ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 509 ให้ข้าอยู่ที่นี่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 509 ให้ข้าอยู่ที่นี่

ซูเย่ารู้สึกว่าข้างหน้าสว่างและมืดมากในเวลาเดียวกัน ราวกับความจริงและความฝันเกี่ยวพัน ทำให้ความคิดเชื่องช้าลงกะทันหัน

“อาลักษณ์ซูจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” เด็กสาวสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงกลับเยือกเย็นยิ่งกว่า

ซูเย่าค่อยๆ ได้สติ โพล่งขึ้นว่า “คุณหนูลั่ว?”

เขามองซ้ายทีขวาที การตกแต่งภายในห้องที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาตกตะลึง ม่านสีฟ้าหลังฝน ฉากกั้นดอกไม้บานสะพรั่งทั้งสี่ฤดู ตั่งคนงามที่ปูเบาะรองนั่ง… นี่มันห้องของสตรีชัดๆ!

“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ซูเย่าพยายามลุกขึ้น ความเจ็บปวดบริเวณท้ายทอยทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้

มองดูซูเย่าที่ลุกขึ้นอย่างโซเซ ลั่วเซิงมิได้ขัดขวาง เพียงแค่พิงตั่งคนงามอย่างสบายแล้วถือจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง

เมื่อซูเย่ายืนทรงตัวได้แล้วก็ปัดเสื้อผ้าเบาๆ กลับมามีสีหน้าสงบอีกครั้ง

“คุณหนูลั่วหมายความว่าอย่างไร”

ลั่วเซิงวางจอกชาลง พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เมื่อวานข้าไปเป็นแขกจวนองค์หญิง อาลักษณ์ซูอยู่ที่นั่นด้วยแท้ๆ เหตุใดจึงไม่ออกมาเจอ คนมีมารยาทไม่ทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรเราก็นับเป็นสหายเก่ากันแล้ว ความสัมพันธ์ของเราน่าจะใกล้ชิดกว่าองค์หญิงฉางเล่อหรือไม่”

ซูเย่าได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาพลันวูบไหว

คุณหนูลั่วลักพาตัวเขามาที่นี่ คงไม่ใช่เพราะเห็นเขาและองค์หญิงฉางเล่อใกล้ชิดกันจึงอิจฉาหรอกนะ

เขารู้สึกได้ว่าคุณหนูลั่วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนตั้งแต่ตอนที่อยู่จินซาแล้ว เมื่อมาเมืองหลวงก็ยิ่งมั่นใจว่าคุณหนูลั่วไม่ได้ชอบเขาแล้ว

แต่ว่าต่างเวลาต่างสถานการณ์ สตรีมักไม่แน่นอน

ซูเย่าไม่กลัวว่าลั่วเซิงจะมีใจให้เขา กลัวแค่ไม่มี

ในสถานการณ์ที่เป็นเนื้อบนเขียงเช่นนี้ การรับมือกับสตรีที่มีใจให้เขาย่อมง่ายกว่าสตรีที่ไม่มีความรู้สึกต่อเขา

ซูเย่าโค้งริมฝีปาก ยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหนูลั่วเข้าใจผิดแล้ว ข้าได้รับเชิญไปจวนองค์หญิง มิได้เจอท่าน”

ในเมื่อคุณหนูลั่วบอกว่าเขาอยู่ในจวนองค์หญิง หากปฏิเสธก็คงเป็นวิธีการที่โง่เขลา

ลั่วเซิงไม่อยากเสียเวลาไว้หน้าชายตรงหน้า นางเปิดโปงว่า “อาลักษณ์ซูอย่าพูดซี้ซั้ว ตอนที่ข้าไปจวนองค์หญิงก็ส่งคนไปเฝ้าสังเกตแล้ว ไม่เห็นท่านเดินเข้าไป เห็นเพียงท่านเดินออกมา”

ซูเย่า “…”

นี่มันน่าอับอายเกินไปแล้ว

หลังจากสงบอารมณ์ลงสักพักหนึ่ง ซูเย่าก็ถามว่า “เช่นนั้นคุณหนูลั่วพาข้ามาที่นี่เพื่ออะไร”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “มีคำถามสองสามคำถามอยากถามอาลักษณ์ซูน่ะ”

“คุณหนูลั่วพูดมาเถอะ” จู่ๆ ซูเย่าก็พบว่าคุณหนูลั่วที่ทำทุกสิ่งเหนือความคาดหมายในตอนนี้รับมือยากกว่าคุณหนูลั่วที่เคยมาตอแยเขาไม่เลิกมากนัก

“คำถามแรก ตอนที่อยู่จินซาเซิ่งจยาหลานทำร้ายข้า คงเกี่ยวข้องกับอาลักษณ์ซูใช่หรือไม่”

ซูเย่าแสดงความละอายใจเล็กน้อย “ข้าได้ยินเรื่องของคุณหนูรองเซิ่งมาบ้าง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูรองเซิ่งจะทำเรื่องเช่นนี้เพราะข้า จะว่าไปแล้ว ข้าติดค้างคำขอโทษคุณหนูลั่วมาตลอด…”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ขัดจังหวะซูเย่าที่กำลังพูด

ซูเย่าตระหนกในทันใด คุณหนูลั่วจะเอ่ยวาจาน่าตื่นตกใจอีกแล้ว

เห็นได้ชัดว่าคุณหนูลั่วไม่ทำให้ชายที่ดื่มด่ำกับความชื่นชอบของหญิงสาวต้องผิดหวัง “ข้าเดาว่าไม่ใช่เพราะคุณหนูรองเซิ่งทำแบบนี้เพราะท่าน แต่เป็นเพราะท่านทำให้คุณหนูรองเซิ่งต้องทำเรื่องแบบนี้ต่างหาก”

ซูเย่าหน้าเปลี่ยนสี “คุณหนูลั่วอย่าล้อเล่น”

“ล้อเล่นหรือ” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว มุมปากเผยความเย้ยหยัน “อาลักษณ์ซูคิดว่าข้าว่างขนาดที่จับท่านมาที่นี่เพื่อพูดล้อเล่นหรือ”

ซูเย่าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เอาเป็นว่าคุณหนูลั่วเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีเหตุผลใดๆ ให้ต้องทำเช่นนี้”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ก็เพราะไม่มีเหตุผลจึงทำให้คิดไม่ออก หากท่านมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ข้าคงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วสิ”

ซูเย่าจุกในอก มิรู้จะโต้ตอบอย่างไร

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับสตรีที่เต็มไปด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องแต่ก็มีเหตุมีผลคนนี้

ลั่วเซิงเผยสีหน้าหมดความอดทนเล็กน้อย “ก็ได้ อาลักษณ์ซูไม่อยากยอมรับก็ได้ คำถามนี้ไม่ได้สลักสำคัญ เช่นนั้นก็ถามคำถามที่สองต่อเถอะ”

ซูเย่าตกใจมองนางนิ่ง

ดวงตาลั่วเซิงสงบนิ่งดั่งสายน้ำ ทำให้เขามิอาจคาดเดาความคิดของนางได้ “เหตุใดอาลักษณ์ซูจึงรู้วันเกิดของข้า”

ทันทีที่คำถามนี้ดังขึ้น แม้ซูเย่าจะเป็นคนที่มีจิตใจสงบนิ่งก็อดไม่ได้ที่สีหน้าจะเต็มไปด้วยความตกตะลึง ความหนาวยะเยือกผุดขึ้นในใจและไต่ขึ้นไปบนกระดูกสันหลังของเขาทันที

นี่ต้องไม่ใช่สตรีที่เคยตามตอแยเขาไม่เลิกคนนั้นแน่นอน!

ลั่วเซิงถามคำถามที่สามต่อ “อาลักษณ์ซูมุ่งเป้ามาที่ข้าและต้องการให้ข้าตาย เป็นเพราะเหตุใดหรือ”

ซูเย่ารู้สึกปั่นป่วนในใจ แต่ก็พยายามรักษาความสงบบนใบหน้าไว้ “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่คุณหนูลั่วพูดมาเลย ข้าและคุณหนูลั่วไม่เคยมีความแค้นต่อกัน เหตุใดข้าต้องมีปัญหากับคุณหนูลั่วด้วยเล่า”

“ก็ข้าถามท่านอยู่นี่อย่างไรเล่า”

ซูเย่าสีหน้าสงบลง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ข้าไม่เคยคิดทำร้ายคุณหนูลั่ว และไม่เคยทำร้ายคุณหนูลั่ว”

ลั่วเซิงยิ้มหยัน “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ”

ซูเย่ามองนางอย่างลึกซึ้ง ถามเสียงอ่อนโยนว่า “คุณหนูลั่วต้องการชีวิตข้าเพียงเพราะความสงสัยหรือ”

ลั่วเซิงถอนหายใจ

จำเป็นต้องยอมรับว่าซูเย่ารู้ใจคนมาก หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด นางไม่เอาชีวิตเขาจริงๆ

ไม่ใช่แค่ซูเย่า แต่กับทุกคนก็เป็นเช่นนี้

ถึงอย่างไรขอบเขตบางอย่างก็ยังต้องรักษาไว้ การแก้แค้นไม่ใช่เหตุผลในการปล่อยให้ตนเองตกสู่ขุมนรก หากสงสัยใครแล้วสามารถลงมือฆ่าได้ นางจะรับรองได้อย่างไรว่าจะไม่ผิดพลาด

บนโลกใบนี้ มีเพียงการเกิดและการตายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

ลั่วเซิงยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ กริชเย็นยะเยือกแตะลงบนคอของซูเย่า “อาลักษณ์ซูคิดว่าข้าไม่กล้าเอาชีวิตท่านหรือ”

ซูเย่ายิ้มอย่างไม่แยแส เขาหลับตาลง “คุณหนูลั่วเชิญลงมือ”

ลั่วเซิงจับกริชแน่น มองเขานิ่ง “ท่านไม่กลัวตายรึ”

ซูเย่าลืมตา สายตาที่มองมาลุ่มลึกเป็นพิเศษ “กลัวและไม่กลัว หากคุณหนูลั่วให้ข้ายอมรับเรื่องที่ไม่เป็นจริงด้วยการข่มขู่เอาชีวิตข้า เช่นนั้นข้ายอมตาย”

ลั่วเซิงเก็บกริช “กล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาคุยกับท่านแล้ว”

ซูเย่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจ เขาข่มความตื่นเต้นดีใจไว้ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปได้หรือยัง”

ลั่วเซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านคิดมากเกินไปหน่อยนะ”

ซูเย่าโมโหพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามว่า “หรือว่าคุณหนูลั่วจะให้ข้าอยู่ที่นี่”

“ไม่ได้หรือ” ลั่วเซิงย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ซูเย่ายิ้ม “คุณหนูลั่วคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นขุนนางของราชสำนัก เมื่อครอบครัวและสหายร่วมงานรู้ว่าข้าหายตัวไปต้องตามหาแน่นอน หากพบข้าที่นี่ เกรงว่าจะทำให้บิดาท่านลำบากไปด้วย”

ลั่วเซิงยิ้มอย่างสดใส “อาลักษณ์ซูมีเรื่องให้กังวลมากมายจริงๆ”

ซูเย่า “…”

ลั่วเซิงไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับคนผู้นี้อีก นางตะโกนขึ้น “หงโต้ว”

หงโต้วผลักประตูเข้ามา “คุณหนูโปรดสั่ง”

“พาไปขังไว้ อย่าให้หนีไปได้”

หงโต้วตบหน้าอกทีหนึ่ง “คุณหนูท่านวางใจ รับรองว่ามีปีกก็หนีไม่ได้แน่นอน”

สาวใช้ตัวน้อยใช้สันมือฟาดลงไปอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็แบกซูเย่าที่ถูกตีสลบออกไป

ในห้องเงียบลง ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าต่างพลางเปิดหน้าต่างออก

ลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา พัดเอาความอุดอู้ในห้องออกไป

ลั่วเซิงมองไปยังดวงจันทร์ที่สดใส โค้งริมฝีปากยิ้ม

ไม่รู้ว่าเมื่อคนของจักรพรรดิหย่งอันมาล้อมจวนลั่ว สุดท้ายเจอจอหงวนซูเย่าในจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้วจะเป็นอย่างไร

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท