ตอนที่ 629 แม่ลูกได้เจอกันแล้ว
ผู้เฒ่าเฉินไม่เห็นด้วยกับการปล่อยให้จางเหมยได้เจอหู่จือ เพราะกลัวว่าอีกหน่อยหล่อนต้องกลับมาสร้างปัญหาให้หู่จือแน่
เด็กคนนี้เติบโตมาในครอบครัวเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวมาเป็นเวลานาน แม้แต่โจวลี่หรงที่ก่อนหน้านี้เคยไม่ชอบเด็กคนนั้นตอนนี้ยังเปลี่ยนมาปฏิบัติต่อเขาเหมือนหลานชายแท้ ๆ คราวนี้เด็กหายไป ทุกคนต่างวิตกกังวลกันหมดไม่ต่างจากมดที่ไต่อยู่บนเตาไฟ ถ้าทันทีที่กลับมาแล้วเด็กรู้ว่าพ่อแม่ทางสายเลือดของเขาเป็นคนอื่น ไม่ว่าเด็กจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม ผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่อาจยอมรับกับการที่เด็กจะถูกพรากไปจากอกได้
แต่จางเหมยกลับไม่ยอมจากไปง่าย ๆ เอาแต่ปาดน้ำตา บอกว่าหล่อนมีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น คือแค่อยากเจอหน้าหู่จือสักครั้ง
ผู้หญิงหลายคนในห้องพลอยใจอ่อนตามเมื่อได้ยิน ในฐานะแม่ ทุกคนเข้าใจอารมณ์ของจางเหมยได้เป็นอย่างดี
บางทีสมัยยังสาวหล่อนอาจจะโง่เขลาขาดความยั้งคิด กลัวว่าลูกจะเป็นตัวถ่วงชีวิตอันก้าวหน้า จึงทิ้งลูกเพื่อแสวงหาความสุขของตัวเอง จนกระทั่งอยู่ข้างนอกแล้วชีวิตย่ำแย่ หล่อนถึงค่อยเสียใจกับการตัดสินใจอันผิดพลาดครั้งใหญ่และคิดถึงลูกขึ้นมา
คุณแม่เซี่ยและคุณย่าเฉินพยายามช่วยเกลี้ยกล่อม “ไม่งั้นปล่อยให้หล่อนรอเจอหน้าเด็กสักหน่อยก็ได้นี่นา”
หลินเซี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจ
“เอาอย่างนี้ เราจะจัดให้คุณเข้าไปรออยู่ที่ห้องด้านหลัง ทำได้แค่มองเขาจากระยะไกลเท่านั้น แต่คุณต้องรับปากก่อนว่าคุณจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างเช่นการกอดหรือคุยกับเขา เรายอมให้คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”
เธออนุญาตให้อีกฝ่ายได้มองเขาจากระยะไกล ก็เพราะเห็นแก่พ่อแท้ ๆ ของหู่จือที่เคยเสียสละชีวิตของเขาเพื่อผดุงประเทศชาติ
ถ้าหล่อนมีโอกาสได้คุยกับหู่จือแม้แค่เสี้ยววินาที อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปก็ล้วนอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา
จางเหมยต้องการพูดอย่างอื่น แต่เมื่อเห็นท่าทางน่าเกรงขามของผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ ก็หวาดหวั่นมากจนใจสั่น ไม่กล้าพูดมากเกินไป
หล่อนรู้ดีว่าถ้าตัวเองยังมีข้อต่อรองอยู่ พวกเขาคงจะไล่ตนออกไปจากที่นี่ทันที
จางเหมยถูกจัดให้รออยู่ห้องข้าง ๆ ห้องนั่งเล่น รอจนกว่าทุกคนจะกลับมา
ในช่วงบ่าย หลินจินซานเป็นคนขับรถ หลินเซี่ยและผู้เฒ่าเฉินขึ้นไปนั่งในรถ เย่ไป๋ก็ขอลางานเป็นกรณีพิเศษเพื่อขับรถของตัวเองพาญาติ ๆ ตระกูลเซี่ยไปที่สถานีขนส่ง รอรับการกลับมาของพวกเขา
หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนถูกทิ้งให้รออยู่ที่บ้าน โดยหลิวกุ้ยอิงบอกว่าจะรีบเข้าครัวเตรียมอาหารดี ๆ ให้หู่จือ เพราะเด็กต้องทนทุกข์ทรมานข้างนอกมานาน
พวกเขามาถึงสถานีขนส่งเร็วกว่ากำหนดมาก รอกันเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่รถบัสจะมาถึง
เมื่อเฉินเจียเหอลงจากรถบัสโดยมีหู่จืออยู่ในอ้อมแขน หลินเซี่ยและผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลเฉินก็รีบวิ่งเข้าไปหา
หลินเซี่ยกอดหู่จือไว้แน่นหนา เศร้าเสียใจเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้
ภายในใจเธอมีทั้งความกังวล ความกลัว ความรู้สึกผิด และความคับข้องใจ ทุกอย่างระเบิดออกมาทันทีที่เห็นลูก อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
“แม่ หยุดร้องไห้เถอะนะครับ” หู่จือยกมือเล็ก ๆ ขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ “แม่ฮะ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว”
ทันทีที่หู่จือยอมรับความผิดพลาด หลินเซี่ยก็ยิ่งร้องไห้ด้วยความเศร้ามากกว่าเดิม
ชายชราก็ห่วงหาอาทรอยากปลอบเด็กเช่นกัน เฉินเจียเหอจึงวางหู่จือลง ให้ผู้เฒ่าเฉินรีบดึงเขาเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเพื่อตรวจสอบ
เฉินเจียเหอเข้าไปโอบหลินเซี่ยไว้เพื่อปลอบเธอ
มีคนมากกว่าสิบคนอยู่ที่จุดจอดรถ เกือบทำให้การจราจรติดขัด
เซี่ยไห่จึงโพล่งออกมา “ไปเถอะ กลับบ้านกันก่อนดีกว่า”
ถังจวิ้นเฟิงและสหายของเขาในหน่วยกำลังจะกลับไปที่จุดประจำการหน่วยของตน ในฐานะทหารผ่านศึก ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่ถังจวิ้นเฟิงและคนอื่น ๆ ทักทายพวกเขาด้วยการวันทยาหัตถ์อย่างเคร่งขรึม
“ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
เซี่ยเหลยเองก็วันทยาหัตถ์ให้กับสหายตำรวจด้วย
พวกเขาตอบรับผู้เฒ่าเฉินและเซี่ยเหลย จากนั้นกล่าวคำอำลาและจากไป
ทุกคนทยอยขึ้นรถ หลินเซี่ยนั่งรถคันเดียวกับผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ โดยอุ้มหู่จือไว้บนตักไม่ยอมปล่อย
หู่จือมองไปยังดวงตาของหลินเซี่ยที่แดงก่ำจากการร้องไห้ รวมถึงใบหน้าซีดเซียวของเธอ เขาขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง “แม่ฮะ ผมขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ตอนที่ผมออกไปซื้อขาหมูให้แม่ ผมพลาดท่าเจอคนไม่ดี ผมไม่ได้ตั้งใจจะหนีไปโดยพลการเลย ทำให้ทุกคนกังวลแล้ว”
หลินเซี่ยสูดจมูก มองหู่จือและสอนเขาอย่างจริงจังว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องคิดจะซื้ออะไรให้แม่อีก ลูกห้ามละสายตาจากเราแม้แต่ครึ่งก้าว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วครับ”
ผู้ใหญ่ในครอบครัวผลัดกันกอดหู่จือทีละคน พวกเขาทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในอนาคตอย่าคิดทะเลอทะล่าออกไปไหนตามลำพังอีก
หู่จือประสบกับบทเรียนราคาแพง ครั้งนี้เขาตอบสนองอย่างเชื่อฟังมาก
ถึงขั้นสาบานว่าจากนี้จะไม่ละสายตาจากผู้ใหญ่อีก
“ตอนที่ผมโดนผู้ชายคนนั้นจับเอาถุงกระสอบครอบ ผมอยากจะร้องไห้ดัง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขาปิดปากผม ผมพยายามร้องก็ร้องไม่ออกเลย
ผมรู้สึกง่วงมากตลอดเวลา ลืมตาไม่ขึ้น จนเผลอหลับไป พอตื่นมาผมก็มาอยู่ในบ้านโทรม ๆ ที่อากาศหนาวมาก ๆ แล้ว ผมโกหกพวกเขา บอกว่าจะยอมเป็นลูกของพวกเขาโดยดี จากนั้นพวกเขาก็ซื้อของต่าง ๆ มาให้ผม ซื้ออาหารดี ๆ ให้เยอะมาก ที่ผ่านมาผมไม่ต้องทนหิวเลย อิ่มมากด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้อยากเป็นลูกของพวกเขาจริง ๆ แค่ปล่อยให้ศัตรูผ่อนคลายความระแวดระวังลง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทุบตีหรือรังแกผม รอให้สบโอกาสเมื่อไหร่ ผมจะหาจังหวะวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์แล้วโทรกลับบ้านทันที”
เรื่องราวที่หู่จือบอกเล่าโดยพื้นฐานแล้วสอดคล้องกับสิ่งที่ให้ปากคำกับตำรวจ
ทุกคนรู้สึกปวดร้าวมากเมื่อนึกถึงฉากตอนที่เด็กถูกจับยัดใส่กระสอบ
โชคดีที่เด็กชายเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ทำให้เขาไม่โดนอะไรหนักหนาสาหัสไปมากกว่านี้
“ลูกชายแม่ฉลาดเหลือเกิน” หลินเซี่ยกอดเขาพร้อมกับจูบเขาอย่างแรงที่หน้าผาก
ทุกคนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่หู่จือเล่า
ภูมิใจที่เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและกล้าหาญ
ถ้าตอนนั้นเขาพยายามดิ้นรนต่อต้านอย่างรุนแรงหรือร้องไห้เสียงดัง พวกไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นอาจทำร้ายเด็กได้
จางเหมยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ด้านข้าง มองดูเด็กชายที่ฉลาดและมีชีวิตชีวาจากระยะไกลผ่านทางหน้าต่าง เห็นเขานั่งอยู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ย เรียกอีกฝ่ายว่าแม่อย่างอ่อนหวาน รักหลินเซี่ยเหมือนเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเอง แน่นอนว่าสายตาไม่สามารถหลอกลวงใครได้ เธอปฏิบัติต่อหู่จืออย่างจริงใจ
อารมณ์ของจางเหมยซับซ้อนมาก เหนือสิ่งอื่นใดคืออิจฉา
หล่อนอยากให้แม่ที่กำลังอุ้มเขาไว้ในขณะนี้เป็นตัวเองมากกว่า
ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้ยินลูกชายเรียกตัวเองว่าแม่บ้าง
จางเหมยมองดูเด็กที่อยู่ข้างนอก ความคิดนี้ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเธอก็เพิกเฉยต่อเงื่อนไขที่หลินเซี่ยให้ไว้ เดินออกไปอย่างอดรนทนไม่ได้
ในขณะนี้ บรรยากาศในบ้านไม่เงียบเหงาซึมเซาเหมือนตอนแรกแล้ว เมื่อทุกคนเห็นว่าเด็กไม่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสภาพจิตใจยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว ในที่สุดพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ อีกครั้ง
ผู้เฒ่าเฉินบอกกับเฉินเจียเหอว่าจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเด็ดขาด พวกไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นสมควรได้รับโทษทางกฎหมายอย่างรุนแรง
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินพูดจบ แสงอันแหลมคมก็ฉายวาบผ่านดวงตาของเขา
พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยไม่มีการผ่อนผันใด ๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน ทันใดนั้นเฉินเจียเหอก็เห็นจางเหมยเดินออกมาจากห้องด้านข้าง ทำให้อีกฝ่ายชะงักงันไปเล็กน้อย
“ฉัน…” จางเหมยใช้นิ้วจับชายเสื้อของตัวเอง ไม่กล้าสบตากับเฉินเจียเหอ ดวงตาเหลือบมองไปทางเด็กที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ย
“ฉันอยากเจอลูก” หล่อนพูดเสียงแผ่ว
เมื่อเซี่ยไห่เห็นจางเหมย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “มองอะไรของเธอ? ใครปล่อยให้เธอเข้ามาหา?”
เขากลัวว่าหู่จือจะเกิดความสงสัย จึงลดระดับเสียงลงพลางพูดว่า “ไว้ฉันจะพิจารณาเรื่องนั้นให้เธอทีหลัง ตอนนี้เธอกลับไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่า ฉัน…” จางเหมยยังคงยืนนิ่ง
หู่จือกำลังเล่าการผจญภัยของเขาในเวลาที่ผ่านมา เมื่อเขาเห็นผู้หญิงแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นในบ้าน เขาก็มองไปที่หลินเซี่ยด้วยความสงสัย “แม่ฮะ ป้าคนนี้เป็นใครเหรอ?”