ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 361 หลงเสน่ห์สายลมประจิม-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 361 หลงเสน่ห์สายลมประจิม-1

หลิวรุ่ยอิ่งสะกิดต้นแขนเถ้าแก่เนี้ยเบาๆ

เถ้าแก่เนี้ยส่งเสียงอู้อี้แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ผู้ที่ตื่นนอนกับผู้ที่สร่างเมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผู้ที่ตื่นนอนอาจจะมึนงง แต่ไม่นานก็จะเรียกสติมาได้

ทว่าผู้ที่สร่างเมา สมองจะโล่งขาวโพลน

ในระหว่างที่ขาวโพลนนี้ ทำตามได้เพียงสิ่งที่ร่างกายต้องการเท่านั้น

“น้ำ…”

เถ้าแก่เนี้ยเม้มริมฝีปากแห้งแล้วกล่าว

เสียงของนางน่าฟังมากเป็นทุนเดิม

แต่ตอนนี้เพราะคอแห้งเกินไป เสียงจึงแหบแห้งยิ่งนัก

หลิวรุ่ยอิ่งรินน้ำหนึ่งชามแล้ววางเบื้องหน้านาง

เถ้าแก่เนี้ยใช้สองมือกระดกชามดื่มหมดในคราวเดียว

จวบจนตอนนี้ นางจึงเพ่งสายตามองหลิวรุ่ยอิ่ง

“ชั้นบนยังมีห้องว่างอีกหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ห้องเจ้าเป็นเตียงคู่เชียวนะ!”

เถ้าแก่เนี้ยปรายตามองเยว่ตี๋และพูดขึ้น

หากสตรีผู้หนึ่งพบกับสตรีอีกผู้หนึ่งย่อมเกิดการเปรียบเทียบกัน

หากสองคนแตกต่างกันมากก็ดีไป

แต่ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ หน้าตาและรูปร่างของเถ้าแก่เนี้ยกลับทัดเทียมกับเยว่ตี๋

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะยอมได้อย่างไร

เถ้าแก่เนี้ยดันชามแล้วลุกขึ้นยืน

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นนางจงใจยืดหลังตรงเพื่อให้หน้าอกของตนเด่นชัดขึ้นมาเล็กน้อย

เยว่ตี๋ก็เป็นสตรี

ย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของเถ้าแก่เนี้ย

แต่นางคร้านเอ่ยปากอธิบาย

การอธิบายมักนำไปสู่การโต้แย้งไปมา

สู้ปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปเช่นนี้ดีกว่า

ถึงอย่างไรการเข้าใจผิดก็ไม่อาจสร้างผลกระทบที่แท้จริงได้

แต่ในใจหลิวรุ่ยอิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง…

จริงอยู่ที่ว่าเตียงคู่นอนได้สองคน

แต่ตอนนี้เตียงของเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็นอนไม่ได้น่ะสิ

“ห้องว่างย่อมมี แต่สองร้อยตำลึงต่อคืน”

เถ้าแก่เนี้ยกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะยื่นข้อเสนอ ทว่าเห็นเยว่ตี๋วางแท่งเงินสองร้อยตำลึงลงบนโต๊ะเสียก่อน

เถ้าแก่เนี้ยเห็นแท่งเงินจึงแย้มยิ้มเบาๆ แล้วเดินไปหยิบมัน

แท่งเงินสองร้อยตำลึงพลันหายวับไป

“ห้องตรงข้ามเจ้ายังว่างอยู่”

เถ้าแก่เนี้ยกล่าว

จากนั้นเดินไปทางด้านหลังร้านจนหายลับไป

หลิวรุ่ยอิ่งถือสัมภาระของเยว่ตี๋แล้วขึ้นไปชั้นบนกับนาง

และเดินเข้าไปในห้องว่างพร้อมกับเยว่ตี๋

“เสี่ยวจีหลิงอยู่บนเตียงเจ้าหรือ”

เยว่ตี๋เอ่ยถาม

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

“เจ้าไม่ควรช่วยเขา …”

เยว่ตี๋กล่าวต่อทันที

“เขามาเอง ตอนที่ข้าเจอเขา เขาใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เขาไม่พูดสิ่งใดกับเจ้าเลยหรือ”

เยว่ตี๋ถาม

“ไม่ขอรับ…เขาขอดื่มสุราจากข้า”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เช่นนั้นเขาใกล้จะตายจริงๆ นั่นแหละ”

เยว่ตี๋กล่าว

คำพูดนี้อยู่เหนือความคาดหมายของหลิวรุ่ยอิ่ง

เดิมทีเขานึกว่าเยว่ตี๋ได้ยินว่าเสี่ยวจีหลิงยังดื่มสุราได้จะตำหนิตนมากขึ้น

คิดไม่ถึงว่าจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

“สามารถดื่มสุราได้ไม่ใช่ว่ามีชีวิตชีวาหรอกหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“สำหรับผู้อื่นเป็นเช่นนี้จริง แต่สำหรับเสี่ยวจีหลิงแล้ว นี่นับว่าเป็นคำสั่งเสียแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนจะผ่านมันไปได้หรือไม่ ฉะนั้นจึงอยากดื่มสุราอีกสักกา หากผ่านมันไปไม่ได้ก็จะเป็นกาสุดท้ายอย่างไรเล่า”

เยว่ตี๋กล่าว

“หากผ่านมันไปได้แล้วเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ผ่านไปได้ก็เป็นเพียงการดื่มสุราทั่วไปน่ะสิ ถึงอย่างไรเขาก็ขาดสุราไม่ได้ ทุกสิ่งเป็นไปตามปกติก็เท่านั้น”

เยว่ตี๋กล่าว

“มีดเล่มนี้แตกต่างกันอย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อทันที

แต่เขากำลังพูดถึงมีดที่สามารถทำให้คนกลายเป็นเถ้าธุลีทีละน้อย

“คนของรัฐหงในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องต่างก็สังเกตเห็นแล้ว พวกเราไม่ต้องกังวล”

เยว่ตี๋กล่าว

“แต่ว่ามีดเล่มนี้คร่าชีวิตคนของเรา”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“หน้าที่ของบางคนคือการเสียสละ หาได้มีไว้ทำสิ่งใด”

เยว่ตี๋กล่าว

“นี่มันตรรกะใดกัน…”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าคล้อยตาม

ในใจของเขา ทุกคนและทุกชีวิตล้วนสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่คำนึงลำดับความสำคัญ

แม้ว่าคนทั่วไปจะเรียบง่ายธรรมดาเหมือนกับน้ำที่สามารถพบเจอได้ทุกที่

บางคนก็เป็นเหมือนสุรา จำต้องบ่มแก่นแท้เป็นเวลานานจึงจะสำเร็จ

หากไม่มีน้ำก็บ่มสุราออกมาไม่ได้เช่นกัน

สุดท้ายแล้วสุราก็เกิดมาจากน้ำอยู่ดี

คนดั่งสุราก็เป็นคนทั่วไปมาก่อน

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคนทั่วไปถนอมชีวิตของตนอยู่เสมอ

ใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงประหนึ่งเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

กระทำทุกสิ่งล้วนระมัดระวังตัว

ทว่าคนดั่งสุรา แม้จะไม่เกรงกลัวความตาย แต่ก็มีความรักใคร่จริงใจ สุขใจยินดี รวมถึงบุญคุณความแค้น

สุดท้ายแล้วน้ำที่ถูกนำไปบ่มสุราก็มีน้อยยิ่งนัก

ฉะนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น้ำส่วนใหญ่ปรารถนาแต่ไม่สามารถเรียกร้องได้

น้ำสามารถบรรจุในภาชนะหลากหลายประเภท

ก็เหมือนกับกฎเกณฑ์มากมายในชีวิต

คนทั่วไปมักจะถูกกฎเกณฑ์เหล่านี้ผูกมัดไว้

แต่สุราสามารถหลีกเลี่ยงได้

ไม่ว่าจะใช้จอกหรือใช้ชาม หรือจะก้มดื่มจากถังสุราโดยตรง

ล้วนไม่มีผู้ใดชี้นิ้วสั่ง

กระทั่งยังยกย่องด้วยคำว่า ‘ดื่มสุราเก่ง!’

แต่ ‘ดื่มสุราเก่ง’ นี้ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำนับไม่ถ้วน

จากคำกล่าวของเยว่ตี๋ ผู้ที่เสียชีวิตในอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินคือน้ำที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสุรา

น่าเสียดายเขาล้มเหลวแล้ว

สุราไหนี้เสียแล้ว

ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย

ใช่ว่าสุราทุกไหจะสำเร็จได้

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสุราไหหนึ่งจะดีหรือเสียจนกว่าจะดึงผนึกโคลนออก

ทว่ามีบางครั้ง ก่อนที่สุราจะบ่มสำเร็จ แม้แต่ไหสุราก็แตกไปก่อนเสียแล้ว

กล่าวเช่นนี้ออกจะกล้าหาญเกินไปบ้าง

แต่ภายใต้ผืนดินทุกตารางในโลกมนุษย์แสนกว้างใหญ่ใบนี้ ล้วนเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและอุบัติเหตุที่ไม่รู้ว่าอยู่ลึกลงไปกี่ฉื่อ

ในปัจจุบันนี้เป็นเพียงการเพิ่มเติมบางสิ่งเท่านั้น

อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาของเยว่ตี๋

หากว่าตามหลักแล้วหลิวรุ่ยอิ่งควรจะเข้าใจง่ายจึงจะถูก

เพราะนับตั้งแต่เขาเกิดมาก็แตกต่างโดยสิ้นเชิงและไร้ซึ่งความกังวล

อาจจะมีสหายอยู่สองสามคน แต่ไม่มีญาติทางสายเลือดแม้แต่คนเดียว

บางครั้งสายเลือดพรรค์นี้ก็ล้ำลึกนัก

ผู้ที่มีสายเลือดไหลเวียนเช่นเดียวกับเจ้าอาจไม่เข้าใจเจ้าอย่างถ่องแท้

แต่ในใจของตนมักจะถือว่านี่เป็นอุปสรรคสุดท้ายเสมอ

เยว่ตี๋ไม่ปริปากตอบคำถามหลิวรุ่ยอิ่ง

เพราะคำถามนี้ไร้คำอธิบาย

บ่มสุราต้องใช้เวลา

ผู้คนก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจปัญหาหนึ่ง

แน่นอนว่าเยว่ตี๋สามารถบอกเหตุผลกับเขาไปตรงๆ ได้

แต่นางไม่ต้องการทำเช่นนี้

การดึงต้นกล้าให้โตย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี

หากเพียงอธิบายตรรกะเหตุผล

เกรงว่าเยว่ตี๋จะคุยกับหลิวรุ่ยอิ่งได้ถึงสามวันสามคืน

ต่อให้ดื่มสุราของที่นี่จนเกลี้ยงก็ยังอธิบายเหตุผลไม่จบไม่สิ้นเสียที

หลิวรุ่ยอิ่งเงียบไป

เยว่ตี๋ก็ไม่รีบร้อน

อย่างน้อยก็ไม่รีบเข้านอน

ด้วยระดับพลังวิถียุทธ์ของนาง ปรับลมหายใจอินหยางสองขั้วหนึ่งชั่วยามทุกวันก็เพียงพอแล้ว

“เมื่อครู่ท่านกล่าวถึงรัฐหงหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนเรื่องและถามขึ้น

สองอาณาจักรอ๋องแห่งพายัพต่างก็มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิถียุทธ์

รัฐเยวี่ยในอาณาจักรติ้งซีอ๋องและรัฐหงในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ผู้ฝึกกระบี่แห่งรัฐเยวี่ยชื่อเสียงก้องโลก

มือดาบแห่งรัฐหงเลื่องลือทั่วยุทธภพ

ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอก

จึงรีบร้อนออกไปดูและเห็นเสี่ยวจีหลิงยืนอยู่หน้าประตู

“เจ้าลุกขึ้นมาทำไม”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ข้าไม่ชอบเอาแต่นอนอุดอู้”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“ตอนนี้เจ้าสามารถเหาะเหินได้งั้นหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะพลางเอ่ยถาม

“จำต้องเหาะเหินให้ได้ เพียงแต่เหาะไม่สูงและเหินไม่เร็วเท่านั้น”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“เจ้าเตรียมจะโยนตนเองเข้ากับดักอีกหนหรือ เจ้าเหลือไหล่เพียงข้างเดียวแล้วนี่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ตราบใดที่ยังมีไหล่ปกติอยู่ข้างหนึ่ง ข้าก็ยกแขนขึ้น ยกสุราได้และชูจอกได้เช่นกัน หาใช่เรื่องใหญ่”

เสี่ยวจีหลิงกล่าวอย่างผ่อนคลาย

“ไหล่ที่แหลกฟื้นตัวได้เสมอ แต่เมื่อใดที่จิตใจจมดิ่ง กว่าจะคิดได้กลับยากยิ่งนัก ฉะนั้นข้าจึงต้องเดินเหิน”

เสี่ยวจีหลิงกล่าวต่อทันที

“รักษาตัว!”

หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือให้เสี่ยวจีหลิงแล้วกล่าว

“อีกไม่นานก็ได้พบกัน ไม่จำเป็นต้องทางการเพียงนี้! อีกอย่างข้ายังติดหนี้สุราหนึ่งกาและเตียงหนึ่งหลังต่อเจ้าด้วย”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

“เช่นนั้นเจ้าพร้อมจะคืนให้เมื่อใด”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ยามที่เจ้าขาดสุราและต้องการนอนที่สุด ข้าก็จะคืนให้”

เสี่ยวจีหลิงกล่าว

ทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นสู้ให้ความช่วยเหลือยามจำเป็นจะดีกว่า

เรื่องหัวถึงหมอนแล้วง่วงนอน ช่างเป็นสิ่งที่พบเจอได้แต่ไม่อาจเรียกร้องได้จริงๆ…

หากเสี่ยวจีหลิงสามารถทำได้เช่นนี้จริงๆ หลิวรุ่ยอิ่งคงต้องเตรียมการบางอย่างให้ตนเองด้วยเช่นกัน

“เขาไปแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกลับห้องของเยว่ตี๋แล้วกล่าว

“เขาไม่ได้ไป”

เยวี่ตี๋ส่ายศีรษะ

“จริงที่เขาไม่มีทางไปไกลนัก”

หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจพลางกล่าว

ผู้ที่อ่านนิทานก็เหมือนนักแสดงบนเวที

ทันทีที่นักแสดงเริ่มอ้าปากร้อง ไม่ว่าจะมีคนหรือไม่ต่างก็ต้องร้องจนจบ

ไม่เพียงแต่ร้องให้ผู้คนฟัง ทว่ายังร้องให้ภูตผีวิญญาณทุกสารทิศ

ทันทีที่ผู้อ่านนิทานเริ่มอ่านหัวเรื่องก็จะต้องอ่านต่อไป

ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนดื่มสุราครึ่งทาง กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทรมานอย่างยิ่ง

เสี่ยวจีหลิงก็เป็นคนเช่นนี้

อ่านนิทานไม่ได้ ชีวิตของเขาก็ไร้ความหมาย

เช่นเดียวกันนั้นเพื่อที่จะอ่านนิทานดีให้จบ ก็สามารถสละชีวิตของตนได้อีกด้วย

‘ปัง!’

หน้าต่างในห้องถูกสายลมพัดเปิดออกกะทันหัน

ภายนอกเกิดพายุทรายขึ้นอีกระลอก

หลิวรุ่ยอิ่งโล่งใจเล็กน้อย

แม้จะมาที่นี่ได้ไม่นานนัก แต่เขาพูดจาเหมือนกับคนงานในเหมืองแร่เหล่านั้นจริงๆ

อีกทั้งยังคุ้นเคยกับวันเวลาที่พายุทรายมาเยือนพร้อมกัน

ค่ำคืนที่ไร้พายุทรายมันเงียบเหงาเกินไป

ทว่ามันกลับทำให้เขากังวลเล็กน้อย

ด้านนอกมีเสียงดังขึ้นจากชั้นบนอีกครั้ง

หลิวรุ่ยอิ่งคุ้นกับฝีเท้านี้ยิ่งนัก

มันเป็นของเถ้าแก่เนี้ย

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท