บทที่ 1218 ตอนพิเศษ (85.1)
มู่ซืออวี่หัวเราะ “ฝันไปเถอะ”
ลู่อี้คว้ามือนางมากุมพลางพูดจาโน้มน้าว “ถอยคนละก้าว เปิดเพียงครึ่งวันเป็นอย่างไร?”
ลู่เยี่ยทนเห็นท่าทาง ‘ถ่อมตน’ ของท่านอ๋องไม่ได้ เห็นคราใดก็ให้รู้สึกขนลุกทุกครั้ง เขาถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เหลือพื้นที่ให้เจ้านายทั้งสองเกี้ยวพาราสีกัน
“บุรุษเหล่านั้นที่บอกว่าภรรยาไม่อยากกลับบ้าน พวกเขาควรถามตนเองว่า ไยภรรยาจึงไม่อยากกลับบ้าน” มู่ซืออวี่กล่าว “หากบุรุษรักภรรยาและลูก ๆ ของตนเอง ภรรยาพวกเขาคงจะเห็นใจพวกเขาแทบไม่ทัน จักไม่อยากกลับบ้านได้อย่างไร?”
“ได้ ๆ เจ้าพูดถูกแล้ว” ลู่อี้กล่าว “พระชายาอย่าได้โมโห เจ้าชอบทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
“อย่าได้กล่าวว่าข้าไร้เหตุไร้ผล ร้านไพ่นกกระจอกของเรามีไว้สำหรับสมาชิกเท่านั้น อีกทั้งยังรู้สถานการณ์ในครอบครัวของแต่ละคนเป็นอย่างดี หากมีสตรีเกียจคร้านเช่นนั้นจริง ๆ เดิมทีก็เข้าร้านข้าไม่ได้แม้แต่น้อย”
มู่ซืออวี่เปิดร้านไพ่นกกระจอก เริ่มแรกเพราะรู้สึกเบื่อเกินไป อยากหาเพื่อนเล่นไพ่สักสองสามคนมารื้อฟื้นความจำ ภายหลังพบว่ามันกลายเป็นสถานที่ให้สตรีได้ผ่อนคลายจึงเริ่มขยับขยายกิจการใหญ่โต มีคนมามากขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่า คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านไพ่นกกระจอก พวกนางเพียงแค่คิดว่ามู่ซืออวี่เป็นคนฉลาดและร่าเริงจึงมักจะชอบเล่าปัญหาหนักใจให้ฟังเพื่อให้นางช่วยคิดหาทางออก
บรรดาสตรีไม่รู้ว่าพี่หญิงที่ตนสนิทเป็นผู้ใด ทว่าขุนนางท้องถิ่นรู้น่ะซี! ไม่ว่าลู่อี้กับมู่ซืออวี่จะถ่อมตนเพียงใด ผู้ที่มีสถานะสูงเช่นนี้มาปรากฏตัวในเขตปกครองของพวกเขาจักไม่มีคนเตือนได้อย่างไร?
ลู่อี้ไม่อยากให้ ‘เรื่องเล็กน้อย’ เหล่านี้ก่อกวนให้มู่ซืออวี่ไม่มีความสุข นอกจากนี้ที่นางกล่าวก็มีเหตุผล ในเมื่อบุรุษเหล่านั้นล้วนเป็นพวกไม่รู้จักรักถนอมภรรยาของตน ปล่อยให้เรือนหลังของพวกเขาไฟไหม้ก็ไม่มีอะไรไม่ดี
เขากอดมู่ซืออวี่พลางเอ่ย “วันนี้พวกเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ! มีร้านใหม่เพิ่งมาเปิด รสชาติไม่เลว จะได้ไปลองพอดี”
“ได้” มู่ซืออวี่กล่าว “จริงสิ อย่าลืมตอบจดหมายไปหาพวกชิงเอ๋อร์ พวกเราต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะกลับไปได้ แต่ข้าชักจะอยากรู้แล้วสิว่าฉาวจิ่งพาแม่นางเช่นไรมา บอกให้พวกเขาวาดรูปส่งมาเถอะ”
ลู่อี้ยิ้มอย่างจนปัญญา “ได้ ทุกสิ่งฟังพระชายา”
อาหารมื้อนี้กลับยังไม่ได้กิน
เมื่อพวกเขามาถึงภัตตาคารแห่งใหม่ ลูกน้องที่ลู่เยี่ยเพิ่งฝึกฝนก็เดินเข้ามารายงานกับมู่ซืออวี่และลู่อี้ที่กำลังจะเข้าไปในภัตตาคาร “นายท่าน ฮูหยิน ร้านไพ่นกกระจอกถูกทุบแล้วขอรับ”
ลู่อี้ลอบกรีดร้องในใจว่าท่าไม่ดี
เขาหันกลับไปมองมู่ซืออวี่ ดังคาดใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดำทะมึนแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่อี้สร้างภาพข่มขวัญก่อน
คนที่ชื่อลู่ชิวผู้นี้เป็นลูกน้องใหม่ ถูกคัดเลือกมาจากในท้องที่จึงไม่รู้ที่มาของสองสามีภรรยา ยามนี้เห็นคนทุบร้านจึงกล้าแค่เพียงมารายงานข่าวเท่านั้น
“บุรุษผู้หนึ่งที่ชื่อจางหลินเล่าว่า ภรรยาเขาหายตัวไปร้านไพ่นกกระจอก ไม่ได้กลับบ้าน ต้องการตามหาคนจากเรา พวกเราให้เขาไปหาแล้ว กลับไม่พบภรรยาเขา เขาไม่ยอม อ้างว่าตนเองเมาแล้วทุบข้าวของในร้านเรา ทั้งยังทำให้คนงานของเราบาดเจ็บหลายคนขอรับ”
“ลู่เยี่ยเล่า?”
“อาจารย์เพิ่งออกไปทำธุระขอรับ”
ลู่อี้เอ่ยกับมู่ซืออวี่ “ข้าจะไปจัดการ”
“ในเมื่อเป็นร้านที่ข้าเปิด เช่นนั้นก็ให้ข้าไปดูเถิด” มู่ซืออวี่ขึ้นม้าของลู่ชิว ห้อตะบึงออกไปร้านไพ่นกกระจอกอย่างรวดเร็ว
ลู่อี้หันกลับไปมองลู่ชิว “มีม้าเพียงตัวเดียวหรือ?”
ลู่ชิวเอ่ย “ข้าน้อยขี่ม้าเพียงตัวเดียวขอรับ”
ลู่อี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่แท้ลู่เยี่ยเห็นอะไรในตัวเจ้ากันแน่?”
ลู่ชิวเกาหัวแล้วตอบอย่างอาย ๆ “ท่านอาจารย์บอกว่า ข้าน้อยซื่อสัตย์ไว้ใจได้ขอรับ”
ลู่อี้ส่ายหน้า จากนั้นก็ใช้กำลังขาไล่ตามไป
ลู่ชิวรีบตามลู่อี้ไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ฝีมือลู่อี้ เด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งจะตามทันได้อย่างไร? หลังจากนั้นไม่นาน ลู่ชิวก็ทำได้เพียงมองร่างของลู่อี้กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ หายไปในที่สุด
มู่ซืออวี่ควบม้ามาถึงร้านไพ่นกกระจอก เห็นผู้คนมากมายล้อมอยู่รอบทางเข้าร้าน อีกทั้งข้างในยังมีเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงด้วย
“ขอทางหน่อย”
มู่ซืออวี่ปรากฏตัวขึ้น หลาย ๆ คนจำได้ว่านางเป็นเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่จึงรีบหลีกทางให้
นางเห็นชายผู้หนึ่งถูกมัดไว้ มีคนงานหลายคนได้รับบาดเจ็บ
“เถ้าแก่เนี้ย ในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว”
มู่ซืออวี่มองคนขี้เมาที่ดิ้นพล่านเหมือนตะขาบแล้วถาม “รายงานทางการแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่ได้รายงานขอรับ”
“มีคนมาก่อเรื่อง ขั้นแรกไม่ใช่ควรแจ้งทางการหรือ?” มู่ซืออวี่มองคนงานที่อยู่ข้าง ๆ “หรือคิดว่าข้าพูดคุยด้วยง่าย?”
“ไม่ได้ขอรับ เถ้าแก่เนี้ย พวกข้าจะแจ้งทางการประเดี๋ยวนี้”
มู่ซืออวี่มักจะยิ้มแย้มและใจดีกับทุกคน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนก่อเรื่อง คนงานย่อมไม่รู้ท่าทีของนางอย่างยากที่จะเลี่ยง พวกเขาจึงรอให้นางมาตัดสินใจ
“ถุ้ย ร้านไพ่นกกระจอกของพวกเจ้าเป็นสถานที่อะไรกัน? ข้าว่าคงเป็นเพียงสถานที่ไม่เข้าท่าที่หนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญในการหลอกล่อสตรี” ชายผู้นั้นยังคงกล่าววาจาถากถางอย่างรุนแรง “ภรรยาของข้าหายไป พวกเจ้าขายภรรยาข้าไปแล้วใช่หรือไม่!”
“ภรรยาท่านใช่แซ่อู๋ ชื่ออู๋ซานเหนียงจื่อหรือไม่?” มู่ซืออวี่นั่งลง เอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระ
“ใช่! เจ้ายอมรับแล้วหรือ?” แววตาของชายผู้นั้นเกรี้ยวกราด “ภรรยาข้าเป็นเจ้าซ่อนเอาไว้ใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้น นี่ก็สามวันแล้ว นางจะไม่กลับมาได้อย่างไร? นางอยู่ที่นี่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เดิมทีก็ไม่มีผู้อื่นให้พึ่งพิง”
“อู๋ซานเหนียงจื่อพบกับท่านตอนที่อายุได้สิบห้าปี ยามนั้นนางยังเป็นสาวเก็บชาอย่างไร้กังวล ท่านหลอกล่อนางด้วยสายตารักใคร่ลึกซึ้งให้นางแต่งออกมาไกลบ้าน เพียงแต่เมื่อแต่งออกมาแล้ว นางถึงได้รู้ว่าทุกอย่างที่ท่านบอกล้วนเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วที่บ้านท่านยังมีภรรยาเดิมที่ไม่อาจให้กำเนิดลูกได้ เป็นเพราะท่านทุบตีภรรยาผู้นั้นมานาน นางถึงมีร่างกายอ่อนแอ เมื่อท่านพบกับอู๋ซานเหนียงจื่อที่ทั้งเยาว์วัยและสะสวยจึงหลอกนางกลับมา”
“ท่านขังนางไว้ในห้อง บังคับนางให้อยู่มีสัมพันธ์กับท่าน ภรรยาผู้นั้นของท่านเห็นว่านางน่าสงสารจึงแอบปล่อยนางไป เมื่อท่านรู้เข้าจึงตามจับนางกลับมา มิหนำซ้ำยังทุบตีภรรยาของท่านอย่างรุนแรง ภายหลังไม่ได้รับการรักษาจึงเสียชีวิตไป ทั้งหมดที่ข้ากล่าวมานี้มีที่ใดผิดหรือไม่?”
ชายผู้นั้นชื่อจางหลิน
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหงื่อเย็นก็หยดลงมาจากหน้าผากของเขา
ในคราวเดียวกัน เขาก็รู้สึกเกลียดชังอู๋ซานเหนียงจื่ออยู่ในใจ
นังแพศยาผู้นั้นไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่จริง ๆ ถึงกับเรื่องเก่าเก็บพวกนั้นรื้อฟื้นขึ้นมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร เจ้ามีหลักฐานหรือ? หากไม่มีหลักฐาน เจ้าก็อย่าได้คิดจะใส่ความข้า” จางหลินกล่าวอย่างถือดี
“คนของทางการมาหรือยัง?” มู่ซืออวี่ถามคนงานที่อยู่ข้างนอก
คนงานเหล่านี้ใช้การไม่ได้ ขี้ขลาดเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม คราวนี้นางกับลู่อี้พาผู้คุ้มกันลับออกมาด้วยเพียงสิบคน แบ่งห้าคนไปปกป้องลู่จื่ออวิ๋น ข้างกายมีเพียงห้าคน เดิมทีก็ใช้สอยไม่พอแม้แต่น้อย
ผู้คุ้มกันลับจะใช้ช่วงเวลาวิกฤตเท่านั้น คนทำงานจิปาถะปกติล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ในเมื่อใช้การไม่ได้จึงต้องรับสมัครคนใหม่ อย่างไรบ่าวรับใช้เหล่านี้ก็ไม่รู้ตัวตนของพวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเท่าใดนัก
คนของทางการมาถึงแล้ว…