งไม่ชอบพิธีรีตองระหว่างนายบ่าว เจ้าดูจวนอ๋องสิ นอกจากคนรับใช้ที่เฝ้าประตู แล้วมีคนใช้ที่คอยปรนนิบัติคนอื่นอีกหรือไม่”

จริงด้วย แม้แต่วันแต่งงานก็มีแต่คนรับใช้ในวังมาช่วยทั้งนั้น

จวนอ๋องใหญ่โตเพียงนั้นแต่กลับมีคนรับใช้เพียงไม่กี่คนจริง ๆ มีแค่คนที่คอยทำความสะอาดเท่านั้น ส่วนค่าจ้างก็สูงกว่าจวนอื่นมาก

แต่ก็ไม่เคยเห็นพระชายาโมโหเพราะเรื่องนี้มาก่อน นางแค่พูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ทุกคนเท่าเทียมกัน’ ซึ่งราษฎรทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี

แม้หลายคนจะดูแคลนคำพูดนี้ แต่พระชายาก็ยังคงยึดมั่นในหลักการเช่นนี้มาโดยตลอด

สำนักศึกษาชิงอวิ๋น

โหลวเฉิงเย่จ้องเสิ่นเยี่ยนชิวด้วยความขุ่นเคือง ไม่รู้ว่าเป็นเด็กเหลือขอที่โผล่มาจากที่ใด ทว่ามาถึงก็ได้เป็นสหายร่วมโต๊ะของหวงไท่ซุนแล้ว!

ขอร้องละ เพราะปีที่ผ่านมาเขาอาศัยการที่เป็นสหายร่วมโต๊ะของหวงไท่ซุน จึงยังสามารถทำตัวกร่างใส่คนในตระกูลได้อยู่!

พ่อเขาไม่ได้สั่งลงโทษให้เขาคุกเข่าที่โถงบรรพชนมานานแล้ว ก็เพราะเหตุนี้!

สุดท้ายเจ้าเด็กหน้าขาวนี่ก็โผล่มา ตำแหน่งของเขาจึงถูกแย่งไปในพริบตา

แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธมากจนต้องกัดผ้าปูที่นอนกลางดึก ก็คือหวงไท่ซุนกลับเห็นด้วย!

ฮือ ๆ ๆ เขาโหลวเฉิงเย่ ไม่ใช่สหายร่วมโต๊ะตัวน้อยผู้น่ารักของหวงไท่ซุนอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?

เสิ่นเยี่ยนชิวหันหน้าไปมองเขาเล็กน้อย เนื่องจากหวงไท่ซุนต้องมาเรียนที่สำนักศึกษาชิงอวิ๋น และไม่สามารถเสียเวลาเช้าจรดเย็นอยู่แต่ในหมู่บ้านตระกูลเฉินได้ ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงส่งนางมาที่นี่ด้วย แต่นางต้องแต่งตัวเป็นผู้ชาย เพราะสำนักศึกษาหญิงของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นในปีนี้ และอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกตำบลหนึ่ง

เพราะตำบลฉาซู่ไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาสร้างได้แล้วจริง ๆ

ประกอบกับฐานะของเผยจี้ฉือ ทางสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางเปิดรับสมัครนักเรียนหญิงให้มาอยู่ร่วมสำนักศึกษาเดียวกันกับเขาแน่ เพราะกลัวว่าจะมีคนที่มีเจตนาแอบแฝงวางแผนปองร้ายต่อหวงไท่ซุน

ทุกวันนี้แค่ยอดฝีมือที่หมอบอยู่บนกำแพง ก็มากกว่านกกระจอกที่อยู่บนชายคาเสียอีก

เสิ่นเยี่ยนชิวเพิ่งจะหันหน้าไป ก็สบเข้ากับแววตาราวกับจะฆ่าคนได้ของโหลวเฉิงเย่ ทำให้นางตกใจจนต้องรีบหันหน้ากลับมา

“มีอะไรหรือ?” อาฉือหันไปถาม

เสิ่นเยี่ยนชิวขยับเข้ามาใกล้เขาแล้วกระซิบถาม “โหลวเฉิงเย่เกลียดข้าหรือเปล่า เขาจ้องข้าอยู่ตลอดเลย”

อาฉืองุนงง “ไม่หรอก เขาก็แค่คนพูดมากก็เท่านั้น แต่ข้าไม่เคยเห็นเขารังแกใครมาก่อน”

“อะแฮ่ม!” อาจารย์เอี๋ยนเห็นเผยจี้ฉือกับเด็กน้อยตระกูลเสิ่นคุยกัน ก็รีบกระแอมขึ้นมา ให้พวกเขาใช้เส้นสายแล้ว เข้าเรียนก็ต้องตั้งใจสิ!

ทั้งสองคนจึงรีบก้มหน้าอ่านหนังสือ มีเพียงโหลวเฉิงเย่ที่ยังกัดฟันจ้องเสิ่นเยี่ยนชิวเขม็ง

อย่าให้เขารู้จุดอ่อนของเจ้าเด็กนั่นก็แล้วกัน!

เขาต้องกลับไปอยู่ข้างกายหวงไท่ซุนให้ได้!

เป็นสหายร่วมโต๊ะที่น่ารักของเขา! หึ!

ทว่าเสิ่นเยี่ยนชิวกลับรู้สึกว่าท้ายทอยเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ

กว่าจะเรียนจบคาบนี้ บรรดาเด็กหนุ่มต่างก็นั่งไม่ติดแล้ว เนื่องจากมีหวงไท่ซุนอยู่ด้วย ตอนนี้คุณภาพการสอนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นจึงเข้มข้นขึ้นอย่างมาก ฝูงม้าของราชวงศ์ก็เตรียมพร้อมแล้ว เพราะคาบต่อไปเป็นวิชาหม่าฉิว*!

* หม่าฉิว (马球) หมายถึง โปโล

“ไปแล้ว!”

“หวงไท่ซุน ท่านไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือ!”

อาฉือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าตามไป”

“ได้!”

ทุกคนจึงรีบวิ่งไปที่ห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า อาฉือวางพู่กันเรียบร้อยแล้ว ก็ก้มหน้าลงถามเสิ่นเยี่ยนชิว “เจ้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?”

เสิ่นเยี่ยนชิวพยักหน้ารับ

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” อาฉือลุกขึ้น เมื่อหันไปก็เห็นโหลวเฉิงเย่ที่อิจฉาจนหน้าบึ้งตึงไปหมด

“เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามข้าบ้างว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่?”

อาฉือ “???”

“เช่นนั้นเจ้าจะ…”

“ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว! ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับเจ้า ส่วนเจ้าหน้าขาว เจ้าไปเปลี่ยนเองก็แล้วกัน!” โหลวเฉิงเย่เอ่ยจบก็ลากอาฉือออกไปด้านนอก

เสิ่นเยี่ยนชิวสับสนเล็กน้อย เพราะนางย่อมต้องเปลี่ยนเองอยู่แล้ว

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

Status: Ongoing
หน่วยสืบราชการลับ—จี้จือฮวนเกิดใหม่เป็นตัวประกอบในนิยายที่ได้แต่งกับเทพสงครามเป็นแม่เลี้ยงของ 3 วายร้ายแต่กลับต้องตายตั้งแต่ต้นเรื่อง ในเมื่อปฏิเสธชะตาไม่ได้ขอแค่ไม่ตายก็จะเล่นบทนี้ให้อลังการกว่าเดิม!จี้จือฮวน–หน่วยสืบสวนราชการลับระดับ S ในโลกล้ำยุค จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นตัวประกอบหญิงในนิยายที่เคยอ่าน(แต่ไม่จบ) ซึ่งตายตั้งแต่ยังไม่พ้นสามบทแรก! เธอคนนี้แต่งงานกับเผยยวนได้รับสมญานาม ‘เทพสงครามแห่งความตาย’ และเป็นแม่เลี้ยงของเด็กแสบสามคนจี้จือฮวนปฏิเสธชะตากรรมนองเลือด ขอแค่มีชีวิตรอดปลอดภัย อยู่ต่อไปก็พอแต่เรื่องกลับไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะตัวประกอบที่เธอกำลังเป็นอยู่ดันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกเลี้ยงทั้งสามกลายเป็นตัวมากเล่ห์ จอมมารร้าย ซึ่งจะนำพาพวกเขาไปสู่จุดจบอันเศร้าสลดเมื่อทั้งสามโตขึ้น…นั่นก็คือความตายอย่างน่าอนาถในเมื่อเลือกไม่ได้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เธอจะเล่นบทนี้ให้อลังการกว่าเดิม!.โชคดีสวรรค์ยังมีตา เธอมีทักษะทุกอย่าง ทั้งงานฝีมือ ทักษะการเพาะปลูกและทำนาที่สามารถหาเงินเพื่อใช้เลี้ยงครอบครัวได้ ยิ่งกว่านั้น เธอมีของดีที่สุด คือมิติพิเศษที่ช่วยให่เธอหยิบยืมอะไรก็ได้จากโลกอนาคตติดตัวมาด้วย!.เอาล่ะ! ในฐานะอดีตสายลับระดับสุดยอด ใครหน้าไหนก็หยามกันไม่ได้! ต่อให้เป็นสวรรค์ก็เถอะ หากคิดจะฆ่าเธอทิ้ง เธอจะชิงสังหารสวรรค์ก่อน!..ต่อมาลูกชายคนโตที่ตั้งแต่เด็กสุดแสนจะเงียบขรึมกลับได้ขึ้นเป็นกษัตริย์! นักรบจอมพลังซึ่งเป็นลูกสาวคนที่สองก็กลายเป็นแม่ทัพหญิงคนแรกที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ผู้ที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดในใต้หล้า แม้แต่ลูกชายคนเล็กก็กลายเป็นแพทย์หนุ่มผู้เชี่ยวชาญสารพัดพิษ ร่างกายของเขาทนทานต่อพิษทั้งปวงอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้..จี้จือฮวนรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ในฐานะสาวงามที่ถูกราชสำนักและประชาชนผลักไสอย่างไร้ความปรานี เธอจึงจำต้องทำให้ตัวเองเป็นสตรีที่น่าเกรงขาม เป็นที่หวาดกลัวต่อราชสำนักและประชาชนเมื่อทุกคนนึกถึง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท