บทที่ 356 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-10
นอกจากฐานเมฆาแห่งทะเลบูรพา ชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้ และราชสำนักทุ่งหญ้าแล้ว ความแกร่งเดียวที่สามารถก้าวข้ามห้าอ๋องได้อย่างสมบูรณ์มีเพียงหนึ่งเดียว
คนทั่วไปคิดว่าสำนักปากสอบเป็นเพียงตำนาน
แต่ผู้ที่รู้เรื่องนี้ต้องปกปิดไว้เป็นความลับ
ไม่ว่าจะเป็นทุกรัชสมัยของยุคราชวงศ์ก่อนหน้านี้หรือห้าอ๋องที่ปกครองร่วมกันในปัจจุบันนี้
สำนักปากสอบอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานมาโดยตลอด
ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนการดำรงอยู่ของมัน แต่มันก็ไม่ได้สะดุดตา
แต่สิ่งใดที่สามารถคงอยู่ได้ยาวนานย่อมมีเหตุผลและมีประสงค์ของสวรรค์
อดีตราชวงศ์สมัยหนึ่ง องค์จักรพรรดิงมงายอย่างยิ่ง
ในความฝันมักจะเห็นพระจันทร์เต็มดวงส่องสกาว เซียนเหาะเหินมาตามสายลม
จะเห็นได้ว่าทุกช่วงเวลาล้วนมีผลผลิตที่พิเศษบางอย่างเสมอ
แต่ช่วงเวลาที่สำนักปากสอบถือกำเนิดขึ้นคือเมื่อใด แม้แต่รายงานคดีของกรมสอบสวนกลางก็ยังไม่มีบันทึก
ทว่าเมื่อใดที่ราชวงศ์เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมมีคนจากสำนักปากสอบท่องไปทั่วหล้า
พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก เพียงแต่บันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใต้หล้าอย่างซื่อสัตย์
โดยเฉพาะก่อนห้าอ๋องปกครองร่วมกันและหลังจากราชวงศ์ของผู้เฒ่ากระบี่ดาราจะล่มสลายลง
ชื่อเสียงของสำนักปากสอบเริ่มแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
ตระกูลใหญ่ร่ำรวยมากอำนาจไปจนถึงประชาชนรากหญ้าทั่วไป
ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่มีผู้ใดทราบ
มีตำนานกล่าวขานว่า
สาเหตุที่ห้าอ๋องปกครองใต้หล้าและไม่มีสงครามอีกต่อไปสืบเนื่องมาจากสำนักปากสอบ
ประมาณยี่สิบหรือสามสิบปีก่อน มีตำราแปลกๆ เล่มหนึ่งวางขายทั่วท้องตลาดอย่างกว้างขวาง
ชื่อว่า ‘บันทึกสำนักปากสอบ’
บรรยายทั้งทัศนียภาพและภารกิจหน้าที่ของทั้งสำนักปากสอบอย่างครอบคลุมและเป็นระบบ
แม้ไม่อาจตรวจสอบความจริงได้ แต่อ่านแล้วก็น่าสนใจมากจริงๆ
แต่ว่าตำราเล่มนี้ถูกเผยแพร่ในช่วงสงครามและเลือนหายไปในช่วงสงบสุข
ตอนนี้แม้แต่เล่มเดียวก็มองไม่เห็นแล้ว
อาจจะมีซุกซ่อนอยู่ในหมู่ชาวบ้าน
แต่ไม่มีผู้ใดกล้านำออกมาดึงดูดสายตาผู้คน
เกาเหรินเคยอ่านตำราเล่มนี้
เพราะอาจารย์ของเขามีอยู่เล่มหนึ่ง
ฐานสูงในสำนักปากสอบเรียงเป็นแถวและทับซ้อนกัน
บนฐานสูงยังบรรจงพรรณนาให้เห็นอิริยาบถของเซียนในตำหนักสวรรค์และตอนที่ลงมาสู่พื้นโลกเป็นครั้งคราว เพื่อสั่งสอนวิทยายุทธ์และถ่ายทอดวิชาเซียนในภูเขาลำเนาไพร
ศูนย์กลางของสำนักปากสอบมีหอคอยเซียนตั้งสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
ว่ากันว่าสูงชะลูดยิ่งกว่าแท่นบูชาที่ราชวงศ์ใดๆ สร้างขึ้นเสียอีก
พระตำหนักกว้างใหญ่ ต่อให้เป็นเมืองหลวงในปัจจุบันยังเทียบความงดงามได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
แม้สำนักปากสอบจะแยกออกจากโลกมายาวนาน แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าถึงไม่ได้เสียทีเดียว
อย่างน้อยก็มีกล่าวไว้ใน ‘บันทึกสำนักปากสอบ’ สำนักปากสอบมีประตูอยู่ทุกสารทิศ
เพียงแต่คนธรรมดามองไม่เห็นก็เท่านั้น
การบรรยายเหล่านี้อาจจะค่อนข้างเกินจริงและดูเป็นตำนานไปบ้าง
แต่เห็นเพียงเล็กน้อยกลับยังสามารถขับเน้นความลึกลับและความห่างไกลของสำนักปากสอบออกมาได้
ทางบูรพาของใต้หล้ามีประตูอยู่สามบาน
ตั้งชื่อตามช่วงฤดูกาล
แบ่งออกเป็นวสันต์ เหมันต์ คิมหันต์
เหตุใดจึงไม่มีสารทฤดูเล่า
จุดนี้ไม่มีคำอธิบายใดๆ ใน ‘บันทึกสำนักปากสอบ’
เกาเหรินครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
อยากจะไปถามอาจารย์ แต่กลัวจะถูกตำหนิ
เพราะตอนนั้นเขาแอบนำตำราเล่มนี้ออกมาเปิดอ่านน่ะสิ
คนสมัยโบราณแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบสารทฤดู
อาจเป็นเพราะสารทฤดูมักทำให้รู้สึกเศร้าโศกเกินไป
เรื่องเศร้าโศกมีมากพอแล้ว ไฉนต้องกังวลกับฤดูกาลนี้อีกเล่า
ทว่านี่เป็นความเห็นของนักปราชญ์เน่าเฟะเหล่านั้น
พวกเขามักจะชอบคร่ำครวญถึงสายลมหนาว เศร้าโศกตามใบไม้ร่วงหล่นกลางสายลมในสารทฤดู
แต่สำหรับบรรดาเถ้าแก่ทั่วไป สารทฤดูเป็นฤดูกาลที่สำคัญที่สุดของปี
เพราะทันทีที่ผ่านพ้นสารทฤดู ก็จะเข้าเหมันต์ฤดูแล้ว
ทางใต้ไม่มีหิมะตก
แต่ทางเหนือต้องนอนขดอยู่ในเรือนอย่างน้อยสามถึงสี่เดือน
ยิ่งอากาศหนาวจะมีอาหารกินหรือไม่ ฟืนจะเพียงพอหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับสารทฤดูในปีนี้
ส่วนทิศใต้นั้นมีอยู่สี่ประตู
ต่างมีคำว่านภาอยู่ด้วย
ประตูแรกชื่อว่า ‘นภาแห่งบุ๋น’
ในตำราบันทึกความรู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก
และเนื่องจากเป็นตำราที่สรรค์ประทานให้ ฉะนั้นประตูแรกทางทิศใต้จึงมีชื่อว่า ‘ประตูนภาแห่งบุ๋น’
ส่วนอีกสามประตูมีเพียงชื่อ ไม่มีที่มา
แบ่งออกเป็น ‘นภาเสมอภาค’ ‘นภาร่มเย็น’ ‘นภารุ่งเรือง’
ส่วนทิศตะวันออกและตะวันตกอีกสองทิศ
ต่างมีเพียงหนึ่งประตูเท่านั้น
อาทิตย์ขึ้นตะวันออก ลับฟ้าตะวันตก
ฉะนั้นตะวันออกคือหยาง ตะวันตกคืออิน
เกาเหรินเคยท่องไปทั่วทุกสารทิศในใต้หล้ามาแล้ว
แต่ตำแหน่งจริงๆ ของประตูเหล่านี้กลับไม่ได้บันทึกลงในตำรา
ท้ายที่สุดเกาเหรินก็กลับมามือเปล่า
แต่เขาสงสัยเกี่ยวกับประตูทิศใต้และทิศเหนือของสำนักปากสอบ
เขาเชื่อเรื่องสองประตูอินหยางของตะวันออกและตะวันตกอย่างไร้ข้อกังขา
มูลเหตุในที่นี้อาจเป็นเพียงสัญชาตญาณและแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้แน่ชัด
สถานที่ศูนย์กลางที่สุดในสำนักปากสอบเรียกว่าหอคอยวิภาส
ผู้ก่อตั้งสำนักคนแรกสร้างในปีที่เปิดสำนักปากสอบ
ระยะห่างจากประตูอินทางตะวันออกเพียงสิบสองลี้
ด้านตะวันออกของหอคอยวิภาสมีจวนอยู่หนึ่งหลัง
ทหารเกรียงไกรที่สุดของสำนักปากสอบประจำการอยู่ข้างใน
ทั้งยังเป็นผู้คุ้มกันเจ้าสำนักปากสอบ
สร้างด้วยหินปูนผสมผสานกับไม้พะยูงทั้งหมด
หอคอยสูงเก้าสิบเก้าจั้ง
ยอดบนสุดสูงขึ้นอีกสิบจั้ง
ทว่าเมื่อยืนอยู่บนหอคอยแล้วมองลงมายังสำนักปากสอบ รู้สึกเหมือนหน้าอกอัดแน่นไปด้วยชั้นเมฆ เกรงว่าไม่ต่ำกว่าพันจั้ง
ตามตำนานเล่าว่ายามที่สร้างหอคอยวิภาสในช่วงแรกๆ รากฐานขุดลึกลงไปถึงใต้พิภพ
ภูตผีนับไม่ถ้วนถูกปล่อยออกมา
แต่ตอนนั้นเจ้าสำนักรุ่นแรกเปิดตำราเซียนที่สวรรค์ประทานให้ อ่านเพียงหนึ่งประโยค ภูตผีเหล่านั้นต่างมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่โดยดี
ทำให้เจ้าสำนักรุ่นแรกคิดว่าตำราเซียนที่สวรรค์ประทานให้เชื่อถือได้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้จึงก่อสร้างยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหอคอยวิภาส
และสร้างห้องรูปทรงแจกันบนยอดหอคอยขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้บูชาตำราเซียนที่สวรรค์ประทานให้
จุดธูปทุกวันไม่เคยขาด
ทุกมุมชั้นเก้าของหอคอยวิภาสแขวนระฆังทองไว้
มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบห้าตัว
ทุกทิศจะต้องเปิดหน้าต่างถึงเจ็ดบานและทาด้วยสีทองทุกบาน บนกรอบหน้าต่างยังตอกตะปูสลักห้าธาตุไว้ด้วย
การออกแบบที่ละเอียดถี่ถ้วนและความสร้างสรรค์สุดฉลาดเฉลียวนี้ไม่เป็นสองรองใครในโลก
ยามสายลมพัดมาทุกค่ำคืน ระฆังทองเหล่านั้นจะแกว่งไกวไปตามลม
เสียงที่ทั้งชัดเจนและดังกังวานสามารถได้ยินไปทั่วทั้งสำนักปากสอบ
ทางเหนือของหอคอยวิภาสมีตำหนักใหญ่อยู่หนึ่งแห่ง
ภายในมีรูปปั้นอดีตเจ้าสำนักปากสอบทั้งหมด รวมไปถึงแผ่นป้ายวิญญาณของผู้คนที่สร้างคุณประโยชน์สำคัญให้กับสำนักปากสอบ
ทั้งหมดสร้างโดยใช้ทอง เงิน หยกและวัสดุที่แตกต่างกันตามขนาดของคุณประโยชน์ที่สร้างให้
ในที่นี้รูปปั้นเจ้าสำนักคนแรกใหญ่ที่สุดและสูงถึงหนึ่งจั้งแปดฉื่อ ทั้งตัวสลักด้วยหยกไขมันแพะ
หยกไขมันแพะชิ้นใหญ่นี้ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยน ยิ่งกว่านั้นยอดช่างฝีมือยังเป็นผู้สลักอีกด้วย
ส่วนที่เหลือทำจากเนื้อทองและมีแผ่นป้ายวิญญาณที่ขนาดสูงเท่าตัวคนอีกหลายสิบแผ่น
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นเทพเจ้าที่บรรยายไว้ในตำราเซียนสวรรค์ประทาน
ปักด้วยไข่มุก อัญมณีและวัสดุอื่นๆ
คานหลังคาและผนังภายในพระตำหนักนี้ตกแต่งด้วยงานแกะสลักปูนขาวอย่างหรูหรา ทั้งยังแต่งเติมลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักปากสอบอยู่ประปราย
รูปร่างประเภทนี้ เจ้าสำนักรุ่นแรกเป็นคนวาดเองกับมือ โดยเรียนรู้มาจากตำราเซียนสวรรค์ประทาน
นอกลายฉลุบนหน้าประดับด้วยหินหยกสีเขียว
ใต้ขั้นบันไดมีต้นไม้เรียงราย กิ่งก้านใบหนาทึบ ใบไผ่เขียวชอุ่ม และหญ้าเกล็ดหอยนับไม่ถ้วน
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เขียน ‘บันทึกสำนักปากสอบ’ จึงทอดถอนใจกล่าวว่า
“หากมีตำหนักเซียนบนสวรรค์จริงๆ เดาว่าคงจะเป็นเช่นนี้…”
แต่ในตำรากลับกล่าวว่า เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง สำนักปากสอบจะเปิดโล่ง
ผู้คนมากมายทั่วสารทิศมาสักการะถวายเครื่องบูชา เครื่องถวายจะถูกนำมาเก็บไว้ในหอคอยผิงเซียง
หอคอยผิงเซียงนับได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่เรียบง่ายที่สุดในสำนักปากสอบแล้ว
สร้างด้วยการเข้าไม้ ปูแผ่นกระเบื้องด้านบนคล้ายกับหอคอยสูงที่สามารถมองเห็นได้ทุกที่ในปัจจุบัน
ทว่าประตูจะเปิดขึ้นทุกๆ ห้าย่างก้าว
ในหอคอยสร้างหอซ้อนกันห้าชั้น
ในตำราไม่ได้อธิบายละเอียด
………………………….
เกาเหรินมองชายชุดฟาง สมองพลันหวนนึกส่วนที่ตนยังสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำอีกหน
“เจ้าต้องการถามสิ่งใด”
ชายชุดฟางเห็นท่าทางลังเลอึกอักของเกาเหรินจึงชิงถามก่อน
“ทุกอย่างที่เขียนใน ‘บันทึกสำนักปากสอบ’ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เกาเหรินกล่าวถาม
“ข้ามาจากนภาแห่งบุ๋น”
ชายชุดฟางกล่าวพลางหัวเราะ
เกาเหรินได้ยินจึงเงียบไป
แม้ว่าชายชุดฟางจะไม่ตอบคำถามของเขาตรงๆ
แต่การกล่าวว่าตนมาจากนภาแห่งบุ๋นก็เป็นการยืนยันความถูกต้องของ ‘บันทึกสำนักปากสอบ’ กลายๆ ไม่ใช่หรือ
“แม่นางน้อยนั่นเป็นคนจากสำนักปากสอบหรือ”
เกาเหรินถามหลังจากเงียบไปสักพัก
“นางเป็นทายาทของผู้ที่เขียน ‘บันทึกสำนักปากสอบ’ ในปีนั้น”
ชายชุดฟางกล่าว
เกาเหรินสูดหายใจลึก
คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปหลายปี สำนักปากสอบจะยังไม่ล้มเลิกไต่สวนเรื่องนี้
“แต่ว่าพวกเจ้าทั้งสองก็ไปไม่ได้เช่นกัน”
ชายชุดฟางชี้จิ้งเหยาและกล่าวต่อทันที
“เพราะเหตุใด”
จิ้งเหยากล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
เขาไม่รู้ว่าสำนักปากสอบคือสิ่งใดย่อมไม่มีความกังวลมากมายเหมือนเกาเหริน
“เพราะข้าไม่รู้ว่าแม่นางน้อยนั่นกล่าวสิ่งใดกับพวกเจ้าไปบ้าง ฉะนั้นต้องตรวจสอบเสียก่อน”
ชายชุดฟางกล่าว
“นางยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด”
จิ้งเหยากล่าว
“ตรวจสอบแล้วจึงจะรู้”
ชายชุดฟางไม่อ่อนข้อให้
“ยิ่งกว่านั้น ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสำนักปากสอบ เจ้าไม่อยากไปหรืออย่างไร”
ชายชุดฟางหัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“มีโอกาสจะให้เจ้าพบกับดาบโค้งแห่งทุ่งหญ้าเช่นกัน เจ้าอยากลองหรือไม่เล่า”
จิ้งเหยากล่าวพลางหัวเราะเช่นกัน
“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนจากราชสำนักทุ่งหญ้า ไม่แปลกใจที่จะโอหังกับสำนักปากสอบเช่นนี้”
ชายชุดฟางถอนหายใจพลางกล่าว
เกาเหรินที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเสื้อของจิ้งเหยา บอกเป็นนัยว่าไม่ควรกระด้างกระเดื่องเกินไป
แต่เรื่องวุ่นวายมาจนถึงขั้นนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดขวางแผนการส่วนตัวของจิ้งเหยาอีกแล้ว
ทว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเกียรติและศักดิ์ศรีของทั้งราชสำนักทุ่งหญ้าต่างหาก
“จริงอยู่ที่ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักปากสอบของเจ้า ข้ารู้เพียงแต่ว่ารุ่งเช้าพรุ่งนี้ ข้าจะข้ามแม่น้ำไปรัฐหง”
จิ้งเหยากล่าว
ครั้นกล่าวจบ ทั้งสองต่างแยกย้ายดื่มสุราและไม่มีการพูดคุยใดอีก
ทว่าเกาเหรินกลับเดินไปมาไม่หยุดเพราะความกังวลใจ