บทที่ 1215 ตอนพิเศษ (83.2)
‘ชูอี’ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยส่องกระจก
ป้าหลินมองไม่เห็นจึงไม่เคยส่องกระจกเช่นกัน
“ติงเซียง เจ้าไปเอากระจกจากบ้านเรามา”
ไม่นานติงเซียงก็กลับมาพร้อมกระจก
เซี่ยเฉิงจิ่นมองดูตนเองในกระจก
อัปลักษณ์ยิ่ง!
แน่นอนว่ารูปโฉมของเขาตอนนี้ แม้กระทั่งตนเองมองยังต้องฝันร้าย
เขามองลู่จื่ออวิ๋นตรงหน้า
ลู่จื่ออวิ๋นคิดว่าปฏิกิริยาของ ‘ชูอี’ แปลกไป
หรือว่าเขาเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงยิ่งหวาดกลัวแล้ว?
“พี่ใหญ่ชูอี ท่านยังสบายดีกระมัง?”
“ดี”
ช่างเถิด อย่าพึ่งบอกนางว่าความทรงจำของเขาฟื้นคืนมาแล้วจะดีกว่า
ดินถล่มครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุ ทว่าในความคิดเขาเป็นเพราะสวรรค์ทนมองไม่ได้ จึงถือโอกาสนี้ลงโทษเขา ให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมา ไม่เช่นนั้นฝนไม่ได้ตก อากาศก็กำลังดี จักเกิดดินถล่มขึ้นได้อย่างไร?
“พวกคุณชายหลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าให้ไป๋จื่อไปดูแล้ว พวกเขาไม่เป็นไร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ได้ยินไป๋จื่อบอกว่า คุณชายหลี่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน รอให้เขาลุกจากเตียงได้แล้วจะมาหาท่าน”
“พวกเขาไม่เป็นไรก็ดี”
“คุณชายหลี่บอกว่าท่านตัดสินใจได้ถูกต้องในช่วงเวลาวิกฤติ เลือกตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดให้พวกเขารอคอยความช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นคงถูกหินด้านบนทับ แม้ไม่ตายก็ต้องพิการ”
หลี่หยวนจงเล่าว่าตอนที่ก้อนหินหล่นลงมา ‘ชูอี’ ทำให้ก้อนหินเหล่านั้นเบี่ยงออกไป พวกเขาจึงไม่ถูกก้อนหินกระแทกตรง ๆ เพียงแค่ถูกขังไว้ข้างใน นับว่าโชคดีแล้ว
“ชูอีคงจะหิวแล้วเป็นแน่ ข้าทำโจ๊กมา จะไปตักมาให้เขากินสักถ้วยประเดี๋ยวนี้” ป้าหลินคลำทางลุกขึ้นยืน
“ให้ติงเซียงไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “พี่ใหญ่ชูอีพึ่งตื่น ท่านอยู่กับเขาที่นี่เถิด!”
เซี่ยเฉิงจิ่นหันไปมองเงาร่างของลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นแต่งกายเรียบง่าย บนศีรษะมีเพียงปิ่นปักผมเรียบ ๆ อันหนึ่ง ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด
นางรินน้ำถ้วยหนึ่งส่งให้เขา
เซี่ยเฉิงจิ่นลุกขึ้นนั่ง
“ท่านอย่าขยับ” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ท่านหมอบอกว่าแม้ท่านจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ต้องพักผ่อน ศีรษะของท่านถูกกระแทก ไม่รู้ว่าจะมีอาการอื่นใดอีกหรือไม่ สมองไม่เหมือนกับที่อื่น หากกระทบกระเทือนแล้ว เช่นนั้นท่านคงจะกลายเป็นเจ้าโง่น้อยผู้หนึ่งกระมัง!”
“ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ก็ช่วยทุกคนออกมาได้ ท่านจะต้องออกหน้าช่วยไว้มากเป็นแน่” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ชีวิตของข้าเป็นท่านที่ช่วยไว้”
“เช่นนั้นท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป รอข้ามารับ”
ป้าหลินหัวเราะ “พวกเจ้าคนหนุ่มสาว พูดจาแปลกพิลึกเสียจริง”
‘ชูอี’ ไม่เป็นอะไรแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นจึงพาสาวใช้จากไป
เซี่ยเฉิงจิ่นมองตามหลังนางจนหายลับไปจึงเบือนหน้าไปทางอื่น
“คนเขาไปแล้ว เจ้ายังจะมองอะไร?” ท่านป้าหลินหยิบโจ๊กขึ้นมา “มากินโจ๊กเถอะ! มีเพียงดูแลร่างกายให้ดีก่อน ถึงตอนนั้นอยากมองผู้ใดก็มองผู้นั้นได้”
“ท่านแม่รู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังมองนาง?”
“ตาแม่บอด แต่ใจแม่ยังสว่างไสวอยู่!” ป้าหลินคลำไปข้าง ๆ เตียง ในที่สุดก็พบแขนของเซี่ยเฉิงจิ่นจึงตบหลังมือเขาเบา ๆ แล้วเอ่ย “เจ้าซาบซึ้งใจเป็นพิเศษใช่หรือไม่ หลังจากได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเจ้าทางนั้น นางก็รีบขึ้นเขาไปโดยเร็วที่สุด”
“ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “เพียงแต่ท่านแม่ ตอนนี้ข้าไม่มีแรงจะพูดอะไรแล้ว รอข้ารักษาหายดีค่อยว่ากันเถิด”
วันเวลาของป้าหลินเหลือไม่มากแล้ว ในเมื่อเขาได้เป็นชูอีบุตรชายของนาง เช่นนั้นก็ต้องทำหน้าที่กตัญญูต่อไปให้ดี ดังนั้นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเซี่ยเฉิงจิ่นตอนนี้คืออยู่เคียงข้างป้าหลิน ใช้เวลาห้วงสุดท้ายด้วยกันกับนาง
“ครั้งนี้ข้าละกลัวจริง ๆ รอเจ้าหายดีแล้ว ต่อไปไม่ต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์อีก เงินที่หามาก่อนหน้านี้เพียงพอแล้ว เราสองคนแม่ลูกไม่ต้องการอะไรมาก หากเจ้าอยู่นิ่งไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นก็เข้าเมืองไปหางานที่ปลอดภัยทำ เจ้ามีพละกำลัง ไม่สู้ไปฝึกงานที่ร้านช่างตีเหล็ก รอเจ้าฝึกฝนสองสามปีก็เป็นนายตนเองได้ เช่นนี้เจ้าก็จะสามารถเก็บเงินเปิดร้านเองได้แล้ว”
“ขอรับ”
ลู่จื่ออวิ๋นกลับมาบ้านข้าง ๆ แต่นางมักจะคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเซี่ยเฉิงจิ่น
“ติงเซียง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เขาแปลก ๆ ไปหน่อย?”
“ไม่นะเจ้าคะ!” ติงเซียเอ่ย “เป็นเพราะรอดพ้นความตายมาได้หวุดหวิด ดังนั้นอารมณ์จึงไม่สู้ดีหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อฟื้นขึ้นมาคือการส่องกระจก นี่ไม่แปลกไปหน่อยหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ส่องกระจกมานานแล้ว ดูจากสถานการณ์ตอนนั้นของเขา หรือว่าจะยังกังวลว่าโฉมหน้าตนจะเสียหายไปมากกว่านี้?”
“ก่อนหน้านี้ท่านเขยหล่อเหลา บัดนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำ แต่เนื้อแท้ของเขายังคงอยู่ภายในใจ เป็นเรื่องปกติที่จะใส่ใจกับรูปร่างหน้าตาไม่ใช่หรือเจ้าคะ!” ไป๋จื่อยกอาหารเข้ามา “คุณหนู ท่านเขยไม่เป็นไรก็ดีแล้ว จากที่ได้ยินจากท่านหมอ เว้นเสียแต่อาการบาดเจ็บที่ศีรษะซึ่งน่าเป็นห่วง อย่างอื่นล้วนอยู่ดี ในเมื่อเป็นการตื่นตกใจเกินเหตุ ท่านก็อย่าได้กังวลเลยนะเจ้าคะ รีบมาทานข้าวหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ”
ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นพ้องต้องกัน
ป้าหลินทางนั้นกลับมีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย
เซี่ยเฉิงจิ่นมีไข้แล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นให้สาวใช้ทั้งสองเทน้ำร้อนใส่อ่าง จากนั้นก็รวมพลังกันโยนเขาลงอ่างอาบน้ำอุ่น ๆ เพื่อคลายความร้อน
ไป๋จื่อกับติงเซียงหลบอยู่นอกประตู
“คุณหนู หากพี่ใหญ่ชูอีอาบน้ำเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกพวกเรานะเจ้าคะ พวกเราจะช่วยท่านพาเขาขึ้นมา”
“ได้”
ลู่จื่ออวิ๋นถอดเสื้อผ้าของเซี่ยเฉิงจิ่นออก
ภายใต้เสื้อผ้า ร่างกายที่แข็งแกร่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ คงเป็นเรือนร่างที่แข็งแกร่งขึ้น ผิวสีเข้ม ดูสง่างามน้อยลงแต่กลับเต็มไปด้วยความกำยำล่ำสัน
ลู่จื่ออวิ๋นใช้ผ้าเช็ดแผ่นอกเขา
“จริง ๆ เลย ช่วงนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหรือ? เขาลูกนั้นขึ้นไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกอย่าง ถล่มยามใดไม่ถล่ม กลับถล่มมาตอนที่พวกท่านอยู่ที่นั่นพอดิบพอดี”
เซี่ยเฉิงจิ่นหน้าแดง ลมหายใจที่ปล่อยออกมาก็ร้อนผ่าว
ลู่จื่ออวิ๋นเช็ดตัวให้พลางป้อนยาอีกเม็ดเข้าปากเขา
เซี่ยเฉิงจิ่นจับมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ฮูหยิน…”
“ข้าอยู่นี่”
“ฮูหยิน…” เซี่ยเฉิงจิ่นลืมตาขึ้นมาแล้วสวมกอดลู่จื่ออวิ๋น “ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก…”
ลู่จื่ออวิ๋นตัวสั่น มองเซี่ยเฉิงจิ่นอย่างคาดหวัง “ท่านพี่…”
เซี่ยเฉิงจิ่นหลับตาลงอีกครั้ง
ลู่จื่ออวิ๋นพูดด้วยความโกรธว่า “ข้านึกว่าท่านฟื้นความจำแล้วเสียอีก ที่แท้ก็เพ้อเพราะฤทธิ์ไข้”
ถึงแม้คำพูดนั้นจะออกมาเพราะเพ้อด้วยฤทธิ์ไข้ แต่ก็เห็นได้ว่าส่วนลึกในความทรงจำของเซี่ยเฉิงจิ่น เขายังคงจดจำภรรยาผู้นี้ได้ ยังคิดถึงนาง
ลู่จื่ออวิ๋นแตะแก้มตอบของเขา “ท่านหนอท่าน ถึงแม้ความทรงจำจะยังไม่ฟื้น แต่ข้าไม่มีทางปล่อยท่านไปแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะทายารักษาใบหน้าให้ท่าน ความเจ็บปวดบนใบหน้าท่านจะหายไป รอยแผลเป็นก็เช่นกัน หากได้ความทรงจำกลับมาแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องโมโหตายที่เห็นใบหน้าตนเป็นเช่นนั้น”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ติงเซียงกับไป๋จื่อก็เข้ามาช่วยแบกคน
ลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาอีกครั้ง
แม้ว่าไป๋จื่อและติงเซียงอยากจะช่วย แต่ลู่จื่ออวิ๋นก็ไม่ปล่อยให้พวกนางทำ
คุณหนูน่ะยุ่งยากที่สุดแล้ว นางไม่อนุญาตให้สตรีอื่นแตะต้องตัวท่านเขยแม้แต่ปลายก้อย!