คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 753 ฉินเหมยเหนียงยืมอำนาจ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 753 ฉินเหมยเหนียงยืมอำนาจ

ตอนที่ฉินเหมยเหนียงไปที่ประตูจวนเสนาบดี ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่ากำลังพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือในเมืองหลวงอยู่กับลูกสะใภ้และหลานสาว ทันใดนั้นก็ได้ยินสาวใช้ใหญ่มารายงานว่ามีคนจากตระกูลฉินมาหาที่หน้าประตู แล้วยื่นกระเป๋าให้

เมื่อฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าได้ยินเกี่ยวกับตระกูลฉิน จึงชะงักไปครู่หนึ่ง “ตระกูลฉินไหนหรือ” ทันใดนั้นก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง ถามอย่างมีความสุขว่า “เป็นท่านเจ้าอาวาสน้อยหรือ”

หมัวหมัวคนสนิทเปิดกระเป๋าออก เผยให้เห็นหยกหลิงหลงสีขาวใส ยื่นไปให้ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า “นี่คือของที่ท่านมอบให้ท่านเจ้าอาวาสน้อย หากนางมาเยี่ยม ไม่จำเป็นต้องนำสัญลักษณ์นี้มาเจ้าค่ะ”

“ใช่เจ้าค่ะ เป็นสะใภ้ฉิน ท่านอาหญิงใหญ่ อดีตภรรยาซ่งลี่หยาง หัวหน้ากรมพิธีการที่ตกลงไปในน้ำแล้วจมน้ำตายในช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีนี้เจ้าค่ะ หลังจากที่ตระกูลฉินล้มลง นางก็ถูกเขาปลดภรรยาแล้วให้กลับไปที่ตระกูลเดิมเจ้าค่ะ” สาวใช้ใหญ่อธิบายถึงที่มาของฉินเหมยเหนียง

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเอ่ยตอบรับ “นางอยู่ไหน เชิญเข้ามาเถิด”

นางก็เคยได้เห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินผู้นี้ เป็นคนอ่อนโยนและนุ่มนวล ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้มาหา ซ้ำยังนำสัญลักษณ์มาด้วย เกรงว่าจะมีเรื่องขอร้อง

แม้ว่าฉินเหมยเหนียงจะนำสัญลักษณ์มาด้วย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าขั้นหนึ่งจะพบตัวเองจริงๆ ในขณะที่ในใจมีความสุขก็เป็นกังวลเล็กน้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่านางจะยินดีให้ยืมอำนาจหรือไม่

มาที่ห้องโถงโซ่วคังของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าด้วยความเป็นกังวล เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าที่สีหน้ามีเมตตาและรอยยิ้ม ฉินเหมยเหนียงก็ก้มลงคำนับ “สะใภ้ฉินนามว่าเหมยเหนียงคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพแข็งแรง”

“เอาล่ะๆ รีบลุกขึ้นมาเถิด สะใภ้ใหญ่รีบพยุงนางขึ้นมา พวกเจ้าสาวใช้ทั้งหลายรีบยกชามา ให้นางนั่ง”

ฮูหยินลิ่นยิ้มพลางเข้ามาพยุง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตั้งแต่พบกันคราวที่แล้วก็เป็นตอนที่ท่านอาจารย์อวิ๋นเฉิงทำพิธีใหญ่เทศนาธรรมที่วัดหวงเจวี๋ย ไม่ได้เจอกันนานมากแล้วจริงๆ”

ฉินเหมยเหนียงก็คำนับนางเช่นกัน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยากแล้วที่ฮูหยินจะยังจำข้าได้”

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าถามว่า “ไยเจ้าจึงมาเมืองหลวง หรือว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยมีเรื่องจะฝากฝัง”

ฉินเหมยเหนียงใบหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวว่า “ก่อนอื่นข้าขอขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างมากที่ยอมพบข้าซึ่งเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งที่เคยได้พบกันเพียงสองสามครั้ง กล่าวตามตรง ครั้งนี้แบกหน้ามาหาเป็นเพราะหมดปัญญาแล้วจริงๆ เป็นเส้นทางสว่างที่นางหนูซีเอ๋อร์ชี้แนะให้ข้าก่อนมาเมืองหลวง หากไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ข้าก็ไม่อยากยืมน้ำใจนี้ของนาง แต่ว่า…”

ขณะที่นางเอ่ยน้ำตาก็ไหลพรากออกมา

ฮูหยินลิ่นตกใจ รีบก้าวเข้าไปลูบหลังนาง เอ่ย “ตายจริง อยู่ดีๆ เหตุใดจึงร้องไห้เสียได้ มีอะไรก็ค่อยๆ เอ่ยเถิด หากช่วยได้พวกเราจะช่วยอย่างแน่นอน”

ฉินเหมยเหนียงเช็ดน้ำตา ยืนขึ้นแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ให้ช่วยรับบุตรสาวทั้งสองของข้ากลับมา เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในน้ำมือของคนชั่วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าขมวดคิ้ว เอ่ย “เจ้าลุกขึ้นเถิด”

ฉินเหมยเหนียงสูดลมหายใจ รับชาจากฮูหยินลิ่นมาดื่มแล้วกล่าวขอบคุณ อารมณ์สงบลงเล็กน้อย จากนั้นจึงได้อธิบายว่าตระกูลฉินล้มลง ตัวเองและบุตรสาวถูกตระกูลซ่งทอดทิ้งแล้วกลับมาที่ตระกูลเดิมได้อย่างไร แล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ฉินหลิวซีดูโหงวเฮ้งของบุตรสาวคนโตไว้ว่าอย่างไร จากนั้นก็ทำนายชะตาชีวิต และเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากมาเมืองหลวงต่างๆ นานา

“…เขาตายไปแล้ว ในเมื่อเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของอวี่เยียน พวกนางสองคนพี่น้องมาร่วมพิธีศพล้วนเป็นเพราะเยื่อใยความสัมพันธ์พ่อลูก มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกนางจะไม่กลับเมืองหลวง ไว้อาลัยอยู่ที่เมืองหลี ใครจะสามารถว่าอะไรได้ พวกนางถูกทอดทิ้งแล้ว ซ้ำยังตั้งครัวเรือนสตรีกับข้า ใช้แซ่ของข้า” ฉินเหมยเหนียงกัดฟันพลางเอ่ย “แผนของตระกูลซ่งน่าขยะแขยง ต้องการขายบุตรสาวของข้าเพื่อแลกกับความรุ่งโรจน์ น่าขยะแขยงสิ้นดี เดิมทีข้าสามารถสู้ตายกับพวกเขาได้ แต่หากทำเช่นนั้นก็จะทำให้บุตรสาวของข้าหมดหวัง ข้าเป็นสะใภ้ที่ถูกปลด ตระกูลเดิมก็ล้มลง ไม่สามารถต่อสู้ได้ในขณะนี้ จึงทำได้เพียงหน้าด้านมาที่นี่ หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะออกหน้า ช่วยพาบุตรสาวของข้าออกมา ข้ายินดีจะเขียนชื่อผู้มีพระคุณลงบนป้ายจารึกขอให้ท่านมีอายุยืนยาวเจ้าค่ะ”

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าสบถเบาๆ “ตระกูลซ่งใช้วิธีสกปรกจริงๆ ตระกูลตัวเองยังอยู่ในช่วงไว้อาลัย แต่กลับวางแผนการกับเด็กสาวทั้งสองที่ถูกตัวเองไล่ออกจากตระกูล ช่างน่ารังเกียจ”

ฮูหยินลิ่นก็มีสีหน้ารังเกียจ ก่อนจะเอ่ย “ทำเรื่องสกปรกในช่วงไว้อาลัยเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กลัวว่าจะขายหน้าหากข่าวแพร่กระจายออกไปเลย”

“หากพวกเขาเห็นแก่หน้า ก็จะไม่ทอดทิ้งบุตรสาว ต่อมาก็คิดได้ว่าพวกนางสามารถนำผลประโยชน์มาให้ได้ จึงได้ทำทุกวิธีทางดึงตัวบุตรสาวกลับมา” ดั่งคำกล่าวที่ว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้นก็จะยิ่งจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด ตระกูลซ่งทำอย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้ ผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้มีใครบ้างที่ไม่เข้าใจลับลมคมในของเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมเข้าใจความหมายของตระกูลซ่ง

เพียงผลประโยชน์หนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการขายสตรีเพื่อแลกกับความรุ่งโรจน์

ฮูหยินลิ่นมองแม่สามีพลางเอ่ย “ท่านแม่ เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะไปเชิญพวกนางมาในนามของนางหนูถัง อย่างไรเสียก็เป็นสตรีที่รุ่นราวคราวเดียวกัน บอกว่าได้ยินว่าพวกนางกลับมาเมืองหลวงแล้ว อยากจะพบสักหน่อย”

สำหรับข้อสงสัยของตระกูลซ่งว่าฉินอวี่เยียนและน้องสาวรู้จักบุตรสาวจวนเสนาบดีได้อย่างไรนั้นก็เพียงแค่แต่งเรื่องขึ้นมา

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าส่ายหน้า “ชื่อเสียงของถังเอ๋อร์ไม่ใหญ่พอ หากท่านย่าของพวกนางใช้เหตุผลว่าต้องปรนนิบัติคนป่วยและไว้อาลัยรั้งตัวไว้ไม่ปล่อย เจ้าจะทำอย่างไร เป็นข้าเถิด บอกว่าเหมยเหนียงมาเป็นแขกของข้า ได้ยินว่านางหนูอวี่เยียนฝีมือเย็บปักถักร้อยดี ให้นางปักผ้าคาดศีรษะให้ข้า มาหาข้าที่จวนเพื่อตัดสินใจเลือกลาย”

ฉินเหมยเหนียงดีใจ หมายความว่ารับปากแล้ว

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่ามองไปยังฉินเหมยเหนียง เอ่ย “แม้ว่าจ้าวจวิ้นอ๋องจะไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ก็เป็นเชื้อสายราชวงศ์ ตอนนี้พวกเจ้าสามคนแม่ลูกไร้ที่พึ่ง หากนางกลายเป็นชายาจวิ้นอ๋องขึ้นมาจริงๆ ก็จะมีศักดิ์เป็นสะใภ้ของราชวงศ์ เจ้าไม่เต็มใจจริงๆ หรือ”

ฉินเหมยเหนียงยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องทดสอบข้า เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดอยากให้บุตรสาวแต่งกับตระกูลสูงศักดิ์ แต่ก็เพียงแค่ดีกว่าตระกูลซ่งเล็กน้อย อย่างไรเสียข้ากับท่านพ่อของนางก็เป็นบุตรของอนุทั้งคู่ ก็ไม่ได้สูงส่งเพียงนั้น ต่อมากลับไม่กล้าคิดแล้ว จ้าวจวิ้นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ กล่าวตามตรง เขาไม่ต้องการหาภรรยาคนถัดไปที่มีภูมิหลังทางตระกูลที่ดีหรือ ตระกูลซ่งเอ่ยอย่างน่าฟังว่าเป็นภรรยาคนถัดไป เมื่อสำเร็จแล้ว หากจ้าวจวิ้นอ๋องกลับคำยอมรับเป็นเพียงอนุ ใครจะทำอะไรเขาได้ ข้าแค่หวังว่าบุตรสาวของข้าจะได้พบกับสามีที่เอาใจใส่ สามีภรรยาปรึกษาซึ่งกันและกัน ย่อมดีกว่าใช้ชีวิตอยู่ในจวนอันมั่งคั่งอย่างไม่มีความสุขเจ้าค่ะ”

มีความชื่นชมในสายตาของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเล็กน้อย ในช่วงเวลาสำคัญนับว่ายังมีสติ ไม่ถูกความมั่งคั่งจอมปลอมทำให้หลงงมงาย

ไม่อาจรอช้า ในเมื่อตระกูลซ่งได้เตรียมการแล้ว เช่นนั้นก็รีบรับสองคนพี่น้องออกมาให้เร็วจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกย่ำยีขึ้นมาจริงๆ

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าส่งหมัวหมัวเฒ่าคนสนิทไปรับคนมาจากตระกูลซ่งด้วยตัวเอง เดิมทีฉินเหมยเหนียงอยากจะตามไปด้วย แต่กลับถูกนางรั้งไว้

“ในเมื่อเจ้ามาเป็นแขกของข้าที่นี่ แค่รอก็พอแล้ว หมัวหมัวเฒ่าย่อมรู้ว่าต้องเอ่ยอย่างไร” ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าบอกข้าว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยทำนายดวงชะตาให้นางว่าจะแต่งงานช้า?”

“เจ้าค่ะ” ฉินเหมยเหนียงเล่าที่ฉินหลิวซีทำนายดวงชะตาไว้ให้ฟัง

ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเอียงข้างพิงหมอนอิงบนโต๊ะพลางเอ่ย “หากจ้าวจวิ้นอ๋องรู้ว่าแม่นางผู้นี้แต่งงานเร็วจะทำให้สามีตาย เกรงว่าเขาจะเอาความโกรธไปลงที่ตระกูลซ่ง”

ฮูหยินลิ่นหัวเราะ “ท่านแม่ ทุกวันตอนบ่ายยามเซิน[1] จ้าวจวิ้นอ๋องจะพานกไปเดินเล่นที่หอฉังอิน”

จ้าวจวิ้นอ๋องชอบนก และหอฉังอินมีนกนานาชนิดที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นจึงต้องไปที่นั่น

“เช่นนั้นเจ้าให้คนไปเตรียมการสักหน่อย ต้องให้จ้าวจวิ้นอ๋องรู้ถึงอันตราย หากถูกคนพิฆาต จะไม่ได้พานกไปเดินเล่นแล้ว”

ฮูหยินลิ่นรับคำ

ฉินเหมยเหนียงกะพริบตาปริบๆ เล่นแบบนี้ก็ได้หรือ

[1] ยามเซิน เวลาบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท