ตอนที่ 751 เสนาบดีสำนักกวงลู่คนใหม่จะเป็นใคร
พวกนักพรตเฒ่ารู้จากฉินหลิวซีนานแล้วว่าคุณนายใหญ่หลิวใช้วิชาเสื่อมเสียลักทารก นางไม่กล้าฆ่าคนตายในหมู่บ้านตัวเอง จึงลากคนไปเผายังเขาด้านหลังที่ห่างไกลออกไป
ตอนนี้กองฟืนถ่านสีดำปะปนกับเถ้ากระดูกสีเทา ถูกแสงแดดยามเช้าสาดส่อง ทำให้คนรู้สึกยากที่จะรับได้
ต้องทนทุกข์ทรมานจากโศกนาฏกรรมก่อนตาย หลังจากตายก็ถูกทิ้งศพไว้ในถิ่นทุรกันดาร สิ่งที่คนเหล่านั้นทำลงไปนั้นไม่ใช่คนเลยจริงๆ!
นักพรตเฒ่าก้าวไปข้างหน้า ท่องบทสวดการเกิดใหม่ จากนั้นก็เผากระดาษสีเหลืองและสีขาวหลายแผ่น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “รวบรวมมาทั้งหมดเถิด”
ซานหยวนหยิบขวดดินเผาออกมาจากตะกร้าที่แบกอยู่ข้างหลัง ท่องบทสวดหนึ่งบท จากนั้นก็รวบรวมเถ้ากระดูกที่ผสมอยู่ในถ่านสีดำใส่ลงในขวดอย่างระมัดระวัง
อาจารย์และลูกศิษย์ร่วมมือกัน เก็บรวบรวมกระดูกของตู้เจวียนและลูกชายเสร็จเรียบร้อยตอนเกือบจะถึงยามเฉิน[1]สองเค่อ[2] จากนั้นก็ไม่ได้ไปไหน นั่งอยู่ที่เดิมรอฉินหลิวซีมา
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขารอนาน หลังจากที่พวกเขาเคลื่อนย้ายจุลจักรวาล พวกนางก็มาถึง
เมื่อซานหยวนเห็นพวกนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่ได้ถูกหลอก ในที่สุดก็มาแล้ว
ฉินหลิวซีเห็นขวดดินเผาที่ห่อด้วยผ้าสีดำ มองไปบริเวณที่ไหม้เกรียม เม้มริมฝีปาก เอ่ยกับเถิงเจาว่า “เริ่มเลยเถิด”
เถิงเจาปลดตะกร้าที่สะพายอยู่บนหลังออกมา จากนั้นก็หยิบของ ซานหยวนเห็นดังนั้นก็เข้าไปหา “ทำอะไรหรือ”
“ส่งดวงวิญญาณพวกนาง”
ซานหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้ความร่วมมือ หยิบอาหารออกมา จุดธูปเทียน
ฉินหลิวซีนั่งพับทองหยวนเป่าอยู่ข้างๆ นักพรตเฒ่ามองดู เห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทองหยวนเป่าที่นางพับนั้นมีรูปร่างสวยงามมาก จากนั้นก็มองดูของเซ่นไหว้เหล่านั้น รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย
ช่างมีเมตตา
ฉินหลิวซีท่องบทสวดการเกิดใหม่ให้ตู้เจวียนและบุตรชายด้วยตัวเอง เผาเงินทองและเสื้อผ้า ก้าวข้ามผ่านความทุกข์ทรมานทั้งหมด ให้ความขุ่นเคืองสลายไป ตู้เจวียนกลับคืนสู่รูปลักษณ์สวยงามและอ่อนโยนเหมือนตอนที่มีชีวิตอยู่ กอดลูกชาย ก่อนจะคำนับพวกเขา
“ขอบคุณท่านอาจารย์ทุกท่านเจ้าค่ะ”
ตู้เจวียนและบุตรชายจากไปแล้ว
ฉินหลิวซีให้ซานหยวนถือขวดดินเผาใส่ขี้เถ้า หาสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามฝังไว้ จากนั้นก็ตั้งป้ายวิญญาณ เขียนชื่อตู้เจวียนและตู้เสี่ยวเป่า
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว กลุ่มคนก็ได้ลงจากภูเขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลี
ตอนมาเป็นรถม้าที่ลู่สวินจัดเตรียมให้ หลังจากที่จัดการเรื่องของตระกูลเว่ยเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปก่อนเพราะมีงานราชการ ดังนั้นเมื่อเขาจากไปจึงเป็นรถม้าที่ตระกูลเว่ยจัดเตรียมให้ เนื่องจากว่ามีนักพรตเฒ่ากับลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมา ฉินหลิวซีจึงเตรียมรถม้าเพิ่มอีกหนึ่งคัน
เหตุใดจึงไม่ใช้เส้นทางหยินเพื่อความเร็ว แน่นอนว่าเป็นเพราะจะได้สอนและผจญภัยเดินทาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าลูกศิษย์ทั้งสองล้วนอยู่ข้างกาย หากไม่สอนตอนนี้แล้วจะสอนตอนไหน
ดังนั้นฉินหลิวซีจึงจับเด็กทั้งสองมาสอนแยกแยะยาสมุนไพรและวิชาต่างๆ ตลอดทาง ซานหยวนเป็นคนหน้าด้านจึงคว้าโอกาสเอาไว้ ไม่ใส่ใจที่เถิงเจาและวั่งชวนหวงวิชา มาเรียนรู้วิชากับฉินหลิวซีไปด้วย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จากนี้ไปล้วนต้องประจำอยู่ที่อารามชิงผิง นับว่าเป็นศิษย์ของอารามชิงผิง ในฐานะที่ฉินหลิวซีเป็นเจ้าอาวาสน้อย บรรยายบทสวดสอนวิชาความรู้แก่ลูกศิษย์ในอารามนั้นเป็นเรื่องปกติ
ฉินหลิวซีมีความสุข พรสวรรค์นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เข้าสู่ลัทธิเต๋า แต่ความขยันหมั่นเพียรนั้นสำคัญกว่า ซานหยวนรู้จักหาโอกาสซ้ำยังก้าวหน้า นางสอนสักหน่อยจะเป็นไรไป หากเรียนรู้เป็นแล้วก็เป็นคนในอารามชิงผิงของนาง สำหรับนางแล้ว นักพรตที่มีความก้าวหน้าเช่นนี้มีอีกสักสิบคนร้อยคนถึงจะดี
มีคนที่สามารถต่อสู้ได้มากมาย เลือกใครมาก็สามารถเอาชนะได้ ช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก
ดูสิ คนที่นางสั่งสอนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว
ซานหยวนฟังไปสองสามบท ก็ยิ่งรู้สึกว่าหากไร้สิ่งเปรียบเทียบก็จะไม่พบข้อเสีย สิ่งที่เขาเรียนรู้เมื่อก่อนหน้านี้ล้วนเป็นทฤษฎี ไม่ใช่ความสามารถ
ดูจากที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยสอน ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจแก่นแท้ได้ดีขึ้น ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงแก่นแล้วนำไปใช้ ต้องมีความรู้แจ้งอยู่เสมอ ซ้ำยังมียาสมุนไพร เขาก็แยกแยะได้แล้วไม่น้อย
นักพรตเฒ่ารู้สึกถึงความเศร้าใจของซานหยวน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิด คลื่นลูกใหม่ในแม่น้ำซัดคลื่นลูกเก่า ตาเฒ่าอย่างเขาถูกซัดตายเกยตื้นก็ไม่เสียดาย
ซานหยวน ‘ถุย!’
…
เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามา เมื่อกลุ่มของฉินหลิวซีค่อยๆ เดินทางกลับเมืองหลี การคัดเลือกในเมืองหลวงได้เริ่มปะทุขึ้นแล้ว และเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางในเมืองหลวงเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ผลิมากขึ้น รวมถึงได้เกิดการพูดคุยพักผ่อนตามอัธยาศัยหลังมื้ออาหารในเมืองหลวง อย่างเช่นว่า อนุกับท่านอาน้อยตระกูลไหนแอบมีความสัมพันธ์กันจนถูกจับได้ แม่สามีผู้ซื่อสัตย์ตระกูลนั้นความจริงแล้วเป็นแม่สามีผู้ชั่วร้ายที่รู้จักแต่รังแกลูกสะใภ้ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยเป็นที่สุด นินทากันไม่กี่วันก็แยกย้ายไป
หัวข้อที่มีการสนทนากันมากที่สุดก็คือฉินหยวนซาน อดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ถูกฮ่องเต้ลงโทษเนื่องจากเกิดความผิดพลาดระหว่างการบวงสรวงใหญ่เมื่อปีที่แล้ว แต่การบวงสรวงในปีนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าปีที่แล้ว เกือบจะทำให้ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บ หลังจากการสอบสวนพบว่าเป็นคนที่เหลืออยู่ของอดีตรัชทายาททำเรื่องชั่วช้า ดังนั้นเสนาบดีสำนักกวงลู่คนใหม่ซึ่งสวมตำแหน่งขุนนางได้ไม่ถึงหนึ่งปีนั้นอนาถยิ่งกว่าฉินหยวนซาน ถูกยึดทรัพย์แล้วตัดศีรษะในภายหลัง
มีข้าราชบริพารบางคนยื่นฎีกาว่าฉินหยวนซานถูกใส่ร้าย ควรได้รับการอภัยโทษจากการถูกเนรเทศ เพื่อกลับคืนสู่ตำแหน่ง
ส่วนตำแหน่งเสนาบดีสำนักกวงลู่คนใหม่ แม้ว่าจะไม่เป็นมงคลเล็กน้อย แต่ก็ยังคงถูกฝั่งต่างๆ ยื้อแย่งกันสุดชีวิต อย่างไรเสียก็เป็นถึงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม
ฮ่องเต้ถูกโวยวายจนปวดหัว หลังจากเข้าไปในวังหลังก็ไม่มีที่ให้ไปอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยจะส่งขันทีไปบอกว่าองค์ชายน้อยคิดถึงเสด็จพ่อของเขา มักจะอ้อนวอนอยากจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในราชสำนัก
ลูกไม้นี้ในตอนแรกฮ่องเต้ยังพอรับได้ แต่เมื่อหลายๆ ครั้งเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำลังแย่งตำแหน่งเสนาบดีสำนักกวงลู่นี้ อันเฉิงโหวก็ยังคิดจะเข้ามาแทรกแซงด้วย
ฮ่องเต้รู้ดี เขาอายุห้าสิบปีแล้ว แต่กลับยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท องค์ชายมากมายเช่นนี้ ใครๆ ก็อยากแก่งแย่งชิงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ พระสนมที่มีองค์ชายก็ยิ่งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้รับความโปรดปราน
วันนี้คนนี้มาส่งน้ำแกงหวาน พรุ่งนี้คนนั้นมาส่งเครื่องตุ๋น มะรืนคนโน้นบอกว่าได้คิดท่าร่ายรำใหม่
ไม่มีใครบริสุทธิ์ใจสักคน
แต่หากเอ่ยถึงเรื่องบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการยื้อแย่งน่ะหรือ
“ไปที่ตำหนักฉังซิ่นเถิด”
นั่นคือวังของนางสนมเสวี่ยผิน
เมื่อนางสนมเสวี่ยผินได้ยินว่าฮ่องเต้จะมาก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ให้คนไปเตรียมชาดอกไม้จากน้ำหิมะและขนมเกาลัดหนึ่งจาน แต่งหน้าแต่งตัวแล้วไปรออยู่ที่หน้าตำหนัก
เมื่อฮ่องเต้มาก็คำนับ พยุงเขาไปนั่งลง จากนั้นก็ชงชาด้วยตัวเอง พูดน้อยเช่นเคย ในตำหนักก็มีกลิ่นดอกไม้จางๆ ไม่เหมือนกับตำหนักอื่นที่ใช้กลิ่นเครื่องหอมราคาแพง แต่กลับทำให้คนสดชื่นรื่นรมย์กว่า
เมื่อยกถ้วยชาเบญจมาศหิมะมา ฮ่องเต้พลันหัวเราะ “เหตุใดจึงใช้ดอกเบญจมาศ”
นางสนมเสวี่ยผินไม่ได้มีรูปร่างหน้าตางดงาม เมื่อเทียบกับพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยผู้เลอโฉมในวังหลัง นางเป็นเหมือนกับหยกเม็ดเล็ก เป็นคนเก็บตัว พูดน้อย แต่เมื่อพูดคุยกับนาง มักจะตรงประเด็นเสมอ
“ฤดูใบไม้ร่วงแห้งแล้ง ดอกเบญจมาศช่วยลดไฟเพคะ” นางสนมเสวี่ยผินดันขนมเกาลัดไปให้
ฮ่องเต้หัวเราะอีกครั้ง พูดไปตามบทสนทนาว่าใครจะเป็นเสนาบดีสำนักกวงลู่ ซ้ำยังบ่นว่าใครนั่งตำแหน่งนี้ก็จะโชคร้าย แต่ก็ยังแย่งชิงจนแทบจะทะเลาะกัน สุดท้ายก็เอ่ยว่า “เราแก่แล้ว พวกเขาเริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว”
คำพูดนี้ มีความเย็นชาเล็กน้อย
นางสนมเสวี่ยผินไม่ตอบ
“เสวี่ยผิน เจ้าลองบอกเถิดว่าเราควรเลือกใครมาเป็นเสนาบดีสำนักกวงลู่นี้”
นางสนมเสวี่ยผินขมวดคิ้ว “วังหลังไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องในราชสำนักเพคะ” ไม่รอให้ฮ่องเต้กล่าวโทษ ก็เอ่ยต่อว่า “อีกอย่างหม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง เขาลืมไปเลยว่านางสนมเสวี่ยผินผู้นี้ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีตระกูลเดิมอยู่ข้างหลัง ไม่มีบุตร ไม่แก่งแย่ง นางไม่แม้แต่จะไปมาหาสู่กับสนมในวังด้วยซ้ำ ไหนเลยจะยังรู้จักกับขุนนางเหล่านั้น
นางสนมเสวี่ยผินเติมชาให้เขา เอ่ยเสียงเรียบว่า “เสื้อผ้าที่ดีควรเป็นเสื้อผ้าใหม่ สหายที่ดีควรเป็นสหายเก่า ใช้คนใหม่ไม่สู้ใช้คนเก่า ท่านเชื่อใจได้เพคะ”
ฮ่องเต้ตกตะลึงเล็กน้อย ใช้คนเก่าหรือ
[1] ยามเฉิน 7.00-9.00 น.
[2] สองเค่อ สามสิบนาที