ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 510 สุราหนึ่งจอก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 510 สุราหนึ่งจอก

วันต่อมา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง จอหงวนซูเย่าไม่ได้กลับจวนทั้งคืน

บ้างบอกว่าหลังจากอาลักษณ์ซูดื่มสุราแล้วพบเจอคนร้าย บ้างก็บอกว่าเขานั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งแล่นไปมาบนแม่น้ำจินสุ่ย

“เจ้าซูเย่าคนนี้ ต้องไปเตร็ดเตร่ที่แม่น้ำจินสุ่ยแน่ๆ คนเรียบร้อยประเภทนี้สักวันหนึ่งต้องออกลาย” แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผยต่อหน้าลั่วเซิง “หากไม่ใช่เพราะพ่อไม่อยากสร้างปัญหาในเวลานี้ พ่อคงฆ่าเจ้าสวะนี่ตายไปนานแล้ว”

ลั่วเซิงพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ซูเย่าอยู่ในเรือนของลูก”

แม่ทัพใหญ่ลั่ว “…”

ผ่านไปสักพัก แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เซิงเอ๋อร์ เหตุใดซูเย่าจึงอยู่กับเจ้าเล่า”

“ลูกคิดแล้วโมโหจึงลักพาตัวเขามาถามเหตุผลที่ทำร้ายลูกเจ้าค่ะ”

“เขาบอกแล้วหรือ”

ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “เขาไม่ยอมรับ ลูกเลยสั่งคนให้ขังเขาไว้แล้ว เอาไว้เป็นของขวัญให้กองกำลังของจักรพรรดิหย่งอัน”

“เจ้านี่นะ…” แม่ทัพใหญ่ลั่วสะท้อนใจกับความว่องไวของบุตรสาว จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

“ลูกบุ่มบ่ามไปหรือไม่เจ้าคะ” ลั่วเซิงถาม

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้ม “ไม่บุ่มบ่าม พ่อคิดมากไปเอง”

“ไม่ได้สร้างปัญหาให้ท่านพ่อก็ดีแล้ว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เอาอย่างนี้ พ่อจะส่งคนไปพาซูเย่าไปขังไว้ที่เรือนหน้า อย่าไว้ในเรือนเจ้าเลย”

ลั่วเซิงไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้ นางพยักหน้าคล้อยตาม

“กลับไปเถอะ เก็บแรงไว้ดีๆ”

“ลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงกลับไปที่เรือนเสียนอวิ๋นย่วน พบว่าสามพี่น้องลั่วอิงกำลังรอนางอยู่ในลาน

ลั่วเซิงทักทายและเชื้อเชิญทั้งสามมาดื่มชา

ลั่วเย่ว์ถือจอกชาแล้วเอ่ยปากขึ้นด้วยความไม่สบายใจ “พี่สาม เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนพี่รู้แล้วใช่หรือไม่”

พวกนางรู้แผนการเหล่านี้จากปากของอี๋เหนียงใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ทนแล้วทนอีก สุดท้ายทนไม่ไหวจึงมาหาลั่วเซิง

“ข้ารู้แล้ว” ลั่วเซิงจิบชาเงียบๆ คำหนึ่ง

ความสงบเช่นนี้ทำให้ลั่วเย่ว์ประหลาดใจ “พี่สาม พี่ไม่กลัวหรือ”

มองดูเด็กสาวที่หวาดวิตก ลั่วเซิงก็ยิ้ม “กลัวสิ แต่ความกลัวแก้ไขปัญหาไม่ได้ เราควรเชื่อท่านพ่อ”

ลั่วเย่ว์พยักหน้าอย่างแรง “ใช่ เชื่อท่านพ่อ เรื่องแบบนี้เชื่อใจท่านพ่อได้”

เมื่อเห็นพี่หญิงทั้งสามมองมาที่นางพร้อมกัน ลั่วเย่ว์ก็ชะงักไปเล็กน้อย

แย่แล้ว เผลอพลั้งปากไป

ลั่วเซิงน้ำเสียงเปลี่ยน “เท่าที่ข้าดูแล้ว ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดอย่างน้อยเราทั้งครอบครัวก็ได้อยู่ด้วยกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องกลัว”

“น้องสามพูดถูก เราทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันสำคัญที่สุด” ลั่วอิงพยักหน้าเห็นด้วย

ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง สารภาพต่อทั้งสามว่า “จักรพรรดิหย่งอันทรงเลือกสตรีที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินเข้าวังด้วยเหตุผลคัดเลือกนางสนม อันที่จริงแล้วพระองค์ทรงต้องการสังหารพวกนางเพราะจุดประสงค์ลึกลับบางอย่าง”

ลั่วเย่ว์ตกใจอุทาน “ไม่ใช่เพราะคัดเลือกนางสนมหรอกหรือ”

“ไม่ใช่”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย” สามพี่น้องสะเทือนใจกับข่าวนี้ จู่ๆ ก็เหม่อลอยไป

อี๋เหนียงใหญ่เพียงแค่บอกว่าครอบครัวกระทำความผิด อาจจะต้องหนีออกจากเมืองหลวง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้

ลั่วเซิงมองสามพี่น้องกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกท่านก็รู้ว่าข้าเกิดวันนั้น จะว่าไปแล้วเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้พวกท่านลำบากไปด้วย”

ลั่วอิงสีหน้าจริงจัง “น้องสามคิดเช่นนี้ไม่ถูก ผู้ที่ผิดไม่ควรเป็นเหยื่อ แต่เป็นผู้กระทำผิดต่างหาก”

ลั่วเย่ว์พยักหน้าไม่หยุด “ใช่แล้ว ผู้ที่ผิดคือจักรพรรดิสุนัขโหดเหี้ยมนั่น ฆ่าผู้บริสุทธิ์แบบนี้ได้ที่ไหนกัน!”

ลั่วฉิงก็พูดว่า “พี่ใหญ่และน้องสี่พูดถูก วันนี้ฝ่าบาททรงสังหารสตรีที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินได้ พรุ่งนี้ก็อาจถึงตาพวกเรา น้องสามไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”

เมื่อได้ยินทั้งสามพูดเช่นนี้ ลั่วเซิงก็รู้สึกชื่นใจอย่างยิ่ง

นางเลือกที่จะพูดความจริงเป็นเพราะระหว่างทางหนีตายอาจจะเจอความตายได้ทุกเมื่อ พวกนางมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ส่วนการพูดความจริงแล้วพวกนางจะโมโหหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางจะควบคุมได้

ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมทำให้นางดีใจ

ขณะที่พี่น้องทั้งสี่พูดคุยกันเรื่องพายุที่กำลังจะมาเยือน ซูเย่าก็ถูกย้ายไปอีกที่หนึ่งเงียบๆ แล้ว

กำแพงสีขาว การตกแต่งที่เรียบง่ายทว่ายังหรูหรา ที่นี่น่าจะเป็นห้องรับแขกห้องหนึ่ง

ซูเย่ามองไปรอบทิศด้วยความไม่สบายใจ

เขามั่นใจได้ว่าผู้ที่พาเขามาที่นี่คือคนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว การทำงานขององครักษ์จิ่นหลิน คงไม่ได้จะฆ่าเขาทำลายร่องรอยหรอกนะ

ตายหรือ เขาย่อมไม่ยอมตาย

เขายังมีอนาคตยาวไกล ยังไม่ได้เห็นคนที่เขาเกลียดตกที่นั่งลำบากกับตาตนเองแล้วเขาจะตายได้อย่างไร

ครานี้เอง เสียงประตูเปิดดังเอี๊ยด เด็กรับใช้ที่แข็งแกร่งสองคนเดินเข้ามา

คนหนึ่งมือว่างเปล่า อีกคนยกถาดเข้ามา บนถาดมีจอกสุราลายครามสีขาวจอกหนึ่งวางอยู่ ส่องประกายแสงเยือกเย็น

ซูเย่าข่มความไม่สบายใจไว้ ถามขึ้นอย่างสงบว่า “พวกเจ้าจะทำอะไร”

เด็กรับใช้ยกถาดเดินมาข้างหน้า ยิ้มพูดว่า “ใต้เท้าซูเป็นแขก แม่ทัพใหญ่ลั่วเลยเชิญท่านดื่มสุราขอรับ”

ซูเย่าหน้านิ่ง “แม่ทัพใหญ่ทำร้ายข้าหลวงราชสำนักเช่นนี้หรือ”

“ใต้เท้าซูคิดมากไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วของเราแค่เชิญท่านดื่มสุรา จะทำร้ายท่านได้อย่างไร”

“ข้าไม่ดื่ม ข้าต้องการพบแม่ทัพใหญ่”

เด็กรับใช้ยิ้ม “หากใต้เท้าซูไม่ดื่มก็ไม่ไว้หน้าแม่ทัพใหญ่ของเราแล้ว”

เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งเผยสีหน้าหมดความอดทน “พอแล้ว อย่าพูดไร้สาระกับเขาอีกเลย เชิญเขาดื่มสุราแล้วเรายังต้องกลับไปรายงานแม่ทัพใหญ่”

เมื่อเห็นเด็กรับใช้สองคนจะใช้กำลัง ซูเย่าก็พูดเสียงแข็งว่า “ข้าต้องการพบแม่ทัพใหญ่ ข้ามีความลับสวรรค์จะบอกเขา!”

เด็กรับใช้สองคนเข้ามาประกบ คนหนึ่งมัดมือมัดขาเขาไว้ อีกคนยื่นจอกสุราไปที่ปากของเขา

เอาชนะสิบคนด้วยกำลังเดียว ครานี้ซูเย่ารู้ซึ้งถึงคำนี้แล้ว

เด็กรับใช้สองคนที่คิดเพียงทำตามคำสั่งไม่ฟังที่เขาพูดแม้แต่น้อย

ปลายลิ้นสัมผัสถึงความเผ็ดร้อน ซูเย่าจำเป็นต้องเปิดไพ่ใบสุดท้ายที่เตรียมไว้เมื่อเจอแม่ทัพใหญ่ลั่วก่อนล่วงหน้า “คุณหนูลั่วเปลี่ยนเป็นอีกคนไปแล้ว!”

ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น เด็กรับใช้ที่กรอกสุราใส่เขาก็อดชะงักไปไม่ได้

ซูเย่าฉวยโอกาสรีบพูดพลางไอว่า “ข้าจะพบแม่ทัพใหญ่ลั่ว ข้ามีความลับจะบอกเขา!”

“อย่าพูดไร้สาระเลย!” เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งแย่งจอกสุราจากมือของสหายมา จับท้ายทอยของซูเย่าไว้แล้วกรอกลงไป

เมื่อกรอกสุราหมดแล้ว เด็กรับใช้ก็ผลักซูเย่าลงพื้น ดึงสหายไปอย่างหมดความอดทน “ไปกันเถอะ”

ประตูเปิดและปิดลงอีกครั้ง ปิดฉากอันระทึกใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไว้ข้างใน

แสงอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิสาดไปทั่วลาน สายลมอ่อนพัดโชย

เด็กรับใช้พูดขึ้นอย่างลังเล “คำพูดเมื่อครู่นี้ของบัณฑิตซูแปลกจริงๆ คุณหนูลั่วเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้วหมายความว่าอย่างไรกัน”

เด็กรับใช้อีกคนหนึ่งยกมือขึ้นตบเขาเบาๆ “เจ้าโง่หรืออย่างไร คนๆ นั้นพูดซี้ซั้วเพื่อเอาชีวิตรอด หากพาเขาไปก่อปัญหาต่อหน้าแม่ทัพใหญ่จริงๆ แม่ทัพใหญ่คงฆ่าพวกเราแน่”

จู่ๆ เด็กรับใช้ก็ตั้งสติได้ “ใช่ๆ เหตุใดข้าจึงโง่เช่นนี้นะ ไปเถอะ ไปรายงานท่านแม่ทัพใหญ่กัน”

ซูเย่าพยายามบีบคอตนเองในห้อง ความแสบร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็หมดสติไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อตื่นมาอีกที ในห้องก็มืดลงแล้ว ทว่าเครื่องเรือนยังคงเดิม

ซูเย่ากะพริบตาสองสามที รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง

เขายังมีชีวิตอยู่!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท