ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 513 ออกเมือง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 513 ออกเมือง

เมื่อถอดชุดสีดำออก เผยให้เห็นชุดเกราะแบบและสีเดียวกันด้านใน

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองทุกคน พูดเสียงขรึมว่า “พวกเจ้าเลือกตัวที่พอดีและรีบเปลี่ยนเสีย”

เหล่าอี๋เหนียงมองหน้ากันไปมา

ลั่วเซิงเดินออกไปคนแรก รับชุดเกราะจากทหารคนหนึ่งที่ถอดชุดเกราะออกมาสวมเงียบๆ

ขนาดตัวของหญิงสาวย่อมต่างจากบุรุษ โชคดีที่ตอนนี้เป็นยามกลางคืน นางมัดกางเกงที่ยาวไปเล็กน้อยขึ้นมาและมัดแขนเสื้อที่ใหญ่ไป มองผ่านๆ แล้วไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย

เมื่อมีลั่วเซิงเริ่มนำ พี่น้องลั่วอิงและเหล่าอี๋เหนียงก็เริ่มทำตาม

อาจจะเป็นเพราะอุโมงค์ที่เดินผ่านอันยาวนานเมื่อครู่นี้ขัดเกลาความแน่วแน่ แม้การสวมเสื้อผ้าของบุรุษที่ไม่รู้จักจะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าอย่างปลื้มใจ

แม้เขาจะดูแลองครักษ์จิ่นหลินห้าพันนาย แต่กลับไม่อาจใช้คนจำนวนมากเกินไปต่อหน้าฝ่าบาทได้ มิหนำซ้ำสิ่งที่เขาทำตอนนี้คือการกบฏ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะยืนฝั่งเขาทั้งหมด

หลายร้อยคนนี้ถูกทยอยส่งออกไปทีละกลุ่มไปเงียบๆ อวิ๋นต้งเป็นกลุ่มแรก

ภารกิจของอวิ๋นต้งคือไปหากลุ่มหญิงปักผ้านอกเมืองหลวงเพื่อเร่งปักเย็บชุดเกราะที่ทหารของเหลยหมิงสวมใส่ จากนั้นซ่อนตัวที่ชายแดนเมืองหลวงเงียบๆ และรออ้างตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหลยหมิงเพื่อเข้าเมืองวันนี้แล้วจึงพาคนจวนลั่วออกนอกเมือง

การไม่สู้รบเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

แน่นอนว่า เรื่องนี้ส่วนหนึ่งจำเป็นต้องอาศัยดวง หากดวงไม่ดี ถูกทหารรักษาการณ์พบเห็นเบาะแสยามออกเมือง องครักษ์หลายร้อยนายนี้ก็สามารถต่อสู้ได้ อย่างน้อยเขาก็สามารถปกป้องคนบางส่วนไว้แล้วฝ่าออกไป

มองดูบุตรสาวที่ถอดปิ่นปักผมออกแล้วมวยผมเป็นบุรุษ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็มีสีหน้าหนักแน่น

เขาต้องปกป้องพวกนางออกไปให้ได้

เมื่อเห็นลั่วเซิงมวยผม สามพี่น้องลั่วอิงก็ทำตาม พวกนางปล่อยผมแล้วเก็บผมใหม่

เวลาไม่ถึงสองเค่อ ทุกคนก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว มองเผินๆ แทบไม่ต่างจากองครักษ์จิ่นเหลินเหล่านั้น

“รออีกหน่อย” แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดจบก็เดินไปทางประตูลานบ้าน

องครักษ์จิ่นหลินที่อยู่ข้างนอกยืนเงียบๆ ชิดกำแพง เงาตะคุ่มนั้นแทบจะผสานตัวเป็นหนึ่งเดียวกับกำแพง

ในค่ำคืนที่มืดมิดนี้ ผู้คนที่หลับใหลไม่มีวันรู้ว่าในค่ำคืนแสนธรรมดาคืนหนึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว ข้างนอกจะเต็มไปด้วยกองกำลังมากมาย

เวลาผ่านไปทีละน้อย บรรยากาศน่าวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ

ลั่วเย่ว์ถามลั่วเซิงเสียงเบาว่า “พี่สาม พี่ว่าท่านพ่อกำลังรออะไร”

ลั่วเซิงมองแผ่นหลังสูงใหญ่ที่ยืนหน้าประตูลานบ้าน พูดเสียงเบาว่า “กำลังรอเวลาที่เหมาะสม”

อวิ๋นต้งนำทัพเข้ามาในเมืองอ้างตนว่าเป็นทหารของแม่ทัพใหญ่เหลยเพื่อหลอกให้เปิดประตูเมือง หากรีบออกจากเมืองจะทำให้ทหารรักษาการณ์สงสัย

เวลานี้ต้องเผื่อเวลาไว้นานพอจึงจะออกจากเมืองได้สำเร็จ

ส่วนคนที่อยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วเหล่านั้นก็กำลังต่อสู้เพื่อยื้อเวลาไว้

จวนลั่วในบัดนี้ถูกทหารของเหลยหมิงล้อมไว้หมดแล้ว

พวกเขาไม่ได้บอกให้เปิดประตู แต่กำลังใช้กำลังทำลายประตู

ประตูทองแดงหนาและหนักส่งเสียงดังเพราะการกระแทก เสียงดังเสียดหูอย่างยิ่งในค่ำคืนที่เงียบสงบ

ไม่ไกลออกไป เสียงสุนัขเห่าหอนไม่หยุด ไฟที่ดับไปแล้วกลับไม่ได้สว่างขึ้น ไม่รู้ว่ามีดวงตามากมายเท่าไรซ่อนอยู่ในความมืด คอยมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอกเงียบๆ

บ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงจวนแม่ทัพใหญ่ล้วนเป็นจวนของผู้สูงศักดิ์ เสียงที่ดังขึ้นเช่นนี้ในยามกลางดึก พวกเขาย่อมอยากรู้อยากเห็น แต่กลับรู้ยิ่งกว่าว่าไม่ควรสร้างปัญหา

ไม่รู้ว่าจวนไหนจะพังทลายลงแล้ว

“จวนลั่วหรือ” ได้ยินคำรายงานจากคนใช้ที่ออกไปสืบแล้ว เจ้าเรือนเหล่านี้นอกจากจะตกตะลึงแล้วยังรู้สึกสะท้อนใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจริงๆ

ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินเชียวนะ ยิ่งสง่างามเพียงใด ร่วงตกลงมาก็ยิ่งสาหัสมากเท่านั้น

“ไม่ต้องสืบต่อแล้ว ปิดประตูและหน้าต่างเสีย”

เสียงกระแทกประตูดังขึ้นกว่าเดิม แม้ข้างในประตูจะมีสิ่งของหนักและใหญ่ค้ำไว้ หลังจากพยายามได้ระยะหนึ่งก็ถูกกระแทกออก

คนข้างในถือดาบพุ่งออกมา สู้รบกับคนข้างนอก

บางคนเลือดไหล บางคนล้มลง ศพค่อยๆ กองพะเนินในจวนแม่ทัพใหญ่ลั่ว เลือดไหลย้อมสิงโตหินที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามจนเป็นสีแดง

แม่ทัพใหญ่ลั่วหลับตาลงยืนอยู่หน้าประตู ราวกับว่าเสียงฆ่าฟันดังขึ้นในหัว

เขารู้ว่าการสู้รบครั้งนี้กำลังดำเนินไป สนามรบคือจวนที่เขาอาศัยมาหลายปี

ที่นั่นมีบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์และลูกน้องภักดี

พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนอายุน้อย เดิมควรจะมีชีวิตที่สงบสุขและยาวนาน แต่ชีวิตกลับต้องมาจบลงในคืนนี้ มิอาจได้พบเจอดวงตะวันอีก

การต้องการปกป้องคนบางกลุ่มไว้ย่อมต้องเสียสละคนบางกลุ่ม เดินมาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดอยากจะปกป้องไว้ทั้งหมดคือความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อน

หากถามว่าเสียใจหรือไม่ แน่นอนว่าเสียใจ

แต่ความรู้สึกที่ไม่อาจทำอะไรได้กระทั่งสิ้นหวังเช่นนี้ เขาเคยประสบมาหลายคราแล้ว ด้วยตำแหน่งและอายุของเขา ความรู้สึกเหล่านี้เขาสามารถวางลงได้อย่างเหมาะสม ที่เหลือคือการกัดฟันเดินหน้าต่อไป

แม่ทัพใหญ่ลั่วลืมตาขึ้นกะทันหัน ดวงตาคู่หนึ่งสว่างราวดวงดาวในยามค่ำคืน

“ออกเดินทางเถอะ”

ประตูถูกเปิดออกช้าๆ คนจวนลั่วทุกคนที่แทรกตัวในหมู่องครักษ์จิ่นหลินเดินไปทางประตูเมือง

เข้าใกล้ประตูเมืองเรื่อยๆ เห็นตะเกียงไฟที่สว่างบนกำแพงเมืองและทหารรักษาการณ์ที่กำลังลาดตระเวน

อี๋เหนียงแปดที่เดินตรงกลางขี้ขลาดที่สุด เมื่อเห็นประตูเมืองสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าก็ควบคุมขาที่สั่นเทาไม่ได้

เมื่อได้ยินเสียงฟันกระทบกันเพราะความหวาดกลัวของอี๋เหนียงหก มือที่อบอุ่นข้างหนึ่งก็จับมือนางไว้

อี๋เหนียงแปดชะงัก มองไปยังคนที่จับมือนางเอาไว้

อี๋เหนียงหกนั่นเอง

นางปริปากทำท่าจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าเรียก ‘พี่หก’

นางกลัวว่าปริปากแล้วจะอดกรีดร้องขึ้นมาไม่ได้

สวรรค์รู้ว่าปกตินางเจอหนอนคันตัวหนึ่งยังตกใจจนร้องไห้ได้ ตอนนี้กลับต้องสวมชุดเกราะอันหนาวเย็น ถือดาบอันหนักอึ้งและปลอมตัวเป็นทหารออกจากเมืองกลางดึก

เรื่องนี้สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ

นางโง่เขลาเช่นนี้ เดินในอุโมงค์ยังสะดุดขาตนเองได้ ตอนนี้หากสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร

“น้องแปด คิดถึงนายท่านและคุณหนูไว้ เจ้าต้องเข้มแข็งไว้นะ” อี๋เหนียงหกกระซิบเตือน

อี๋เหนียงแปดใจสั่นสะท้าน พยักหน้าอย่างแรง

ใช่ นางจะกลัวอย่างไรก็ต้องเข้มแข็งไว้ จะทำให้คนมากมายเช่นนี้ลำบากเพราะนางคนเดียวไม่ได้

ทหารที่ลาดตระเวนเห็นว่ามีกองกำลังเดินเข้ามาใกล้ก็ตะโกนถามว่า “ใคร”

อวิ๋นต้งที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดตอบ “ข้าน้อยเอง ออกไปเตรียมการล่วงหน้าตามคำสั่งของท่านแม่ทัพใหญ่เหลยขอรับ”

“รอสักครู่”

ทหารรักษาการณ์รีบไปรายงานหัวหน้า

หัวหน้าถูกปลุกตื่นอีกครั้ง เขาเริ่มหงุดหงิด “อะไรอีกเล่า”

“รายงานท่านแม่ทัพ ลูกน้องแม่ทัพใหญ่เหลยที่เข้าเมืองเมื่อไม่นานนี้บอกว่าจะออกจากเมืองเพื่อเตรียมการล่วงหน้าตามคำสั่งของแม่ทัพใหญ่เหลย…”

แม่ทัพรักษาเมืองงัวเงีย พูดอย่างรำคาญว่า “เปิดประตูเมืองให้พวกเขารีบออกไปเสีย จะจบได้หรือยัง!”

“ขอรับ” ทหารรักษาการณ์รับคำสั่งและจากไปสั่งคนให้เปิดประตูเมือง

เมื่อเห็นสะพานข้ามคูเมืองปล่อยลง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โล่งอก

ในที่สุดก็ได้ออกจากเมืองอย่างปลอดภัยเสียที

ขบวนยาวทยอยข้ามสะพานคูเมืองออกไป

น้ำหนักที่สะพานข้ามคูเมืองสามารถรองรับได้มีจำกัด แม้จะเข้าแถวเดินข้าม แต่ก็ยังแกว่งไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อี๋เหนียงแปดเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าฝีเท้าของใครลงน้ำหนักแรงไปเล็กน้อยทำให้สะพานแกว่ง นางจึงกรีดร้องขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

แม้นางจะปิดปากตนเองไว้ในทันที แต่เสียงกรีดร้องของสตรีก็ชัดเจนมากเมื่ออยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดและบรรยากาศที่กดดันเช่นนี้

คนบนกำแพงเมืองตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว มีปัญหา!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท