ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 354 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-8

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 354 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-8

เมล็ดงาขาวพุ่งไปทางมือที่กำลังจะผละออกจากกะละมังเหล็กใบใหญ่ของชายชุดฟาง

“อ๊าก!”

เสียงร้องลั่นดังมาจากโรงด้านหลัง

เมล็ดงาขาวเจาะทะลุฝ่ามือของชายชุดฟางราวกับตะปูเหล็ก

แม้บาดแผลจะเล็กมาก

แต่ยังคงมีเลือดค่อยๆ ไหลออกมา

เติมเต็มช่องว่างบนฝ่ามือทุกช่องอย่างช้าๆ

จากนั้นรวมกันตรงขอบฝ่ามือและหยดลงมาในท้ายที่สุด

เมื่อยามที่เลือดหนึ่งหยดกำลังจะหล่นลงบนกะละมังใบใหญ่ที่คลุมก้อนแป้งไว้

กะละมังเหล็กขยับไปด้านข้างสองสามชุ่นอย่างไร้สุ้มเสียงอีกครั้ง

ชายชุดฟางอีกสองคนได้ยินเสียงร้องลั่นที่โรงด้านหลังจึงรีบผุดลุกขึ้นวิ่งทันที

“เกิดอะไรขึ้น”

ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางผู้นั้นเอ่ยถาม

“ห้อง…ห้องครัวนี้มีผี!”

ชายชุดฟางยื่นฝ่ามือที่เลือดไหลออกมาแล้วเอ่ยขึ้น

“ผีหรือ”

ชายชุดฟางตรงกลางถามด้วยความประหลาดใจ

ตำนานภูตผีและเทพเจ้ามีมาแต่โบราณ

มีหลายสิ่งในโลกนี้ที่ไม่อาจใช้เหตุผลอธิบายและคาดเดาได้

“เรื่องจริง! เมื่อครู่กะละมังเหล็กใบใหญ่นั่นอยู่ตรงนี้แท้ๆ…แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด! จู่ๆ ก็ย้ายที่ไปเสียได้ จากนั้นตอนที่ข้ากำลังจะเปิดกะละมังเหล็กใบใหญ่นั้นดู เหมือนมือจะถูกสิ่งใดไม่รู้เสียดแทง เจ็บแปลบจนทนไม่ไหว…พอก้มหน้ามองถึงได้พบว่ามันทะลุฝ่ามือของข้า!”

ชายชุดฟางผู้นั้นพูดพลางทำท่าทำทาง

เผยบาดแผลที่หลังมือและฝ่ามือของตนให้ทั้งสองคนนั้นดู

ทว่าชายชุดฟางตรงกลางผู้นั้นมองอย่างละเอียดยิ่งขึ้น

เขามองเห็นเม็ดสีแดงเล็กๆ อยู่บนพื้นจึงรีบหยิบมันขึ้นมาทันที

นั่นก็คือเมล็ดงาสีแดง

เมล็ดงามีทั้งสีขาวและสีดำ

ทว่าไม่เคยได้ยินว่ามีสีแดงมาก่อน!

ชายชุดฟางตรงกลางนำเมล็ดงาสีแดงเข้าปาก

จากนั้นถุยมันทิ้ง

“ทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ในโรงด้านหลัง ไม่กลัวว่าข้าจะใช้ปัสสาวะทำแป้งให้พวกเจ้าหรือ”

แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองเอ่ยพลางหันหลังให้ทั้งสามคน

ชายชุดฟางตรงกลางเงยหน้าตามเสียงจึงเห็นชามงาขาววางอยู่เบื้องหน้าแม่ครัวอาภรณ์สีเหลือง

สีหน้าชายชุดฟางตรงกลางสงบนิ่ง

แต่ในใจเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก…

ทันใดนั้นจึงยื่นมือออกมาเช่นกัน

แอบลูบคลำที่ระหว่างเอวของแม่ครัวอาภรณ์สีเหลือง

แต่แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองยังคงเยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็ง เงียบสงบดั่งภูเขา

โรยเมล็ดงาบนเซาปิ่งจนเสร็จ

นางดึงขอบเซาปิ่งขึ้น

ราวกับก้อนสำลีหลวมๆ ถูกยกขึ้นสูง

เดิมทีเป็นเซาปิ่งบางเบานุ่มฟู ทันใดนั้นกลับกลายเป็นเหมือนภูเขาไท่ซานกดทับศีรษะทั้งสามคนไว้โดยตรง

ชายชุดฟางตรงกลางผู้นั้นกางแขนเหนือศีรษะทำท่าทางต้านทานไว้

แต่เซาปิ่งผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาไปอย่างเชื่องช้าและเหวี่ยงเข้าผนังด้านในของเตาย่างที่อยู่ด้านข้าง

เตาไฟแดงฉาน

ทันทีที่เซาปิ่งสัมผัสกับผนังด้านในของเตาย่างพลันเกิดเสียงดังฉ่า

จากนั้นแนบชิดติดเข้าด้วยกัน

ส่งกลิ่นหอมไหม้เกรียมเป็นระยะ

เหงื่อเม็ดเล็กไหลจากหลังคอของชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลาง…

ครั้นได้กลิ่นหอมโชยมา หายใจลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

“ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว…ขออภัยด้วยขอรับ!”

ชายชุดฟางที่อยู่ตรงกลางกล่าว

จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าจากเอวออกมา

เช็ดเมล็ดงาและน้ำลายที่ตนเองถุยลงพื้นก่อนหน้านี้จนสะอาดหมดจด

ประสานมือและหมุนกายเตรียมออกไปจากโรงด้านหลัง

ขณะที่เขาก้าวขาข้ามประตูเพียงข้างเดียว เสียงอึกทึกโครมดังขึ้นข้างหลัง

ชายชุดฟางตรงกลางมองย้อนกลับไปและเห็นว่ากะละมังเหล็กใบใหญ่ถูกเปิดออก

เผยให้เห็นก้อนแป้งที่แต่เดิมถูกคลุมปิดไว้ด้านล่าง

“ขอบคุณ!”

ชายชุดฟางกล่าวพลางพยักหน้าเล็กน้อย

พร้อมกับพาอีกสองคนกลับไปนั่งที่โต๊ะแต่โดยดี

แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามให้มากความ

มีเพียงตัวชายชุดฟางตรงกลางเท่านั้นที่รู้

ตอนที่เซาปิ่งแผ่นนั้นลอยผ่านเหนือศีรษะเมื่อครู่ เขาประสบอยู่กับสิ่งใดกันแน่…

ยามนี้หัวใจเขายังเต้นรัวโครมครามไม่สงบลงดี

จากนั้น สั่งคนผู้หนึ่งนำสิ่งของสามชิ้นที่วางไว้หน้าประตูก่อนหน้านี้มาให้

ชายชุดฟางตรงกลางยกชุดฟางเหล็กของตนขึ้นแล้วเขย่าเบาๆ ให้เม็ดฝนระบายออกไปจนหมดก่อนจะสวมไว้บนร่างกาย

ในที่ร่มไม่มีหยาดฝน

ผนังรอบๆ นอกเหนือจากประตูและหน้าต่างก็เพียงพอให้กันสายลมได้

ไฉนจึงสวมใส่ชุดฟางเหล็กอีกเล่า

แต่ทั้งสามคนกลับตั้งใจสวมใส่ชุดฟางเหล็กอย่างเป็นระเบียบ

กระทั่งรัดโซ่ที่คล้องอยู่บนหน้าอกอย่างแน่นหนายิ่ง

“เจ้าว่าอย่างไร”

เกาเหรินกระซิบถามจิ้งเหยา

“ข้าต้องว่าสิ่งใดหรือ”

จิ้งเหยาเอ่ยถาม

เดิมทีคืนนี้เขาต้องดื่มสุราให้น้อยหน่อย

แต่ด้วยความไม่รู้ตัวนั้นกลับดื่มไปมากทีเดียว

“พวกเขาเตรียมเคลื่อนไหวแล้ว”

เกาเหรินกล่าว

“ข้าหาได้มีความสามารถเช่นนั้นเท่าเจ้า ข้าเพียงเชื่อสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเท่านั้น”

จิ้งเหยาดื่มสุราพลางเอ่ยพูด

“พวกเขาไม่เหมือนกัน คนเราล้วนเชื่อด้านที่ตนมองเห็น ใต้หล้าในปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดตรวจสอบสาเหตุและผลที่ตามมาตั้งนานแล้ว”

เกาเหรินกล่าว

“ข้าเห็นเพียงพวกเขาสวมใส่ชุดฟางเหล็กและไม่ได้เคลื่อนไหว”

จิ้งเหยากล่าว

“พวกเขาเอาแต่มองแม่นางน้อยที่นั่งตรงข้ามเจ้า คิดว่าเราเป็นพวกเดียวกับนาง”

เกาเหรินกล่าว

จิ้งเหยาวางจอกสุราแล้วหัวเราะ

แม้จะมีช่วงที่เกาเหรินบ้าคลั่งอยู่บ่อยครั้ง

แต่เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คนปกติจะไม่มีทางพูดความจริงมากมายออกมา

คนเสียสติสามารถพูดจาส่งเดชได้โดยไร้ซึ่งความกังวลใดๆ

พวกเขาพูดเพียงความรู้สึกและการตัดสินแท้จริงที่สุดของตนเท่านั้น

ไม่เคยใส่สีตีไข่

เช่นเดียวกับการร่างเส้น

มีเพียงเส้นที่ง่ายที่สุดเพื่อแสดงวัตถุ

ไม่ลงสีและไม่เลอะเปรอะเปื้อน

แม้จะฟังดูไร้ชีวิตชีวาไปหน่อย

แต่ในความจริงแล้วยังคงรักษาเนื้อสัมผัสไว้ได้อย่างล้ำลึกที่สุด

ทำให้วัตถุสง่างามยิ่งขึ้น

ทุกคำพูดของเกาเหรินล้วนเป็นเส้นร่างเช่นนี้

ยกเว้นแต่ว่าเขาไม่อยากพูด

จิ้งเหยาหัวเราะลั่นเมื่อครู่เป็นเพราะรู้สึกว่าเกาเหรินค่อนข้างน่าเอ็นดูในบางครั้ง

“เจ้าถามข้าว่าจะทำเช่นไร เช่นนั้นเจ้ามีความคิดเช่นไร”

จิ้งเหยาถาม

ประโยคนี้เป็นการเอ่ยปากพูด

ไม่ได้ใช้ปราณกระซิบอีกต่อไป

“กล่าวไว้แล้วว่าจะฟังคำเจ้า เจ้าว่าอย่างไรข้าย่อมว่าตามนั้น”

เกาเหรินเอ่ยอย่างขอไปที

จิ้งเหยาถอนหายใจ

จุดประสงค์ที่เขาถามประโยคนี้ไม่ใช่เพื่อเย้ยหยัน

ทว่าต้องการฟังความคิดเห็นจริงๆ ของเกาเหรินต่างหาก

แต่สิ่งที่เกาเหรินกล่าวมานั้นไม่ผิดจริงๆ

มีข้อตกลงระหว่างทั้งสองมานานแล้ว

ระหว่างทางจนกระทั่งถึงเหมืองแร่ล้วนทำตามจิ้งเหยา

ในเมื่อมีคนใช้สมอง มีคนรับผิดชอบ

เกาเหรินขอดื่มสุราอย่างเพลิดเพลินและตั้งใจกินอาหารเช่นนี้ดีกว่า

เหตุใดจึงต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ด้วย

มีสองเส้นทางวางอยู่ตรงหน้าจิ้งเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย

โจมตีหรือล่าถอย

โจมตีย่อมไม่กลัว

เพียงแต่จิ้งเหยาไม่อยากเคลื่อนไหว

เนื่องจากหากลงมือย่อมทำให้ผู้คนมองเห็นเบาะแสและเกิดข่าวลืออย่างไม่อาจเลี่ยง

เมืองเซี่ยถงน่าสังเวชมากพอแล้ว

จำต้องล้างสถานที่แห่งนี้ด้วยโลหิตอีกครั้งหรือ

แต่สำหรับการล่าถอยนั้น จิ้งเหยาไม่สามารถคิดแผนการที่เพียบพร้อมได้ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น

ยังคิดไม่ทันตก

ชายชุดฟางสองคนดีดตัวผึง ขนาบโจมตีจิ้งเหยาทั้งซ้ายขวา

กระบี่ยาวโผล่พ้นแขนเสื้อและกำไว้ในมือ

ทั้งสองคนร่วมมือละเอียดรอบคอบ

ก้าวหน้าถอยหลังมีชั้นเชิง

หนึ่งคนหนึ่งกระบี่แทงมาทางจิ้งเหยา เคลื่อนไหวเชื่องช้า

นี่เป็นการป้องกันไม่ให้จิ้งเหยาเปลี่ยนกระบวนท่า

บางครั้งความว่องไวสามารถตัดสินชี้ความเป็นตายได้ในชั่วพริบตา

ช้าย่อมได้เช่นกัน

ครั้นออกกระบี่แล้ว หากต้องการเปลี่ยนกระบวนท่ากลางอากาศเป็นเรื่องยากจริงๆ

แต่หากความเร็วนั้นเชื่องช้ามากพอก็จะสามารถตอบสนองและรับมือได้

ทั้งยังมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายชัดเจน

ยิ่งกว่านั้นกระบี่แรกเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น

พวกเขายังมองเห็นดาบโค้งพาดอยู่ที่เอวของจิ้งเหยาด้วย

ดาบลักษณะเช่นนี้ก็เหมือนกับเซาปิ่งที่แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองทำไม่มีผิด

ต่างก็แปลกตายิ่งนัก

ความแปลกตาแม้ว่าจะไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีน้อยมากแน่นอน

ทว่ามีน้อยมากกลับหมายถึงความปลิ้นปล้อน พิลึก คาดไม่ถึง

แต่ชายชุดฟางอีกคนกลับตรงกันข้าม…

กระบี่ของเขารวดเร็วปานสายฟ้าฟาด

สะเทือนปั่นป่วนอย่างยิ่ง

หมายจะเอาชีวิตแม่นางน้อยที่ยังไม่สร่างเมาด้วยกระบี่เดียว

สองคนนี้เคลื่อนไหวเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้ารวมกันเป็นหนึ่ง

ไร้ช่องโหว่สมบูรณ์แบบ

จิ้งเหยาสังเกตเห็นจากหางตาว่าด้านข้างมีดวงดาวเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ

ดาบโค้งออกจากฝัก

เขาจับดาบโค้งกลับด้าน

ยกปลายดาบโค้งขึ้นสูงเกี่ยวมันเข้ากับกระบี่ยาวของชายชุดฟางผู้นั้น

แม้กระบวนกระบี่ชายชุดฟางจะช้ายิ่ง

แต่เขาก็รู้สึกตื่นกลัวดาบโค้งแปลกพิลึกและรูปแบบการออกดาบเช่นนี้

แต่ไม่สามารถถอนกระบี่ในตอนนี้ได้

ทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ บางทีอาจมีความหวังอยู่บ้าง

เดิมทีก็ไม่ได้คาดหวังว่ากระบี่นี้จะสามารถโจมตีสำเร็จ

แต่หากถูกบีบบังคับต้อนกลับไปเช่นนี้ ก็ทำให้เขาเสียหน้าเช่นกัน

ดาบโค้งของจิ้งเหยาตั้งอยู่ด้านข้าง

แสงสีครามประกายวาบ

เมื่อชายชุดฟางผู้นั้นได้สติกลับมา กระบี่ยาวในมือของตนถูกดาบโค้งของจิ้งเหยาเกี่ยวและกดลงบนโต๊ะ จะก้าวจะถอยก็ไม่ได้

ทว่ากระบี่แทงไปยังแม่นางน้อยขี้เมาผู้นั้น

กำลังจะแทงทะลุลำคอและโลหิตสดๆ จะพุ่งกระฉูด

แต่จนแล้วจนรอดกลับแทงเข้าชามสุราบนโต๊ะแทน

ชามสุราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

แม่นางน้อยตื่นขึ้นมาก่อนที่คมกระบี่จะมาถึง

เป็นการหลบเลี่ยงที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเป็นเพียงความบังเอิญ

แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“แต่ข้าดื่มได้เพียงวันละสามหน หนที่สี่ก็จะหลับไปยาวๆ บางครั้งก็หลับได้ถูกเวลาด้วย”

แม่นางน้อยขยี้ตาที่ง่วงงุน

มองชามสุราแตกเป็นเสี่ยงๆ และกระบี่ยาวบนโต๊ะ

เงยหน้าส่งยิ้มให้จิ้งเหยาเล็กน้อยแล้วกล่าว

ชายชุดฟางตรงกลางเห็นการโจมตีของทั้งสองล้มเหลวอีกทั้งยังถูกผู้อื่นควบคุม…

ไร้ทางเลือก จำต้องลงมือด้วยตนเอง

เสียงกระทบกันดังออกมาจากชุดฟางเหล็กบนกาย

คล้ายกับเสียงที่เพิ่งเพิ่มฟืนเข้ากองไฟและเสียงประทัดช่วงเทศกาลฉลองในอาณาจักรห้าอ๋องอย่างยิ่ง

แต่เสียงเดียวกันนี้ ก็ดังที่ตำแหน่งโต๊ะคิดเงินเช่นกัน

ทว่าห้าวหาญน้อยกว่าในที่นี้มาก…

“ชามกระเบื้องเนื้อดีสามตำลึง ชุดโต๊ะไม้หนานมู่ห้าสิบห้าตำลึง”

เมื่อชายชุดฟางทั้งสองผุดลุกขึ้นและออกกระบี่ เถ้าแก่ร้านจึงกลับไปที่ตำแหน่งโต๊ะคิดเงิน

ในยามนี้กำลังคำนวณลูกคิดอย่างต่อเนื่อง คำนวณการสูญเสียจากการปะทะของทั้งสองฝ่าย

เพียงแต่ทั้งๆ ที่เป็นเพียงชามกระเบื้องหยาบเก่าๆ หนึ่งใบแต่เถ้าแก่ร้านกลับบอกว่าเป็นกระเบื้องกระดูกเนื้อดี

ทั้งๆ ที่เป็นโต๊ะเก้าอี้เนื้อไม้ธรรมดาทั่วไป

กลับใช้ชื่อไม้หนานมู่อันล้ำค่า

ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่ใช่พ่อค้าจริงๆ

ตราบใดที่เกิดเรื่องราวขึ้นในร้านสุราโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เกรงว่าไม่อาจหนีลูกคิดคำนวณในมือของเถ้าแก่ร้านได้พ้น

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท