ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 629 แม่ลูกได้เจอกันแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 629 แม่ลูกได้เจอกันแล้ว

ผู้เฒ่าเฉินไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้จางเหมยได้เจอหู่จือ เพราะกลัวว่าอีกหน่อยหล่อนต้องกลับมาสร้างปัญหาให้หู่จือแน่

เด็กคนนี้เติบโตมาในครอบครัวเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวมาเป็นเวลานาน แม้แต่โจวลี่หรงที่ก่อนหน้านี้เคยไม่ชอบเด็กคนนั้นตอนนี้ยังเปลี่ยนมาปฏิบัติต่อเขาเหมือนหลานชายแท้ ๆ คราวนี้เด็กหายไป ทุกคนต่างวิตกกังวลกันหมดไม่ต่างจากมดที่ไต่อยู่บนเตาไฟ ถ้าทันทีที่กลับมาแล้วเด็กรู้ว่าพ่อแม่ทางสายเลือดของเขาเป็นคนอื่น ไม่ว่าเด็กจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม ผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่อาจยอมรับกับการที่เด็กจะถูกพรากไปจากอกได้

แต่จางเหมยกลับไม่ยอมจากไปง่าย ๆ เอาแต่ปาดน้ำตา บอกว่าหล่อนมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น คือแค่อยากเจอหน้าหู่จือสักครั้ง

ผู้หญิงหลายคนในห้องพลอยใจอ่อนตามเมื่อได้ยิน ในฐานะแม่ ทุกคนเข้าใจอารมณ์ของจางเหมยได้เป็นอย่างดี

บางทีสมัยยังสาวหล่อนอาจจะโง่เขลาขาดความยั้งคิด กลัวว่าลูกจะเป็นตัวถ่วงชีวิตอันก้าวหน้า จึงทิ้งลูกเพื่อแสวงหาความสุขของตัวเอง จนกระทั่งอยู่ข้างนอกแล้วชีวิตย่ำแย่ หล่อนถึงค่อยเสียใจกับการตัดสินใจอันผิดพลาดครั้งใหญ่และคิดถึงลูกขึ้นมา

คุณแม่เซี่ยและคุณย่าเฉินพยายามช่วยเกลี้ยกล่อม “ไม่งั้นปล่อยให้หล่อนรอเจอหน้าเด็กสักหน่อยก็ได้นี่นา”

หลินเซี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจ

“เอาอย่างนี้ เราจะจัดให้คุณเข้าไปรออยู่ที่ห้องด้านหลัง ทำได้แค่มองเขาจากระยะไกลเท่านั้น แต่คุณต้องรับปากก่อนว่าคุณจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างเช่นการกอดหรือคุยกับเขา เรายอมให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”

เธออนุญาตให้อีกฝ่ายได้มองเขาจากระยะไกล ก็เพราะเห็นแก่พ่อแท้ ๆ ของหู่จือที่เคยเสียสละชีวิตของเขาเพื่อผดุงประเทศชาติ

ถ้าหล่อนมีโอกาสได้คุยกับหู่จือแม้แค่เสี้ยววินาที อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปก็ล้วนอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา

จางเหมยต้องการพูดอย่างอื่น แต่เมื่อเห็นท่าทางน่าเกรงขามของผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ ก็หวาดหวั่นมากจนใจสั่น ไม่กล้าพูดมากเกินไป

หล่อนรู้ดีว่าถ้าตัวเองยังมีข้อต่อรองอยู่ พวกเขาคงจะไล่ตนออกไปจากที่นี่ทันที

จางเหมยถูกจัดให้รออยู่ห้องข้าง ๆ ห้องนั่งเล่น รอจนกว่าทุกคนจะกลับมา

ในช่วงบ่าย หลินจินซานเป็นคนขับรถ หลินเซี่ยและผู้เฒ่าเฉินขึ้นไปนั่งในรถ เย่ไป๋ก็ขอลางานเป็นกรณีพิเศษเพื่อขับรถของตัวเองพาญาติ ๆ ตระกูลเซี่ยไปที่สถานีขนส่ง รอรับการกลับมาของพวกเขา

หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนถูกทิ้งให้รออยู่ที่บ้าน โดยหลิวกุ้ยอิงบอกว่าจะรีบเข้าครัวเตรียมอาหารดี ๆ ให้หู่จือ เพราะเด็กต้องทนทุกข์ทรมานข้างนอกมานาน

พวกเขามาถึงสถานีขนส่งเร็วกว่ากำหนดมาก รอกันเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่รถบัสจะมาถึง

เมื่อเฉินเจียเหอลงจากรถบัสโดยมีหู่จืออยู่ในอ้อมแขน หลินเซี่ยและผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลเฉินก็รีบวิ่งเข้าไปหา

หลินเซี่ยกอดหู่จือไว้แน่นหนา เศร้าเสียใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้

ภายในใจเธอมีทั้งความกังวล ความกลัว ความรู้สึกผิด และความคับข้องใจ ทุกอย่างระเบิดออกมาทันทีที่เห็นลูก อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

“แม่ หยุดร้องไห้เถอะนะครับ” หู่จือยกมือเล็ก ๆ ขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ “แม่ฮะ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”

ทันทีที่หู่จือยอมรับความผิดพลาด หลินเซี่ยก็ยิ่งร้องไห้ด้วยความเศร้ามากกว่าเดิม

ชายชราก็ห่วงหาอาทรอยากปลอบเด็กเช่นกัน เฉินเจียเหอจึงวางหู่จือลง ให้ผู้เฒ่าเฉินรีบดึงเขาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเพื่อตรวจสอบ

เฉินเจียเหอเข้าไปโอบหลินเซี่ยไว้เพื่อปลอบเธอ

มีคนมากกว่าสิบคนอยู่ที่จุดจอดรถ เกือบทำให้การจราจรติดขัด

เซี่ยไห่จึงโพล่งออกมา “ไปเถอะ กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”

ถังจวิ้นเฟิงและสหายของเขาในหน่วยกำลังจะกลับไปที่จุดประจำการหน่วยของตน ในฐานะทหารผ่านศึก ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่ถังจวิ้นเฟิงและคนอื่น ๆ ทักทายพวกเขาด้วยการวันทยาหัตถ์อย่างเคร่งขรึม

“ขอบคุณ ขอบคุณมาก”

เซี่ยเหลยเองก็วันทยาหัตถ์ให้กับสหายตำรวจด้วย

พวกเขาตอบรับผู้เฒ่าเฉินและเซี่ยเหลย จากนั้นกล่าวคำอำลาและจากไป

ทุกคนทยอยขึ้นรถ หลินเซี่ยนั่งรถคันเดียวกับผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ โดยอุ้มหู่จือไว้บนตักไม่ยอมปล่อย

หู่จือมองไปยังดวงตาของหลินเซี่ยที่แดงก่ำจากการร้องไห้ รวมถึงใบหน้าซีดเซียวของเธอ เขาขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง “แม่ฮะ ผมขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ตอนที่ผมออกไปซื้อขาหมูให้แม่ ผมพลาดท่าเจอคนไม่ดี ผมไม่ได้ตั้งใจจะหนีไปโดยพลการเลย ทำให้ทุกคนกังวลแล้ว”

หลินเซี่ยสูดจมูก มองหู่จือและสอนเขาอย่างจริงจังว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องคิดจะซื้ออะไรให้แม่อีก ลูกห้ามละสายตาจากเราแม้แต่ครึ่งก้าว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วครับ”

ผู้ใหญ่ในครอบครัวผลัดกันกอดหู่จือทีละคน พวกเขาทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในอนาคตอย่าคิดทะเลอทะล่าออกไปไหนตามลำพังอีก

หู่จือประสบกับบทเรียนราคาแพง ครั้งนี้เขาตอบสนองอย่างเชื่อฟังมาก

ถึงขั้นสาบานว่าจากนี้จะไม่ละสายตาจากผู้ใหญ่อีก

“ตอนที่ผมโดนผู้ชายคนนั้นจับเอาถุงกระสอบครอบ ผมอยากจะร้องไห้ดัง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาปิดปากผม ผมพยายามร้องก็ร้องไม่ออกเลย

ผมรู้สึกง่วงมากตลอดเวลา ลืมตาไม่ขึ้น จนเผลอหลับไป พอตื่นมาผมก็มาอยู่ในบ้านโทรม ๆ ที่อากาศหนาวมาก ๆ แล้ว ผมโกหกพวกเขา บอกว่าจะยอมเป็นลูกของพวกเขาโดยดี จากนั้นพวกเขาก็ซื้อของต่าง ๆ มาให้ผม ซื้ออาหารดี ๆ ให้เยอะมาก ที่ผ่านมาผมไม่ต้องทนหิวเลย อิ่มมากด้วยซ้ำ

ผมไม่ได้อยากเป็นลูกของพวกเขาจริง ๆ แค่ปล่อยให้ศัตรูผ่อนคลายความระแวดระวังลง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทุบตีหรือรังแกผม รอให้สบโอกาสเมื่อไหร่ ผมจะหาจังหวะวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วโทรกลับบ้านทันที”

เรื่องราวที่หู่จือบอกเล่าโดยพื้นฐานแล้วสอดคล้องกับสิ่งที่ให้ปากคำกับตำรวจ

ทุกคนรู้สึกปวดร้าวมากเมื่อนึกถึงฉากตอนที่เด็กถูกจับยัดใส่กระสอบ

โชคดีที่เด็กชายเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ทำให้เขาไม่โดนอะไรหนักหนาสาหัสไปมากกว่านี้

“ลูกชายแม่ฉลาดเหลือเกิน” หลินเซี่ยกอดเขาพร้อมกับจูบเขาอย่างแรงที่หน้าผาก

ทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่หู่จือเล่า

ภูมิใจที่เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและกล้าหาญ

ถ้าตอนนั้นเขาพยายามดิ้นรนต่อต้านอย่างรุนแรงหรือร้องไห้เสียงดัง พวกไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นอาจทำร้ายเด็กได้

จางเหมยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ด้านข้าง มองดูเด็กชายที่ฉลาดและมีชีวิตชีวาจากระยะไกลผ่านทางหน้าต่าง เห็นเขานั่งอยู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ย เรียกอีกฝ่ายว่าแม่อย่างอ่อนหวาน รักหลินเซี่ยเหมือนเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเอง แน่นอนว่าสายตาไม่สามารถหลอกลวงใครได้ เธอปฏิบัติต่อหู่จืออย่างจริงใจ

อารมณ์ของจางเหมยซับซ้อนมาก เหนือสิ่งอื่นใดคืออิจฉา

หล่อนอยากให้แม่ที่กำลังอุ้มเขาไว้ในขณะนี้เป็นตัวเองมากกว่า

ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้ยินลูกชายเรียกตัวเองว่าแม่บ้าง

จางเหมยมองดูเด็กที่อยู่ข้างนอก ความคิดนี้ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็เพิกเฉยต่อเงื่อนไขที่หลินเซี่ยให้ไว้ เดินออกไปอย่างอดรนทนไม่ได้

ในขณะนี้ บรรยากาศในบ้านไม่เงียบเหงาซึมเซาเหมือนตอนแรกแล้ว เมื่อทุกคนเห็นว่าเด็กไม่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสภาพจิตใจยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว ในที่สุดพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อีกครั้ง

ผู้เฒ่าเฉินบอกกับเฉินเจียเหอว่าจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด พวกไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นสมควรได้รับโทษทางกฎหมายอย่างรุนแรง

หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินพูดจบ แสงอันแหลมคมก็ฉายวาบผ่านดวงตาของเขา

พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยไม่มีการผ่อนผันใด ๆ

ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน ทันใดนั้นเฉินเจียเหอก็เห็นจางเหมยเดินออกมาจากห้องด้านข้าง ทำให้อีกฝ่ายชะงักงันไปเล็กน้อย

“ฉัน…” จางเหมยใช้นิ้วจับชายเสื้อของตัวเอง ไม่กล้าสบตากับเฉินเจียเหอ ดวงตาเหลือบมองไปทางเด็กที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ย

“ฉันอยากเจอลูก” หล่อนพูดเสียงแผ่ว

เมื่อเซี่ยไห่เห็นจางเหมย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “มองอะไรของเธอ? ใครปล่อยให้เธอเข้ามาหา?”

เขากลัวว่าหู่จือจะเกิดความสงสัย จึงลดระดับเสียงลงพลางพูดว่า “ไว้ฉันจะพิจารณาเรื่องนั้นให้เธอทีหลัง ตอนนี้เธอกลับไปก่อนเถอะ”

“แต่ว่า ฉัน…” จางเหมยยังคงยืนนิ่ง

หู่จือกำลังเล่าการผจญภัยของเขาในเวลาที่ผ่านมา เมื่อเขาเห็นผู้หญิงแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นในบ้าน เขาก็มองไปที่หลินเซี่ยด้วยความสงสัย “แม่ฮะ ป้าคนนี้เป็นใครเหรอ?”

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท