ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 349 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 349 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-3

ค่ำคืนทางเหนือมักจะมาเยือนกะทันหันมากเสมอ

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสมือนกับมีม่านบางชั้นหนึ่งปกคลุมลงมาอย่างแผ่วเบา

ปกคลุมทั่วกายของจิ้งเหยาและพรรคพวก

พวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากภูเขาลำเนาไพร

แม้ว่าจะปลอมตัวแล้ว แต่ขบวนม้ายาวเหยียดและขนข้าวของมากมายเช่นนี้ ก็ยังสะดุดตาผู้คนยิ่งนัก

เกาเหรินตระเตรียมสตรีในตระกูลมากกว่าหนึ่งคนเพื่อจิ้งเหยา

ยังมีเครื่องแต่งกายท้องถิ่นของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องอีกด้วย

ชาวทุ่งหญ้าแข็งแรงกำยำแต่กำเนิด

หากไปซื้อตามร้านขายเสื้อผ้าอาภรณ์ทั่วไปคาดว่าคงหาแบบที่เหมาะสมได้ยาก

เกาเหรินจึงเชิญช่างตัดเสื้อมาตัดเย็บเสื้อผ้าเหล่านี้เป็นพิเศษ

“ฟ้ามืดแล้ว!”

เกาเหรินกล่าว

“อืม…”

จิ้งเหยาตอบรับ ทว่ายังคงขี่ม้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ

“มีเมืองอยู่ข้างหน้าประมาณห้าลี้!”

เกาเหรินกล่าวต่อทันที

“อืม…”

จิ้งเหยาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

แต่สายตามุ่งตรงมองไปเบื้องหน้า

ภูเขาเขียวดุจมหาสมุทร

มองไกลๆ อาทิตย์อัสดงดั่งโลหิต

“หากพลาดเมืองนี้ไป คืนนี้ก็ต้องนอนอยู่ในทุ่งกว้างแล้วละ!”

เกาเหรินเอ่ยประโยคแล้วประโยคเล่า บังคับให้จิ้งเหยาพูดให้จงได้

ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนได้ทำข้อตกลงร่วมกัน

แม้ว่าเกาเหรินจะร่วมทางมาด้วยตลอดทาง แต่ระหว่างทางนี้ต้องฟังแผนการจากจิ้งเหยา

อย่างน้อยก็ต้องเป็นเช่นนี้ก่อนจะถึงเหมืองแร่เหล็กนั่น

“เจ้าอยากนอนหรือ”

ในที่สุดจิ้งเหยาก็หันกลับมาและพูดเต็มประโยค

“มนุษย์ล้วนต้องนอนหลับ หรือว่าเจ้าไม่ง่วงเล่า”

เกาเหรินย้อนถาม

“ข้าไม่ง่วง…ข้าเพียงอยากรีบเดินทางจะได้ถึงเร็วๆ”

จิ้งเหยากล่าวอย่างเย็นชา

การทหารต้องว่องไว ความล่าช้าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

ความว่องไวเท่านั้นที่จะเอาชนะทุกสิ่งได้

แต่จิ้งเหยากลับมองข้ามความจริงข้อหนึ่งไป

นั่นก็คือไม่มีผู้ใดขนย้ายข้าวของในยามค่ำคืน

ผู้ที่ขนย้ายข้าวของมีเพียงสองประเภทเท่านั้น

ประเภทที่หนึ่งคือติดหนี้และหลบหนีหนี้ชั่วข้ามคืน

ประเภทที่สองคือผู้ที่สังหารคนและหลบหนีเพื่อปกป้องชีวิตชั่วข้ามคืน

แต่ผู้ที่ปกป้องชีวิตจะไม่เอาสิ่งใดไปทั้งสิ้น เพียงภาวนาขอให้หนีไปได้ยิ่งไกลยิ่งดี

พอพูดจบ เหมือนจิ้งเหยาจะพลันตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้

จากนั้นจึงส่งเสียงแผ่วเบาจากปาก

เร่งให้อาชาพันธุ์ดีใต้สะโพก ควบสี่ขาห้อตะบึง

จนในที่สุด หลังจากอาทิตย์อัสดงได้ไม่นานก็เร่งมาจนถึงเมืองที่เกาเหรินว่าไว้

แสงไฟสว่างละลานตา บนถนนพลุกพล่านไปด้วยผู้คน

สถานที่แห่งนี้เป็นเขตรัฐเยี่ยนของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ระยะห่างจากรัฐหงถูกกั้นเพียงแม่น้ำหนึ่งสาย

สถานที่ที่อากาศดียามกลางวันล้วนสามารถมองข้ามแม่น้ำเห็นกันและกันได้

เมืองแห่งนี้มีชื่อว่าเซี่ยถง

แม้จะเป็นชื่อสถานที่ แต่กลับคล้ายนามของสตรียิ่งนัก

หลังจากจิ้งเหยานำขบวนม้าเข้าตัวเมืองอย่างยิ่งใหญ่ย่อมดึงดูดผู้คนที่สัญจรผ่านให้ทยอยกันเข้ามาล้อมดู

เขาให้เกาเหรินและผู้ใต้บังคับบัญชาหาที่พักพิง ส่วนตนขอขี่ม้าไปยังริมน้ำก่อน

ที่ริมแม่น้ำนั้น เขามองไม่เห็นเรือข้ามฟากใดๆ

คงจะมีน้อยคนนักที่ข้ามแม่น้ำตรงจุดนี้

หากชาวเรือไม่ดื่มสุราในเมืองก็คงจะเข้านอนหลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

จิ้งเหยาถอนหายใจเบาๆ ทำได้เพียงหันม้ากลับเข้าเมือง

ใจเขาคิดอยากจะข้ามแม่น้ำวันนี้เลยจริงๆ

สายแร่ทั้งหมดในอาณาจักรอ๋องส่วนใหญ่อยู่ในเขตรัฐหง

รัฐเยี่ยนครอบครองเพียงช่วงหางหย่อมเดียวเท่านั้น

สิ่งเรียกว่าวารีผ่าบรรพต

บรรพตตัดวารี

ที่ที่มีน้ำ หากภูเขาไม่ลอยเหนือน้ำก็จะถูกตัดผ่านศูนย์กลาง

ในเมืองมีร้านค้าเล็กๆ ร้านหนึ่ง

หน้าร้านไม่ใหญ่นัก

ชั้นแรกเป็นร้านสุรา สองชั้นด้านบนเป็นโรงเตี๊ยม

การออกแบบเช่นนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ผู้ที่เมาสุรา สิ่งที่ต้องทำมีเพียงเดินโซเซขึ้นบันไดแล้วล้มลงเตียงหัวถึงหมอน นอนหลับสนิทตลอดคืน

แต่คนที่อยากเมาจริงๆ เกรงว่าสุดท้ายแล้วคงไม่มีแรงจะก้าวขึ้นบันไดด้วยซ้ำ…

จิ้งเหยาลงม้า มอบสายบังเหียนส่งถึงมือเสี่ยวเอ้อร์ที่คอยรับลูกค้าหน้าประตู

“นายท่านมาด้วยกันกับพวกเขาใช่หรือไม่ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์ถาม

“ที่นี่มีห้องพักกี่ห้องหรือ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

“นอกจากชั้นสองที่มีแขกไม่กี่คนแล้ว ที่เหลือล้วนว่างทั้งสิ้นขอรับ!”

เสี่ยวเอ้อร์กล่าว

“ข้าเหมาชั้นสามทั้งหมด! อย่าให้ผู้ใดขึ้นไป!”

จิ้งเหยากล่าวจบพลันล้วงเงินที่แตกกระจายโยนลงบนพื้น

“ได้ขอรับ! ท่านวางใจได้!”

เสี่ยวเอ้อร์ย่อตัวนั่งลงพูดพลางเก็บเงินขึ้นมา

เขาไม่สนใจว่าจะมอบเงินนี้ให้กับมือตนหรือจะโยนลงบนพื้น

ในสายตาของเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ เงินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก!

ไม่ต้องเอ่ยถึงโยนลงบนพื้น

แม้จะโยนลงโคลนตมหรือในบ่อส้วม เขาก็จะงมขึ้นมาอย่างไม่ลังเลใดๆ

เงินก็คือเงินวันยังค่ำ ไม่มีสิ่งใดทำให้มัวหมองได้

แต่สิ่งที่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้มีความสุขไม่ได้มีเพียงได้รับเงินรางวัลเท่านั้น

ทว่าเป็นเพราะหลังจากเขาคำนวณในใจแล้วพบว่า ผู้ร่วมทางของจิ้งเหยาพักจนเต็มชั้นสามได้พอดี

ช่วยให้ตนประหยัดเวลาพูดกับเถ้าแก่ร้านได้

เป็นเช่นนี้แล้ว เงินนี้ก็ได้มาเปล่าๆ เลยไม่ใช่หรือ

ไม่ต้องทำสิ่งใดแต่กลับได้รับเงินตอบแทน

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดต่างก็หัวเราะลั่นด้วยความดีใจทั้งสิ้น

เมื่อเดินเข้าร้าน จิ้งเหยาและผู้ร่วมทางก็นั่งไปแล้วสามโต๊ะ

ทันทีที่เถ้าแก่ร้านเห็นผู้คนมากมายเพียงนี้จึงออกมารับใช้ด้วยตนเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ทุกท่านจะทานสิ่งใดหรือ ดื่มสุราหรือไม่”

เถ้าแก่ร้านเอ่ยถาม

“จัดอาหารหลากหลายเลิศรสมา! แล้วก็สุราที่ดีที่สุดของที่นี่ด้วย!”

เกาเหรินตบโต๊ะและเอ่ย

เถ้าแก่ร้านเหลือบมองเขา ปากก็เอ่ยตอบรับ

แต่ร่างกายหาได้ขยับไม่

สายตาเถ้าแก่ร้านเฉียบแหลมยิ่งนัก

มองปราดเดียวก็ดูออกว่าในกลุ่มคนนี้เกาเหรินไม่ใช่ผู้ที่สามารถตัดสินใจได้

ต้องการให้ตนไปสั่งอาหารและสุราเหล่านี้ที่โรงด้านหลังก็ต้องให้นายท่านข้างกายตนผู้นี้พยักหน้าจึงจะทำได้

“จัดอาหารเหล่านี้มาก่อน สุราไม่ต้องมากเกินไป”

จิ้งเหยากล่าว

“ขอรับ! เชิญท่านตามสบาย จะจัดการให้ทันทีขอรับ!”

เถ้าแก่ร้านกล่าวและหมุนกายหันหลังเดินไปทางโรงด้านหลังทันที

ในยามนี้เอง เสี่ยวเอ้อร์ที่รับลูกค้าหน้าประตูผู้นั้นก็กลับเข้ามาช่วยเหลืองานในร้านแล้วเช่นกัน

ทั้งสองคนนี้ล้อมรอบจิ้งเหยาราวกับโคมม้าวิ่ง[1]ก็ไม่ปาน

จิ้งเหยารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง

เขามองผู้ร่วมทางของตนแล้วพบว่าสตรีผู้นั้นหายไป

“นางขึ้นไปห้องพักก่อนน่ะ บอกว่าจะไปจัดการข้าวของเสียหน่อย”

เกาเหรินกล่าว

เขารู้ว่าจิ้งเหยากำลังคิดสิ่งใด

ดังนั้น ตลอดทางเขาจึงมักให้คำตอบจิ้งเหยาก่อนที่อีกฝ่ายจะพูด

แม้ว่าจะช่วยจิ้งเหยาลดความกังวลใจได้มาก

แต่ความรู้สึกที่ถูกคนมองทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกเรื่องช่างทำให้น่ารำคาญใจจริงๆ

หนสองหนยังพอพูดได้ว่าทำด้วยความจริงใจหรือใจตรงกัน

แต่ทำบ่อยครั้งเข้าเป็นเพียงการอวดฉลาดเท่านั้น

เมื่อฉลาดจนถึงระดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่ทำให้คนริษยาเพียงอย่างเดียว…

แต่ทำให้คนรำคาญต่างหาก!

จิ้งเหยาในตอนนี้ไม่ว่าจะมองเกาเหรินอย่างไรก็มีแต่อึดอัดใจ

เกือบจะชักดาบใส่กันบนถนนหลายครั้งหลายครา

แต่ทุกครั้งที่เขายั้งมือไว้ไม่อยู่และจับด้ามดาบเมื่อใด เกาเหรินเพียงยิ้มร่าควบม้าจากไป

เมื่อสตรีผู้นั้นลงมาชั้นล่าง สุราก็จัดขึ้นโต๊ะพอดี

สตรีผู้นั้นนั่งลงข้างกายจิ้งเหยาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนักพร้อมกับรินสุราให้เขา

สถานะแต่เดิมของนางเป็นญาติของจิ้งเหยา

ท่าทีและการกระทำเช่นนี้ย่อมสมเหตุสมผล

“ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้า”

จิ้งเหยายกจอกสุราและกล่าวเสียงทุ้ม

“ข้ามีเพียงนามแฝง ตอนนี้ท่านอยากเรียกข้าว่าอย่างไรก็เรียกตามนั้นเถิด”

หญิงสาวกล่าว

จิ้งเหยาพยักหน้า

ทว่าเพียงสูดดมกลิ่นหอมสุราในจอก ไม่ได้ดื่มลงไป

ชาวทุ่งหญ้าไร้เนื้อไม่สุขใจ ไร้สุราไม่รื่นรมย์

ไฉนคืนนี้จิ้งเหยาไม่ดื่มสุรา ช่างดูผิดแผกไป

แม้กระทั่งตอนที่สั่งกำชับเถ้าแก่ร้านก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ให้ยกสุรามามากเกินไป

ในทางกลับกัน เกาเหรินกลับกระดกขวดสุราดื่มโดยตรง

ปากก็พร่ำพูดว่าพึงพอใจ

จิ้งเหยาปรายตามองอย่างไม่แยแส

ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดให้มากความ

เพียงกล่าวทักทายเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างง่ายๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากดื่มสุรา

แต่เขาไม่กล้าดื่ม

ไม่กล้าดื่ม โดยเฉพาะต่อหน้าเกาเหริน

หากสมองของตนทำงานช้าลงไปเพียงนิด

เขากังวลว่าจะตกอยู่ในแผนการของเกาเหริน

ความวิตกกังวลนี้ติดค้างอยู่ในใจเขามาตั้งแต่ออกเดินทางจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หายไป

ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายในสิ่งที่ทำ

เกาเหรินมีจุดมุ่งหมายของตนเอง

เถ้าแก่ร้านและเสี่ยวเอ้อร์กระตือรือร้นอย่างยิ่งยวดเพื่อหาเงิน นี่ก็เป็นจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่ง

แต่เกาเหรินพูดคุยกับจิ้งเหยาอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ มองไม่เห็นประโยชน์ใดๆ แม้แต่น้อย

จิ้งเหยาครุ่นคิดปัญหานี้ตั้งแต่พบกับเกาเหรินในกระท่อมแล้ว

ทว่าไม่ได้รับคำตอบใดๆ

เขาอยากจะเอ่ยปากถามไปตรงๆ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกไป

สำหรับคนเช่นเกาเหริน หากเขาอยากพูดก็จะบอกเจ้าอย่างละเอียดยิบทุกสิ่ง

หากไม่อยากพูด เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ยินแม้แต่คำเดียว

ยิ่งกว่านั้นจิ้งเหยาก็ไม่รู้สึกว่าตนมีความสามารถพอจะไปควบคุมเกาเหรินได้

“นายท่านเดินทางมาจากแดนไกลหรือ”

เถ้าแก่ร้านยกปลามาวางไว้ตรงหน้าจิ้งเหยาด้วยตนเองแล้วเอ่ยปากถาม

ปลา ปลาในแม่น้ำนอกเมืองเซี่ยถง

วิธีการทำมีเพียงการตุ๋นน้ำแดงทั่วไป

แต่กลับไม่มีน้ำมัน

ฉะนั้นสภาพที่จัดบนโต๊ะจึงดูไม่สวยงามอย่างยิ่ง

จิ้งเหยาไม่กินปลา

แต่คีบผักสีเขียวขึ้นมาแทน

“เหตุใดอาหารจานนี้จึงไม่มีน้ำมันเลยเล่า”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

เขาเคี้ยวผักสีเขียวในปากรู้สึกว่ารสชาติจืดชืดยิ่งนัก

ไม่เพียงไร้น้ำมัน แม้แต่เกลือก็ใส่น้อยยิ่งนัก

“ฉะนั้นจึงได้กล่าวว่านายท่านมาจากแดนไกลอย่างไรเล่า…”

เถ้าแก่ร้านกล่าวพลางถอนหายใจ

“น้ำมันและเกลือต่างกับระยะทางใกล้ไกลอย่างไรหรือ”

จิ้งเหยาถาม

“ตำแหน่งเมืองเซี่ยถงนี้เป็นทางแยกระหว่างสองรัฐ เดิมทีทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม ผู้คนและพ่อค้าสัญจรหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

ทว่าย้ายเก้าอี้จากด้านข้างมาแล้วนั่งลง ดูท่าทางเป็นคนช่างพูดเสียด้วย…

ทันทีที่เปิดปากพูดก็จะพล่ามไม่หยุดจนกว่าจะพูดจบ

แม้จิ้งเหยาจะไม่ชอบใจนัก แต่เพื่อแสดงถึงท่าทีสุขุมอย่างเป็นธรรมชาติจึงรินสุราให้เถ้าแก่ร้านอย่างมีมารยาท

“เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้จึงตกอับได้เล่า ข้าเห็นว่าในเมืองนี้มีโรงเตี๊ยมของท่านเพียงแห่งเดียว แม้แต่โถงใหญ่นี้ก็ยังโล่งไร้ผู้คนอีกต่างหาก…”

จิ้งเหยากล่าว

เขาไม่ได้สนใจเรื่องราวของเมืองเซี่ยถงนี้แม้แต่น้อย

อย่างไรเสียพรุ่งนี้เขาก็จะออกเดินทางแต่เช้าตรู่

แต่คำพูดของเถ้าแก่ร้านกลับกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนได้

จิ้งเหยาก็เช่นกัน

“เมืองเซี่ยถงมีภูเขาล้อมรอบ ด้านตะวันออกเป็นหน้าผา ด้านตะวันตกมีเส้นทางภูเขาสายเล็ก แต่จำต้องปีนข้ามยอดเขาหวนมอง ทุกคนต่างรู้ดีว่าเส้นทางภูเขาขรุขระ ทว่าการใช้ประโยชน์จากช่องทางแม่น้ำนั้นง่ายกว่ามาก แม่น้ำสายนี้ไหลยาวไปทางเหนือจนถึงเมืองเจิ้นเป่ยอ๋อง ส่วนทางใต้จะไปบรรจบกับแม่น้ำจักรพรรดิ”

เถ้าแก่ร้านกล่าว

“มีสายน้ำเชื่อมต่อเหนือใต้เช่นนี้ เมืองเซี่ยถงจึงนับได้ว่าเป็นดินแดนแห่งความฝัน!”

จิ้งเหยากล่าว

ทว่าคำบรรยายของเถ้าแก่ร้านกลับทำให้เขาคิดถึงบ้านเกิดขึ้นมา

…………………………………………………….

[1] โคมม้าวิ่ง เปรียบเทียบว่าวิ่งวุ่นล้อมรอบเป็นพัลวัน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท