บทที่ 1423 สายฝนสีทองของปราณเซียน
ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับเปล่งแสงสีทองอันเจิดจ้า
จัตุรัสที่กว้างใหญ่และกว้างขวางภายในจวนตระกูลเฉินเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
วันนี้ ศิษย์ทุกคนของตระกูลเฉินมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเป็นประจักษ์พยานต่อท่าทางสง่างามของบุคคลในตำนานที่อยู่ในใจของพวกเขา เฉินซี!
ฝูงชนหนาแน่นบนจัตุรัสต่างลุกโชนด้วยความตื่นเต้น แม้จะมีผู้คนอยู่มากมาย แต่มันก็เงียบมาก เงียบจนไร้สุ้มเสียง และทุกคนต่างรอคอยด้วยความคาดหวัง
ศิษย์ของตระกูลเฉินเหล่านี้ ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนเป็นแซ่เฉิน แต่มีคนเพียงหยิบมือที่ถือได้ว่าเป็นศิษย์สายตรง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็เป็นแซ่เฉินแล้ว ดังนั้นการปฏิบัติที่ได้รับในตระกูลจึงแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างของเฉินซีก็โผล่ออกมาจากอากาศ และปรากฏตัวบนเวทีด้านหน้าจัตุรัสอย่างรวดเร็ว รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ทั้งยังมีลักษณะที่ไม่ธรรมดา การปรากฏตัวนี้ ดึงดูดสายตาของทุกคนทันที
ทันใดนั้น ความตื่นเต้น ความยินดี ความชื่นชม และความเคารพก็พลุ่งพล่านออกมาจากใจของบรรดาศิษย์ตระกูลเฉินทุกคน ราวกับได้เห็นการมาถึงของทวยเทพ
ในทางกลับกัน เฉินซียืนอยู่บนเวที พลางจ้องมองไปยังฝูงชนนับพันบนจัตุรัสตรงหน้า และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจ ทั้งหมดนี้คือความหวังของตระกูลเฉิน!
เขาไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ และเพียงจ้องไปที่ศิษย์ตระกูลเฉินเงียบ ๆ แววตาชัดเจนและสงบ ประหนึ่งตั้งใจที่จะจดจำรูปลักษณ์ของศิษย์ทุกคนไว้ในใจ
บรรดาศิษย์ตระกูลเฉินที่ถูกกวาดตามองก็เชิดอกขึ้น ราวกับทหารที่ได้รับการตรวจวินัยจากแม่ทัพ ทั้งมีท่าทางที่กระตือรือร้นและเคารพ
“บอกนามของเจ้ามา เมื่อเราพบกันครั้งต่อไป ข้าจะไม่ลืมพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน” หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็กล่าวอย่างสบาย ๆ
ทุกคนพลันตกตะลึง เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าสิ่งแรกที่ผู้ยิ่งใหญ่กล่าว จะเป็นคำขอเช่นนี้
หัวใจของศิษย์หลายคนต่างรู้สึกอบอุ่น
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
นั่นหมายความว่าบรรพบุรุษเฉินซี จะไม่ละเลยพวกเขาแม้แต่คนเดียว!
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าน้อยมีนามว่า เฉินอวินฉง!”
“ข้าน้อยเฉินมู่หลิน!”!”
“เฉินเยว่ฮวา!”
“เฉินเป่ยโตว!”
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่ทั้งจัตุรัสก็ดังก้องไปด้วยคลื่นเสียงทันที ซึ่งใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่ทั้งหมดจะสงบลง
ในระหว่างนี้ เฉินซีได้จดจำชื่อและรูปลักษณ์ของพวกเขาไว้ในความทรงจำ ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบัน การจดจำบางสิ่งก็ง่ายพอ ๆ กับพลิกฝ่ามือ หรือง่ายกว่าการดื่มน้ำ
“เยี่ยมมาก ข้าจำพวกเจ้าทุกคนได้แล้ว เจ้าคือเฉินอวินฉง เป็นคนแรกที่บอกนามออกมา ความกล้าหาญเจ้าสมควรได้รับคำชื่นชม ส่วนเจ้าคือเฉินเซวี่ยถิง เสียงของเจ้าดังที่สุด เจ้าคือ…” เฉินซียิ้มและเริ่มขานนามของศิษย์เหล่านั้น ราวกับเป็นการพิสูจน์คำพูดของตัวเอง
หลังจากผ่านไปสักระยะ เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวว่า “เหตุผลที่ข้าทำสิ่งนี้ ก็เพราะข้าอยากจะบอกทุกคน ในฐานะสมาชิกตระกูลเฉิน พวกเจ้าถือเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน และแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของตระกูลไว้ ดังนั้นตระกูลเฉินของเราจะไม่ละเลยผู้ใดอย่างแน่นอน!”
“ข้าเฉินซีจะไม่มองข้ามพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง เพราะพวกเจ้าทุกคนคือความหวังของตระกูลเฉิน!”
เสียงของเขาชัดเจนและดังกึกก้องราวกับระฆังยามเช้า มันสั่นสะเทือนอยู่ในใจของศิษย์ตระกูลเฉินทุกคน ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้น มีความสุข ทั้งยังรู้สึกได้รับการยอมรับ
“เราจะจดจำคำสอนของท่านบรรพบุรุษเฉินซี!” ศิษย์คนหนึ่งของตระกูลเฉินที่มีใบหน้าแดงก่ำตะโกนเสียงดัง
“เราจะจดจำคำสอนของบรรพบุรุษเฉินซี!” ศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเฉินกล่าวพร้อมกัน เสียงของพวกเขาสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ในระยะไกล เฉินฮ่าวและเฟยเหลิ่งชุ่ยต่างรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง “ความแข็งแกร่งของตระกูลไม่สามารถพึ่งพาพี่ใหญ่เพียงอย่างเดียวได้ และมันต้องอาศัยศิษย์ของตระกูลเฉินทุกคนที่ต้องทุ่มเทเพื่อปกป้องมัน!”
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
บนเวที เฉินซีพลันสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นกระแสปราณเซียนอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสายฝนสีทองของปราณเซียนที่โปรยปรายลงมา
สายฝนนั้นละเอียดและต่อเนื่อง ทั้งยังโปรยปรายไปทั้งฟ้าดิน ซึ่งปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัส
นั่นคือปราณเซียนที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมาจากภายในร่างกายของเฉินซีและต้นอ่อนเงาทมิฬ เสมือนกับเป็นของขวัญที่มอบให้กับศิษย์ทุกคนของตระกูล
“สวรรค์! นี่คือพลังอะไรกัน? ถึงได้สูงส่งปานนี้?”
“ปราณเซียน! มันต้องเป็นปราณเซียนอย่างแน่นอน!”
ฝนสีทองของปราณเซียนโปรยปรายลงมา และปกคลุมศิษย์ตระกูลเฉินทุกคน ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ ซึ่งหลั่งไหลไปทั่วทั้งร่างกายทันที ดังนั้นจึงตกใจจนร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“รีบนั่งสมาธิแล้วซึมซับมันซะ!” เฉินฮ่าวพลันตะโกนเรียกสติ
ศิษย์ตระกูลเฉินทุกคนดูเหมือนกับตื่นขึ้นจากความฝัน ทุกคนรีบนั่งสมาธิ และเริ่มควบคุมลมหายใจ
ในขณะนี้ เฉินซีได้ออกจากเวทีไปแล้ว
“ข้าจะไปที่เกาะกลางทะเลสาบ ถ้าอันเอ๋อร์กลับมาแล้ว ก็ให้เขาไปพบข้าที่นั่น” เฉินซีสั่งเฉินฮ่าว
“ท่านพี่ ผู้อาวุโสจี้อวี๋…กำลังจะจากไปจริง ๆ หรือ?” เฉินฮ่าวพยักหน้ารับคำ และถามอย่างอดไม่ได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้รับการสั่งสอนโดยจี้อวี๋มาตลอด และได้รับประโยชน์มากมาย จี้อวี๋เปรียบเสมือนอาจารย์ เมื่อได้ยินจากเฉินซีว่าจี้อวี๋กำลังจะจากไป ลึก ๆ เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจ
เฉินซีตบไหล่ของเฉินฮ่าวเบา ๆ “อย่ากังวล ย่อมมีโอกาสที่จะได้พบกันอีกในอนาคต นอกจากนี้ อย่าบอกผู้ใดเกี่ยวกับความตั้งใจของข้าที่จะพาโถงโบราณไปด้วย”
เฉินฮ่าวหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
เฉินซีคลี่ยิ้ม จากนั้นก็เอามือไพล่หลัง เหินทะยานขึ้นฟ้าไป
…
ณ ส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เกาะที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบ
“เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ เหล่าผู้บ่มเพาะในโลกใบเล็กของโถงโบราณ จะไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของเต๋าแห่งสวรรค์ เพื่อไม่ให้เผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ และขึ้นสู่ภพเซียนได้อย่างราบรื่น” จี้อวี๋ก็อดที่จะเตือนเฉินซีไม่ได้
“ข้าเข้าใจ กลียุคของสามภพใกล้จะมาถึง และข้าตั้งใจที่จะปลดปล่อยโถงโบราณ หลังจากที่กลียุคของสามภพสิ้นสุดลง ข้าถึงจะสามารถช่วยพวกเขาหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้”
เฉินซีไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะกล่าว “ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ผู้บ่มเพาะเหล่านี้มีคือเวลา หลังจากกลียุคของสามภพผ่านพ้นไป พวกเขาก็จะพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ได้”
จี้อวี๋พยักหน้า “เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”
“ท่านอาจารย์ลุงจี้อวี๋ ท่านไม่คิดจะกลับไปภพเซียนพร้อมกับข้าจริง ๆ หรือ?” เฉินซีถามอีกครั้ง
จี้อวี๋ไม่ได้กล่าวใด ๆ เพียงส่ายศีรษะ
เฉินซีอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ และกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“หลังจากที่เจ้ากลับสู่ภพเซียนแล้ว จงใช้เวลาบ่มเพาะอย่างเต็มที่ การบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้าที่ขอบเขตเซียนปราชญ์นั้นไม่เพียงพอที่จะเผชิญกับกลียุคของสามภพ” จี้อวี๋ชี้แนะด้วยรอยยิ้ม
เฉินซีลูบจมูกและยิ้มบาง ๆ หวนนึกถึงภาพในอดีต ตอนที่บ่มเพาะอยู่ข้าง ๆ จี้อวี๋เมื่อหลายปีก่อน ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จอะไรแล้วก็ตาม จี้อวี๋มักจะส่ายศีรษะและกล่าวคำดังกล่าวอยู่เสมอ
…
วันต่อมา คลื่นความผันผวนก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเกาะ หลังจากนั้นก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้น เป็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง บุรุษนั้นมีร่างค่อนข้างสูงและมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา เขามีคิ้วเรียวเหมือนใบหลิว ดวงตาเต็มไปด้วยประกายของดวงดาว ริมฝีปากแดง ฟันขาวดุจหยกเนื้อดี ทุกอริยาบถแผ่กลิ่นอายสงบนิ่ง
ส่วนสตรีมีรูปลักษณ์ที่งดงามและอ่อนโยน นางสวมกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนที่ดึงส่วนโค้งเว้าในเรือนร่างที่เพรียวบางออกมา ในขณะที่ผมสีดำสนิทถูกขดเป็นมวย ดวงดาวเต็มไปด้วยประกายดาราประหนึ่งภาพฝัน คิ้วสีดำสนิทดั่งน้ำหมึก ริมฝีปากแดงระเรื่อ นางดูกังวลและสงวนท่าที
“อย่ากังวลไปเลย ท่านพ่อของข้าไม่ใช่ปีศาจ” ชายคนนั้นเหลือบมองภรรยาของตน และเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“ข้า… นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับท่านพ่อ และข้าก็เลย… กังวล” สตรีผู้นั้นก้มศีรษะลงด้วยความเขินอาย พลางกล่าวเสียงเบาเหมือนสายลมพัดผ่าน
บุรุษและสตรีคู่นี้ ย่อมคือเฉินอันและภรรยาของเขา เว่ยจื่อถง
เว่ยจื่อถงเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของแดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้นความเข้าใจของนางเกี่ยวกับเฉินซีจึงชัดเจนยิ่งกว่าใคร ทั้งยังทราบดีว่าชื่อเสียงของเฉินซีนั้นน่าสะพรึงเพียงใด
ในหัวใจของศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เฉินซีเป็นเหมือนตำนานที่เดินได้ และชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งใหญ่จนเหนือกว่า เวินหัวถิง ประมุขนิกายคนปัจจุบัน และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกาย
ในฐานะศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เว่ยจื่อถงกำลังจะพบกับ ‘ท่านพ่อ’ ในตำนานของนาง นางจึงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้
เฉินอันพลันครุ่นคิดในใจ ถ้าเจ้าได้พบกับท่านแม่ เจ้าจะไม่เป็นลมล้มพับไปเลยหรือ
“อันเอ๋อร์!” ทันใดนั้นเสียงที่ชัดเจนดังก้องขึ้น เฉินซีมาถึงอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มให้เฉินอันและเว่ยจื่อถง
“ท่านพ่อ!!” ลึก ๆ เฉินอันค่อนข้างตื่นเต้น แต่ยังสามารถรักษาท่าทีไว้ได้ แต่ในทันทีที่เห็นบิดาปรากฏตัวต่อหน้า เขาก็ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกได้อีกต่อไป และร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
เฉินซีสวมกอดเฉินอัน พลันครุ่นคิดในใจ… ในที่สุดเด็กคนนี้ก็เติบใหญ่แล้ว
หลังจากนั้น สายตาของเขาก็จดจ้องไปที่เว่ยจื่อถงที่ยืนอยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงเป็นจื่อถง”
จิตใจของเว่ยจื่อถงมึนงงตั้งแต่แวบแรกที่ได้สบตากับเฉินซี ความกังวลพุ่งทะลุเพดาน ยืนตะลึงงัน ถึงขั้นไร้การตอบสนองเมื่ออีกฝ่ายหันมาคุยกับนาง
เฉินอันกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเว่ยจื่อถง “จื่อถง รีบคารวะท่านพ่อสิ!”
“จื่อถงคารวะท่านพ่อ ข้าหวังว่าท่านพ่อจะอภัยให้กับความหยาบคายของข้าเมื่อครู่นี้” เว่ยจื่อถงฟื้นคืนสติ และรีบโค้งคำนับคนตรงหน้า
เฉินซีรู้สึกว่า หญิงสาวคนนี้เพียงกังวล ไม่ทำกิริยาหยาบคายแม้แต่น้อย เขาจึงโบกมือแล้วกล่าว “เจ้าเป็นภรรยาของอันเอ๋อร์ และเป็นลูกสะใภ้ของข้า ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”
ขณะที่กล่าว เขาก็พาเฉินอันและเว่ยจื่อถงไปที่บ้านบนเกาะ
เมื่อบิดาและบุตรพบหน้ากัน ย่อมไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างพวกเขา ทั้งสามจิบชาและพูดคุยกันในบ้าน ซึ่งความสุขก็ล้นหลามออกมา ขณะที่กล่าวถึงทุกสิ่งที่ได้ประสบในช่วยหลายปีที่ผ่านมา
ที่ด้านข้าง เว่ยจื่อถงค่อย ๆ สงบจิตใจลง ขจัดความกังวลออกไปจนหมดสิ้น
ใกล้ค่ำ เฉินซีก็เรียกหาเฉินฮ่าว เฟยเหลิ่งชุ่ย เฉินอวี่ เยว่เหวินถิง เฉินอวิ๋นอวิ๋นและเฉินเป่าเปามาที่บ้าน และทั้งครอบครัวก็ร่วมทานอาหารค่ำกับจี้อวี๋
ในห้องคึกคักอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เมื่องานเลี้ยงใกล้จะจบลง เฉินซีก็นึกถึงมารดาของตน และชิงซิ่วอี้ ความเสียใจพลันฉายวาบผ่านหัวใจ
บางทีเมื่อเราพบกันอีกครั้ง ทั้งครอบครัวจะได้กลับมารวมตัวพร้อมหน้ากันอีกหรือไม่? เฉินซีพึมพำในใจ ก่อนจะดื่มสุราในจอกจนหมดในรวดเดียว