บทที่ 1494 นายน้อยเสิ่นที่ดื้อดึง
อาจารย์เลี่ยวมองดูชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งบางครั้งก็ขมวดคิ้วบางครั้งก็หัวเราะ และหัวใจของเขาก็เหมือนกับกระจกที่ส่องประกาย
ทว่า…
“ท่านลุง แม่นางผู้นั้นเป็นลูกสาวตระกูลใด” ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย*[1]
ทันใดนั้น เสิ่นเหวินเจวี้ยนก็รู้สึกว่านี่อาจเป็นพรจากสวรรค์ แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนที่เขาตามหากลับแค่คลาดกันอยู่หลายครั้ง
“นายน้อย ข้าไม่ได้ถามเอาไว้” อาจารย์เลี่ยวพูดอย่างเขินอาย
“ว่าอย่างไรนะ?” เสิ่นเหวินเจวี้ยนไม่เข้าใจ
“แม่นางบอกว่าพวกนางไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่มาที่เมืองหลวงเพื่อเที่ยวเล่นเป็นเวลาสั้น ๆ และอีกไม่นานพวกนางก็จะกลับบ้านแล้ว” อาจารย์เลี่ยวเอ่ยย้ำคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน “นางยังบอกด้วยว่าพวกนางจะไม่ลืมบุญคุณของนายน้อย”
“ไม่รู้สักนิดเลยหรือว่าแม่นางคนนั้นเป็นใคร” เสิ่นเหวินเจวี้ยนถามอย่างร้อนรน
“นายน้อย ข้าส่งฉางกุ้ยตามนางไปแล้ว แต่หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งทางก็ถูกสะบัดหลุด แม่นางคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน มันน่าแปลกมาก ข้าไม่เคยเห็นนางในเมืองหลวงมาก่อน ข้าจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่นางมาจากตระกูลไหน”
สิ่งที่อาจารย์เลี่ยวพูดนั้นถูกต้อง มันแปลกมากเพราะเขาเองก็ไม่เคยเจอนางมาก่อน
ภาพที่เห็นเมื่อวันวานยังตราตรึงอยู่ในหัวใจอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ไม่มีทางที่จะค้นพบมันได้
เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้สึกท้อแท้ในทันทีและนั่งลงอย่างอ่อนแรงบนเก้าอี้ ความรู้สึกสูญเสียและความผิดหวังในดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีน้ำเย็นราดบนใบหน้าของอาจารย์เลี่ยว
เมื่อเห็นนายน้อยโศกเศร้าเช่นนี้ อาจารย์เลี่ยวก็รู้สึกไม่สบายใจ “นายน้อย”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนไม่มีอารมณ์จะพูดสิ่งใดอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่หลุบตาลง
เมื่อเห็นเช่นนี้ อาจารย์เลี่ยวก็รู้ว่าเขาไม่ควรพูดอะไรอีก ดังนั้นจึงเม้มริมฝีปาก แต่ยังไม่ได้พูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด ชำเลืองมองนายน้อยผู้โดดเดี่ยวและทำได้เพียงหันหลังกลับออกไป
บรรยากาศภายในห้องเงียบลงทันใด
ช่วงเวลาแห่งความสุขในเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้กลายเป็นความเหงาและความเศร้าโศกอย่างมาก เสิ่นเหวินเจวี้ยนลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์เลี่ยว
มองไปข้างหน้าอย่างหมดหนทาง เขาคร่ำครวญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แม่นาง… เจ้าคือใครกันแน่ ไม่ว่าเมืองหลวงจะใหญ่แค่ไหน ไม่ว่าต้าชิงจะใหญ่เพียงใด ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอ
ในสายตาของเสิ่นเหวินเจวี้ยนมีประกายส่องสว่าง
ตระกูลเสิ่นมีอาชีพการงานที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียง จึงคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะตามหาใครสักคนในเมืองหลวง ถ้าเขาหาใครไม่ได้ เขาจะขอให้ใครสักคนตามหานาง
อย่างไรก็ตาม เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้สึกผิดหวังมากเมื่อเขาไม่ประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นไปได้ไหมว่า ผู้หญิงคนนั้นออกจากเมืองหลวงไปแล้ว?
ไม่เช่นนั้นทำไมถึงหาไม่เจอ?
เสิ่นเหวินเจวี้ยนไม่ได้จัดคนทั้งหมดเพื่อค้นหาในเมืองหลวง ในอาณาจักรที่ใหญ่พอ ๆ กับต้าชิง การค้นหาใครสักคนก็เหมือนกับการหาเข็มในกองหญ้า ทว่าเขาต้องการพบนางผู้นี้จริง ๆ หากไม่พบในหนึ่งปี เขาก็จะตามหาในปีที่สอง ถ้าสองปีไม่เจอก็หาปีที่สาม สี่ปี หรือสิบปี
หาจนกว่าจะเจอ…
ฉางเซิงมองนายน้อยที่กำลังตามหาใครบางคนอย่างกระวนกระวายและรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “อาจารย์เลี่ยว เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อย? ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะดีแค่ไหนก็ไม่คุ้มค่ากับการระดมพลเพื่อตามหานางเช่นนี้ ท่านว่านายน้อยเป็นอะไรไป?”
อาจารย์เลี่ยวไม่เห็นความแปลกประหลาด เขาวางปากกาในมือลง มองดูฉางเซิงที่งุนงงและถามว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับฮูหยินเป็นอย่างไร”
“ดีมาก” ฉางเซิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ในเมืองหลวงทั้งหมด นายท่านร่ำรวยยิ่งนัก และเขาก็มีภรรยาเพียงคนเดียว ทั้งสองรักใคร่และเข้าใจกันดี เป็นที่น่าอิจฉาของผู้อื่น
อาจารย์เลี่ยวพยักหน้า เขารู้เรื่องที่นายท่านพบกับฮูหยิน เขาเป็นชายชราจากตระกูลเสิ่น เขารู้ดี
แต่ฉางเซิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่รู้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องรอนายน้อยอีกคน” คำพูดที่อธิบายไม่ได้ของอาจารย์เลี่ยวทำให้ฉางเซิงไม่เข้าใจ
อาจารย์เลี่ยวมองไปที่ฉางเซิงผู้โง่เขลา จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งพลางยิ้มและไม่พูดอะไร
เมื่อฉางเซิงเห็นว่าอาจารย์เลี่ยวกำลังคำนวณบัญชี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารบกวน เขายืนห่าง ๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์เลี่ยวหมายถึงอะไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากเขียนไปสักพัก อาจารย์เลี่ยวก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ
พูดตามเหตุผล มันง่ายมากที่ตระกูลเสิ่นจะตามหาใครสักคน
แต่ทำไมการตามหาผู้หญิงคนนั้นจึงเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร
ตามหามาวันแล้ววันเล่า แต่ไม่พบเบาะแสอะไรเลย ผู้หญิงคนนั้นราวกับว่านางหายไปจากโลกแล้ว นี่เป็นไปได้อย่างไร?
สิ่งที่ตระกูลเสิ่นไม่รู้ก็คือ การหาใครสักคนนั้นง่ายมากสำหรับพวกเขา
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาต้องการพบนั้นไม่ง่ายเลย
เพราะการปกป้องของฉินเย่จือ ใครจะสามารถสืบหาได้?
ความจริงที่ว่าตระกูลเสิ่นส่งคนไปตามหาน้องสาวของตระกูลกู้นั้นเข้าหูของฉินเย่จือ แต่เขายิ้มเบา ๆ “ให้พวกเขาหาไปเถอะ”
ดวงตาเรียวยาวแสดงความเย้ยหยันเล็กน้อย และด้วยการลากพู่กันเบา ๆ สัญลักษณ์กากบาทก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
เขาโยนสมุดบันทึกทิ้งไปข้าง ๆ ด้วยสายตาเย้ยหยันและเหยียดหยาม
หากต้องการตามหาคนของเขา มาดูกันว่าตระกูลเสิ่นจะสืบหาไปได้นานแค่ไหน
เดิมทีฉินเย่จือคิดว่าเสิ่นเหวินเจวี้ยนกำลังตามหาใครบางคนด้วยความสนใจ แต่ไม่คาดคิดว่าเวลาจะผ่านไปเป็นเดือนก็ยังตามหาอยู่
ในท้ายที่สุด หลังจากที่เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือกู้เสี่ยวอี้ เขาก็เลิกค้นหา แต่มันทำให้ฉินเย่จือชื่นชมในความอุตสาหะของเขา
แต่การยืนหยัดเช่นนี้ทำให้ฉินเย่จือมีความประทับใจดีครึ่งหนึ่งและไม่ดีครึ่งหนึ่งต่อชายผู้นี้ การกระทำของเขาในอนาคต ทุกคนมีความประทับใจที่หลากหลายแน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอนาคต
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่ามีคนขุดลึกลงไปเพื่อตามหานางและกู้เสี่ยวอี้
ในสวนชิง เพียงแค่มองดอกไม้ มองผืนน้ำ มองพระอาทิตย์ขึ้นและตก วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อีกไม่กี่วันก็จะถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
กู้เสี่ยวหวานตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและรู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยจากลมที่พัดเข้ามาพร้อมกับอาจั่ว
“แม่นาง วันนี้อากาศเปลี่ยนแล้ว” เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานม้วนตัวอยู่ในผ้าห่ม อาจั่วรีบวางของในมือลงและปิดม่านข้างนอก
“วันนี้ได้เวลาเปลี่ยนเป็นผ้านวมผืนหนาแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและปล่อยให้อาจั่วดูแลเรื่องการแต่งตัว การซักผ้า และอาหารเช้า
ขณะที่รับประทานอาหาร ทันใดนั้น โค่วตันก็เข้ามาแจ้งว่า “คุณหนู ท่านจวิ้นจู่ฮู้กั๋วมาแล้ว”
*[1] พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่าย ๆ