บทที่ 808 ออกจากนิกายสวรรค์
สวี่ชีอันไม่ได้สนใจคำถามขององค์เทพ ลงมาจากฟากฟ้าและลอยล่องมายืนอยู่ข้างกายหลี่เมี่ยวเจิน
เขาตรวจสอบสภาพของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก่อน บาดแผลบนร่างกายไม่ถือว่าสาหัส แม้แต่ลัทธิเต๋าที่ร่างกายอ่อนแอก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่ฟื้นฟูได้หลังจากรักษาตัวสิบวันไม่เกินครึ่งเดือน
สิ่งที่แย่จริงๆ ก็คือสภาพจิตเดิมของหลี่เมี่ยวเจิน หากจะให้เปรียบเทียบ คนธรรมดาไม่ได้ห้ามเลือดหลังจากถูกแทง ชีวิตก็จะสูญเสียไปพร้อมกับเลือดมหาศาล
จิตเดิมของหลี่เมี่ยวเจินก็เช่นกัน อ่อนแอเหมือนเทียนกลางสายลมราวกับจะดับได้ทุกเมื่อ
นี่เพียงสองแส้ หากเจ้าถูกฟาดห้าแส้ติดต่อกัน ต่อให้เทพเซียนมาก็ช่วยเจ้าไม่ได้…สวี่ชีอันพึมพำ ที่เขายังพูดแขวะได้ก็เพราะหลี่เมี่ยวเจินทำอันตรายไม่ได้
ฤทธิ์ยารุนแรงที่แฝงอยู่ภายในร่างของนางหล่อเลี้ยงจิตเดิมอันอ่อนแออยู่ คล้ายกับน้ำพุทะลักออกจากพื้นดินที่แห้งแล้งและแตกร้าว
“มองหาอะไร!”
หลี่เมี่ยวเจินไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืน ทว่าน้ำเสียงยังคงดุร้าย แล้วปรายตามองเขาด้วยสายตาเลื่อนลอย เบือนหน้าหนีพร้อมพึมพำ
“ช่างขายหน้าเหลือเกิน”
ชอบเอาชนะเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันยิ้มก่อนจะหยอกล้อ
“ไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่เจ้าขายหน้าต่อหน้าข้า เจ้าดูสิ อาซูหลัวยังหัวเราะเลย”
เขาหมายถึงเรื่องที่หมายเลขสอง หมายเลขสี่ และหมายเลขเจ็ดรวมตัวกันทำเรื่องน่าขายหน้า
อาซูหลัวไม่ได้หัวเราะ ทว่าหลี่เมี่ยวเจินยิ้มแสยะ อยากจะทุบคนสกุลสวี่ด้วยกำปั้นสักที ทว่านางอ่อนแอเกินไป รู้สึกอ่อนแอเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ
“เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
ดวงตาสวยของหลี่เมี่ยวเจินจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
นางกลัวว่าสวี่ชีอันจะหัวร้อนเปิดฉากสังหารที่นิกายสวรรค์หรือสร้างหายนะครั้งใหญ่ นางไม่อยากเห็นสิ่งเหล่านี้
สวี่ชีอันถอดเสื้อนอกและคลุมบนร่างนาง แล้วยืนขึ้นมุ่งไปยังวังเทพสวรรค์
“ยังจำสิ่งที่ข้าเคยพูดกับเจ้าที่เจี้ยนโจวได้หรือไม่”
เสียงของเขาดังมาจากไกลๆ
พูดอะไร หลี่เมี่ยวเจินเอนตัวลงบนแท่นสูง ฟ้าสีครามอยู่ด้านบน แสงบนฟ้าแยงตาเล็กน้อย นางคล้ายกับนึกบางอย่างออก แพขนตายาวสั่นไหวเบาๆ
หลี่เมี่ยวเจินพยายามลืมตาและหันคอมองร่างที่เข้าไปในวังเทพสวรรค์
คำพูดที่เขาเคยพูดที่เจี้ยนโจวในวันนั้นดังก้องอยู่ข้างหู
‘หากเจ้าหวาดกลัวคำติฉินนินทา หวาดกลัวความเห็นของลูกศิษย์และศิษย์ร่วมสำนัก เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไป’
คำหยอกล้อ!
กลายเป็นจริง!
…
ทุกคนในนิกายสวรรค์ ยังมีสามผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ลั่วอวี้เหิง จินเหลียน และอาซูหลัว มองแผ่นหลังสวี่ชีอันเดินเข้าไปในวังเทพสวรรค์ รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
เหล่าผู้อาวุโสรวมถึงเทพธิดาปิงอี๋และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงรักษาท่าทางเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าหัวใจของคนในสำนักทั่วไปกลับตื่นตัว
พวกเขาไม่ได้กำลังคิดว่า ‘ให้องค์เทพสั่งสอนคนไร้มารยาทพวกนี้จะดีที่สุด’ หรือ ‘กล้าแข็งข้อกับองค์เทพของข้าจะต้องชดใช้’ แต่เป็น ‘หากสู้กันขึ้นมาจะทำอย่างไร ’ ‘รีบหนีเร็ว นั่นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเชียวนะ’
คนในนิกายสวรรค์รวมไปถึงผู้อาวุโสคาดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะเปิดฉากทำสงครามเพื่อหลี่เมี่ยวเจินเช่นนี้ ผู้นำเต๋านิกายปฐพีจินเหลียนกล้าคุกคามถึงบ้านคนอื่น
เทพธิดาลงเขาทัศนาจรนานสามปี ขั้นสี่คนหนึ่งสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แม้นิกายสวรรค์จะรู้ว่าเทพบุตรและเทพธิดาจะเกี่ยวข้องกับจินเหลียนจากนิกายปฐพีและเกี่ยวข้องกับฆ้องเงินสวี่ชีอัน แต่พวกเขายอมแทรกแซงเรื่องภายในของนิกายสวรรค์เพื่อหลี่เมี่ยวเจิน ผิดใจกับนิกายสวรรค์ก็เป็นอีกความคิดหนึ่ง
เมื่อก้าวเข้าสู่พระราชวังใหญ่อันโออ่า สวี่ชีอันกวาดสายตามองรอบด้านก็ปะทะสายตากับร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่แท่นบัวบนบัลลังก์สูง
องค์เทพบนแท่นบัวในสายของสวี่ชีอันคล้ายกับเป็นภาพสะท้อน ภาพสะท้อนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง
กระโดดออกนอกสังสารวัฏ ไม่อยู่ในธาตุทั้งห้า…ความคิดนี้เข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน “ราวกับเจ้าหลอมรวมเข้ากับวิถีแห่งฟ้าแล้ว”
“ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ช่วยให้ข้าคงความเป็นมนุษย์ได้”
เสียงอันยิ่งใหญ่ขององค์เทพกังวานอยู่ภายในพระราชวัง ราวกับมาจากทั่วสารทิศ ไม่พบที่มาของเสียง
เขาไม่ได้ถามเหตุผลที่สวี่ชีอันรู้ความลับของนิกายสวรรค์ ไม่รู้ว่าคาดการณ์ได้อยู่แล้ว หรือควบคุมความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โชคดีที่ความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกของสิ่งมีชีวิต
“เหตุใดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ถึงช่วยให้เจ้าฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ ยังช่วยให้ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์ข้ามผ่านเคราะห์สวรรค์ได้อีก” สวี่ชีอันถามข้อสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจมานาน
“เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า!”
องค์เทพถาม
เขาถามกลับโดยไม่ปะปนกับอารมณ์ส่วนตัว ไม่ใช่การโต้ตอบ แต่กำลังถามอยู่ฝ่ายเดียว
“มาเจรจากัน เจ้าก็จะถามคำถามหนึ่งจากข้าได้” สวี่ชีอันตอบ
“ยุติธรรมดี!”
องค์เทพก้มหน้าลงพร้อมเสียงดังกังวาน “พลังภายในระหว่างนิกายมนุษย์กับนิกายสวรรค์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เอื้อประโยชน์แก่กัน ศึกระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ช่วยเหลือและชดเชยกันและกัน”
องค์เทพตอบคล้ายกับคำตอบที่เป็นขั้นตอน ไม่ได้อธิบายรายละเอียด พูดตอบตามตรง
พลังภายในของนิกายมนุษย์ไฟแห่งกรรมรุมเร้า เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามลายรากฐานแห่งเต๋า พลังภายในของนิกายสวรรค์เป็นการตัดอารมณ์ความรู้สึกที่เหมาะสม สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นเฉกเช่นนี้…สวี่ชีอันพลันนึกขึ้นได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีมากแล้ว อาจจะเป็นยาดีสำหรับไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์ ทำให้องค์เทพฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ส่วนหนึ่งได้ หนามยอกเอาหนามบ่ง ด้วยเหตุผลเดียวกัน การตัดอารมณ์ความรู้สึกของนิกายสวรรค์ก็ระงับไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์ได้
“เสริมกันและกันด้วยวิธีสู้รบจนตัวตายงั้นหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ช่วงชิงพลังวิญญาณต้นกำเนิดกันและกัน!” องค์เทพตอบ
สวี่ชีอันอยากจะถามว่าเหตุใดผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์และนิกายสวรรค์ในหลายรุ่นถึงไม่ใช้วิธีบำเพ็ญคู่เสริมกันและกัน เมื่อนึกย้อนดู ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์รุ่นก่อนเป็นผู้ชาย
นิกายสวรรค์ในหลายรุ่นอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเพศตรงข้ามกัน อาจจะเป็นชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงก็ได้
นอกจากนี้ วิชาบำเพ็ญคู่ของลัทธิเต๋าสมัยโบราณไม่ได้สืบทอดมานานแล้ว ที่ลั่วอวี้เหิงตกลงบำเพ็ญคู่กับเขาในตอนแรก นอกจากเขาจะแบกรับโชคชะตา ยังเป็นเพราะควบคุมเคล็ดวิชานี้ด้วย
ท้ายที่สุดระหว่างที่เขาบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง แม้วรยุทธ์และพลังปราณของทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มขึ้น ทว่าสิ่งที่ดับไฟแห่งกรรมคือโชคชะตา เป็นกระบวนการที่จ่ายออกไปและไม่ได้ค่าตอบแทน การเอื้อประโยชน์กันและกันระหว่างมนุษย์กับสวรรค์อาจจะไม่เหมาะกับบำเพ็ญคู่
“ทั้งคู่จึงบาดเจ็บบ่อยครั้ง ไม่ก็ตายหนึ่งเจ็บหนึ่ง”
“ทั้งคู่บาดเจ็บมักจะเป็นเพราะฝีมือไล่เลี่ยกัน ต่างได้รับผลสำเร็จ นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี” องค์เทพตอบ
สวี่ชีอันพยักหน้าพร้อมเอ่ยถาม
“เหตุใดนิกายปฐพีถึงไม่ต้องเข้าร่วม บุญกุศลของนิกายปฐพีไม่เป็นประโยชน์ต่อสองนิกายสวรรค์และมนุษย์หรือ”
“บุญกุศลจะทำให้ข้าสำเร็จเป็นเซียนได้โดยตรงและผสานเข้ากับวิถีแห่งฟ้า บุญกุศลจะทำให้นิกายมนุษย์พัวพันในเหตุต้นผลกรรม เสี่ยงที่จะตกสู่ทางมารและไร้ทางออก” องค์เทพตอบกลับอย่างไร้อารมณ์
นิกายปฐพีเป็นลูกชังแท้ๆ…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ แล้วหันไปพูด
“ตาเจ้าถามแล้ว”
“ข้าไม่มีคำถาม!” เสียงขององค์เทพยิ่งใหญ่และเยือกเย็น
เมื่อครู่เจ้าพูดว่า ‘ยุติธรรม’ แค่คิดว่ายุติธรรมจริงๆ ไม่ใช่ว่ามีอะไรอยากจะถามข้าหรือ สวี่ชีอันพ่นลมหายใจช้าๆ กำลังจะพูดบางอย่างก็ได้ยินองค์เทพพูดเสริม
“ติดไว้ก่อนก็ได้!”
ต้องทำสัญญาด้วยหรือไม่…สวี่ชีอันพยักหน้า
“ตกลง! ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับปรมาจารย์เต๋า”
องค์เทพเงียบสักพัก ก่อนเสียงอันยิ่งใหญ่จะนึกขึ้นได้
“เขากำลังทดลองอะไร” สวี่ชีอันถือโอกาสถาม
“ไม่รู้” องค์เทพตอบ
เงียบไปชั่วขณะ ก่อนสวี่ชีอันจะนึกบางอย่างขึ้นได้พร้อมเอ่ย
“ร่างอวตารนิกายสวรรค์ของปรมาจารย์เต๋าผสานรวมกับวิถีแห่งฟ้า ร่างอวตารนิกายปฐพีฝึกฝนกลายเป็นหนังสือปฐพี ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์และผู้นำเต๋านิกายปฐพีต่างก็รู้ความลับเหล่านี้ทั้งนั้น แล้วเหตุใดผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายร่างอวตารนิกายมนุษย์ขององค์เทพเป็นอย่างไร”
เขาเคยถามลั่วอวี้เหิงว่า มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋าอยู่ในคัมภีร์โบราณของนิกายมนุษย์หรือไม่
ลั่วอวี้เหิงตอบว่าไม่มี
พลังบำเพ็ญของสวี่ชีอันในตอนนั้นยังน้อย เป็นเพียงปรมาจารย์เต๋าลึกลับเกินไป คนรุ่นหลังมิอาจรู้จัก
ทุกวันนี้ความลับที่รู้มีมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับพลังบำเพ็ญของเขาที่เพิ่มขึ้น ถึงได้รู้ว่าที่จริงสองนิกาย ‘สวรรค์และปฐพี’ ต่างรู้ร่างอวตารของปรมาจารย์เต๋า มีเพียงนิกายมนุษย์ที่ไม่รู้
“ร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋ายังมีชีวิตอยู่” องค์เทพพูดกระชับความ ไม่เอื้อนเอ่ยความลับอันยิ่งใหญ่ด้วยอารมณ์
จริงด้วย…สวี่ชีอันคาดเดาไว้และไม่ได้ตื่นตระหนก กลับโล่งใจเสียด้วยซ้ำ รู้สึกพอใจเหมือนรองเท้าที่ยกขึ้นได้หล่นลงมาในที่สุด
เขาเอ่ยตาม
“ข้าจะพาเทพธิดาไป องค์เทพได้โปรดช่วยเติมเต็มปรารถนาด้วย”
องค์เทพเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“หากไม่ล่ะ!”
สวี่ชีอันก็เอ่ยตรงไปตรงมาเช่นกัน
“เช่นนั้นวันนี้ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์จะเริ่มต้นก่อนกำหนด พวกเราสี่คนจะรุมเจ้าคนเดียว! ”
หลังจากองค์เทพพิจารณาส่วนได้ส่วนเสียก็ให้คำตอบอย่างใจเย็นและมีเหตุผล
“จากนี้หลี่เมี่ยวเจินจะไม่เกี่ยวข้องกับนิกายสวรรค์อีกต่อไป”
“หลังจากศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ นิกายสวรรค์จะปิดเขา จะมารบกวนอีกไม่ได้”
สวี่ชีอันพยักหน้ารับปาก แล้วถือโอกาสเสนออีกหนึ่งเงื่อนไข
“ช่วงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ สนามรบต้องเลือกอยู่ภายในเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้าจะไม่แทรกแซงศึกระหว่างเจ้ากับลั่วอวี้เหิง ทว่าข้าจะปกป้องชีวิตของนาง ด้วยเงื่อนไขนี้ ข้าจะไม่สนใจว่าเจ้าจะช่วงชิงพลังวิญญาณต้นกำเนิดได้เท่าไรหรือถูกนางช่วงชิงพลังวิญญาณต้นกำเนิดมากเท่าไร”
เขาใช้อำนาจกดดันได้ ทว่าทำมากเกินไปไม่ได้ นิกายสวรรค์ไม่ได้อ่อนแอ นอกจากองค์เทพ เทพธิดาปิงอี๋ และนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็เป็นเทพเจ้าหยางขั้นสาม
องค์เทพไม่เอ่ยวาจา ยอมรับข้อเสนอของเขา
…
นอกพระราชวัง คนกลุ่มหนึ่งกำลังให้ความสนใจสถานการณ์ภายในวังเทพสวรรค์อย่างใกล้ชิด เมื่อประตูพระราชวังเปิดออก พวกเขาก็มองเห็นร่างของสวี่ชีอันและองค์เทพ ทว่าไม่ได้ยินเสียงแต่อย่างใด
ทว่าท่าทางของทั้งสองฝ่ายค่อนข้างสงบ ทำให้คนในนิกายสวรรค์เหมือนยกหินออกจากอก
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเปิดฉากศึกใหญ่และได้รับผลกระทบ
สีหน้าของลั่วอวี้เหิงกับนักบวชเต๋าจินเหลียนผ่อนคลาย ทั้งคู่ต่างก็เป็นลัทธิเต๋า พวกเขารู้ว่านิกายสวรรค์เป็นนิกายที่ใจเย็นและมีเหตุผลที่สุด
พวกเขาจัดการปัญหาจะพิจารณาส่วนได้ส่วนเสียก่อนเป็นอันดับแรก ไม่หัวร้อนสู้ตายไปกับเจ้า
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงข้างกายและหลี่หลิงซู่ก็สบายใจ เมื่อรู้ว่าตนกำลังหนีจากภัยพิบัติได้
พูดตามความจริง เมื่อเผชิญกับ ‘การไล่ล่า’ ของท่านอาจารย์กับเทพธิดาปิงอี๋ที่ยงโจว ภายในใจเขาก็ตื่นตระหนก
หลังจากครั้งนั้น หลี่หลิงซู่ก็กังวลกับท่าทีของศิษย์ในสำนักมาโดยตลอด กลับไปจะต้องถูกทำโทษ แต่ไม่ได้คิดหาทางแก้ไข เพียงเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า
นิกายสวรรค์ในตอนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีผู้ใดช่วยพวกเขาได้จริงๆ
กระทั่งถึงวันที่ศิษย์ในสำนักเผชิญปัญหา เมื่อได้ยินว่าสวี่ชีอันเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง หลี่หลิงซู่ก็อิจฉาพลางกู่ร้องอยู่ในใจ
เจ้าเศษสวะทำได้ดีมาก!
เขารู้ว่าตนเองกับศิษย์น้องรอดแล้ว!
ตอนนี้ทุกคนเห็นสวี่ชีอันในพระราชวังหันหลังและเดินออกมานอกพระราชวัง
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ร่างของเขา
รู้ผลแล้วหรือ
นิกายสวรรค์ยังต้องจัดการเทพธิดาอยู่หรือไม่
ระหว่างที่คนในนิกายสวรรค์แสดงความเห็น เสียงอันไพศาลขององค์เทพก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ตั้งแต่วันนี้ไป หลี่เมี่ยวเจินจะไม่เกี่ยวข้องกับนิกายสวรรค์อีก”
ผู้คนต่างฮือฮา
ทุกคนทั้งเคียดแค้นและคับข้องใจ ทั้งยังโล่งใจด้วยอารมณ์หลากหลาย
เป็นที่ประจักษ์ว่า องค์เทพประนีประนอมแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เพราะนิกายสวรรค์มีศักดิ์ศรีไม่พอ แต่พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป
‘เมี่ยวเจินออกจากนิกาย ละ แล้วข้าล่ะ’ หลี่หลิงซู่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
เขาสูดหายใจลึกสักพัก ในใจคิดว่าช่างเถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ออกจากนิกายสวรรค์ก่อนค่อยว่ากัน
‘ออกจากนิกาย’…หลี่เมี่ยวเจินสังหรณ์ใจอยู่แล้ว จึงไม่ได้ประหลาดใจ แต่ยากจะเก็บซ่อนความเศร้า นางพยายามลุกขึ้นและหมอบคำนับเทพธิดาปิงอี๋ พร้อมเอ่ยเสียงสะอื้น
“ศิษย์ประพฤติตนไม่เหมาะสม ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังแล้ว”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงปรายตามองเทพธิดาปิงอี๋ สีหน้าของนางไร้ความรู้สึก เดาอารมณ์ไม่ออก หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากแขนเสื้อและโยนลงข้างแท่นสูง พร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ไปเสีย ชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก!”
หลี่เมี่ยวเจินร่ำไห้เสียงแหบแห้ง
สวี่ชีอันเดินขึ้นไปบนแท่นสูง หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของหลี่เมี่ยวเจินขึ้นมา อุ้มนางขึ้นและพยักหน้าให้จินเหลียนกับคนอื่นเล็กน้อย พร้อมเอ่ย
“ไปกันเถอะ!”
ระดับเหนือมนุษย์ไม่กี่ร่างกลายเป็นลำแสงหนีไปทันที สลายตัวท่ามกลางสายตาทุกคนในนิกายสวรรค์
‘ทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว’…หลี่หลิงซู่โล่งใจ ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
‘หือ แล้วข้าล่ะ?!’
‘พวกเจ้ายังไม่ได้พาข้าไปด้วย เฮ้ กลับมาก่อนเร็ว…’ เทพบุตรอ้าปากกว้างช้าๆ สีหน้าค่อยๆ แข็งทื่อ
เขาพลันคิดว่าโลกไร้เมตตาเช่นนี้ ไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด
ขณะที่เขากำลังฝันสลาย เสียงอันเยือกเย็นของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ยังไม่ไสหัวไปอีก!”
หลี่หลิงซู่รอบตาแดงก่ำ จมูกเริ่มคัดแสบ แล้วเอ่ยอ้ำอึ้ง “ขะ ข้าไม่คิดจะออกจากนิกาย ข้ายังกลับมาได้…”
เขาอยากจะก้มคำนับ ทว่าก็กลัวนิกายสวรรค์จะเปลี่ยนใจฉับพลัน จึงตัดสินใจขึ้นกระบี่บิน แล้วไล่ตามไปยังทางที่สวี่ชีอันและคนอื่นสลายตัว
ไม่มีผู้ใดขวางเขา
“ปิงอี๋เข้าวัง!”
เสียงขององค์เทพดังขึ้น
เทพธิดาปิงอี๋ถอนสายตากลับ แล้วหันร่างเข้าสู่วังเทพสวรรค์
องค์เทพนั่งขัดสมาธิอยู่ที่แท่นบัว กลับไปอยู่ในท่าก้มศีรษะ
“เจ้าหมดวาสนาศิษย์อาจารย์กับเทพธิดา กำจัดจิตโลกีย์ทิ้ง เตรียมเลื่อนสู่ขั้นสอง”
เทพธิดาปิงอี๋โค้งคารวะ
“เจ้าค่ะ! ขอบคุณองค์เทพที่ช่วยเติมเต็มปรารถนา!”
………………………………………