ตอนที่ 470 หอสมุทรเร้นคันฉ่อง
จูหยวนจื่อมองมังกรเจียวตัวนี้คราหนึ่ง
“ทำไม เจ้าคิดว่าข้าคนแซ่จูหลอกเจ้าหรือ แม้แต่สายธารทางน้ำบางแห่งบนผืนดินยังเคยพบเจอเจ้าสิ่งนี้บ้างเป็นครั้งคราว ถึงขั้นว่ามีพวกฝึกสำเร็จกลายร่างเป็นคนด้วย”
จี้หยวนฟังนัยจากคำพูดจูหยวนจื่อออก หนอนศพมังกรพวกนี้ยากสังหารสิ้นจริงๆ ฟ้าดินกว้างใหญ่เพียงใด แม้ว่าเผ่ามังกรมากอิทธิพล แต่ไม่มีทางดูแลทั่วทุกมุมได้ พวกฝึกสำเร็จแล้วซ่อนตัวก็มีความเป็นไปได้
แน่นอนว่าเผ่ามังกรอิทธิพลยิ่งใหญ่ หนอนศพมังกรที่ฝึกสำเร็จอย่างแท้จริง ถ้าฉลาดย่อมขีดเส้นความสัมพันธ์ของตัวเอง ทำตัวเหมือนปีศาจทั่วไป ทั้งพยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเผ่ามังกร
อย่างน้อยต่อให้พวกฝึกสำเร็จตายเรียบ พวกอยู่ข้างนอกถูกฆ่าเกลี้ยง แต่สิ่งที่บนโลกไม่เคยขาดคือพวกมีเจตนาแอบแฝง หนอนศพมังกรซึ่งทำให้เผ่ามังกรสะอิดสะเอียนได้ ไม่แน่ว่าอาจมีคนคอยบ่มเพาะ
นัยแฝงพวกนี้จี้หยวนยังฟังออก เชื่อว่าภายในเผ่ามังกรย่อมมีคนไม่น้อยนึกถึงเรื่องพวกนี้ แต่เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า เผ่ามังกรไม่อาจใช้มือเดียวปิดครอบฟ้า เรื่องแบบนี้ถือว่ายากหลีกเลี่ยง ดังนั้นเลยได้แต่กำจัดหนอนศพมังกรทั้งหมดที่หาเจอ จากนั้นค่อยจัดการขั้นเด็ดขาด
ได้ยินจูหยวนจื่อกล่าวเช่นนี้ มังกรเจียวแดงสงบลงเล็กน้อย ครุ่นคิดโดยละเอียดอยู่ตรงนั้น
จี้หยวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือสัตว์น้ำบริวารประมุขมังกร ประมุขมังกรตนใด”
มังกรเจียวแดงไม่กล้าละเลยคำพูดของจี้หยวน เขารีบเอ่ยตอบ
“เมื่อครู่สถานการณ์เร่งด่วน ข้าจึงโกหกว่าเป็นมังกรเจียวบริวารประมุขมังกร ความจริงข้าแค่อาศัยอยู่ในน่านน้ำนอกทะเลตะวันออกของประมุขมังกรก่วงเซิ่ง ไม่ใช่บริวารประมุขมังกร ท่านเซียนโปรดอภัย…”
ผู้ฝึกเซียนสีตาเป็นเอกลักษณ์ตรงหน้าคนนี้เหมือนรู้จักประมุขมังกร เวลาแบบนี้ไม่อาจโกหกต่อ ถ้าเรื่องถึงหูประมุขมังกรคงไม่ดี
“อ้อ… ประมุขมังกรก่วงเซิ่ง…”
จี้หยวนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่กล้าใช้คำว่า ‘ประมุข’ คิดว่าคงเป็นมังกรแท้ตัวหนึ่ง
“ท่านจี้ ทำอย่างไรกับหนอนศพมังกรนี้ดี ภายใต้ทะเลคลั่งแห่งนี้ เห็นชัดว่ามีเจ้าพวกนี้ไม่น้อย”
คนจากเขาล้อมหยกรู้ความสัมพันธ์ของจี้หยวนกับประมุขมังกรแห่งแม่น้ำเทียมฟ้า เผ่ามังกรไม่ก้าวก่ายกัน แต่หนอนศพมังกรเป็นสิ่งที่เผ่ามังกรต่างรังเกียจ
จี้หยวนมองมังกรเจียวแดงที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าพักผ่อนครู่หนึ่งค่อยจากไป สำหรับเผ่ามังกรของพวกเจ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แจ้งใครได้ก็ควรแจ้ง ส่วนหนอนศพมังกรใต้กระแสน้ำ…”
“หนอนศพมังกรนี้ท่านเซียนอย่าเพิ่งลงมือ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของเผ่ามังกร หลังจากข้ากลับไป เผ่ามังกรของข้าย่อมใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้น สืบหาต้นตอของสิ่งชั่วร้ายนี้โดยละเอียด ปล่อยให้พวกมันอยู่ข้างล่างชั่วคราว”
มังกรเจียวแดงพูดมีเหตุผล จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไม่แทรกแซง”
มังกรเจียวแดงมองผู้ฝึกปราณที่ถือหนอนศพมังกรสิบกว่าตัวตรงนั้น เขารู้ความคิดของมังกรเจียวแดง สะบัดมือเผาแมลงประหลาดสิบกว่าตัวเป็นเถ้าถ่าน มังกรเจียวแดงจะได้ไม่คิดว่าเขาอยากเลี้ยงเจ้าพวกนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้ถูกโจมตี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นมังกร ความจริงมังกรเจียวไม่บาดเจ็บร้ายแรงอะไร อย่างมากแค่ตกใจไม่น้อย มังกรเจียวพักผ่อนเพียงหนึ่งเค่อแล้วไม่ล่าช้าอีก ทะยานฟ้าเหาะเหินห่างออกไป แต่คราวนี้ยอมทนฝ่ามรสุมลอยขึ้นสูง
เมื่อมังกรเจียวแดงจากไปแล้ว เรือเหาะจวนเร้นจิตกลับไม่เดินทางต่อ หากแต่จอดอยู่จุดเดิม
ในเมื่อช่วยมังกรเจียวแดงแล้ว มิสู้มอบน้ำใจให้เผ่ามังกรอีกหน่อย ช่วยเฝ้าหนอนศพมังกรด้านล่าง เวลาที่เสียไปเร่งความเร็วภายหลังเพื่อชดเชยได้
ผ่านไปราวสามวัน เสียงมังกรคำรามมากมายดังก้องฟ้ามาแต่ไกล จากนั้นตรงขอบฟ้าเผยแสงเรืองรอง ทำให้มรสุมปั่นป่วนตรงนี้สงบลง
มังกรเหลืองตัวมหึมาทะยานตัว มังกรเจียวสิบกว่าตัวคอยติดตาม ถ้ามองโดยคร่าวมังกรเหลืองตัวนั้นยาวหลายร้อยจั้ง หนวดมังกรทอดยาวร้อยจั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าเขามังกรเจียวตัวอื่นเหมือนปลาไหลโคลน
“ประมุขมังกรมาเองจริงๆ ดูท่าว่าเผ่ามังกรคงให้ความสำคัญกับหนอนศพมังกรมาก”
ผู้ฝึกปราณชราคนหนึ่งที่ลงมือทันทีหลังจากจี้หยวนยื่นมือช่วยก่อนหน้านี้ทอดถอนใจ อีกคนที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริมทันที สามวันนี้ชายชราทั้งสองอยู่ข้างจี้หยวนกับจูหยวนจื่อตลอด สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าผู้สูงส่งที่ชักนำธารดาราร่วงหล่นวันนั้นน่าจะเป็นจี้หยวนหรือไม่ก็จูหยวนจื่อ
จี้หยวนมองชายชราที่เอ่ยวาจา ก่อนหันมองมังกรเหลืองมหึมานั่น เรื่องราวชัดแจ้งไม่ใช่หรือ สำหรับเผ่ามังกรแมลงพวกนี้ถือเป็นภัยยันสุสานบรรพชน ไม่ว่าใครก็ย่อมแค้นเข้ากระดูก
อีกอย่างคือดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ หนอนศพมังกรไม่ได้กินแค่ศพมังกร ถ้ามีโอกาสคงไม่เลือกกินแน่
เจินหลงกับมังกรเจียวยังมาไม่ถึง เสียงก้องกังวานดังมาแล้ว
“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ แต่นี่คือเรื่องของเผ่ามังกร คนนอกอย่างพวกท่านโปรดจากไปโดยเร็ว!”
ครืนๆๆๆ…
พลังเสียงดุจอสนีบาต สั่นสะเทือนจนคลื่นน่านน้ำโดยรอบปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้มังกรเฒ่านั้นเอ่ยปาก อานุภาพเจินหลงดังมาพร้อมเสียง ทำให้ผู้โดยสารบนเรือเหาะจวนเร้นจิตรู้สึกกดดันผิดปกติ
แต่ด้วยฐานะเจินหลงตัวหนึ่ง การพูดกับผู้ฝึกเซียนเช่นนี้ถือว่าเกรงใจมากแล้ว
บนเรือเหาะผู้ดูแลสองคนของจวนเร้นจิตอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือเช่นกัน พวกเขาได้ยินแล้วมองจี้หยวนพลางกล่าว
“ท่านจี้คิดว่าอย่างไร”
จี้หยวนเห็นมังกรเหลืองกับมังกรเจียวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“เดิมไม่คิดยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่อยากให้พวกเรายุ่งเรื่องนี้ พวกเราก็ไม่ต้องอยู่ต่อ รีบเดินทางเป็นเรื่องเร่งด่วน”
“ไม่ผิด รีบเดินทางเป็นเรื่องเร่งด่วน”
“ถูกต้องที่สุด!”
คนที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริมต่อเนื่อง เห็นชัดว่าเผ่ามังกรไม่อยากแพร่งพรายเรื่องนี้ คนบนเรือเหาะล้วนเข้าใจเหตุผล
ดังนั้นเรือเหาะพลันเปล่งแสงธรรม ท้องเรือเกิดคลื่นซัดเนิบช้าเป็นระลอก เรือเหาะล่องไปยังเส้นทางเดิมช้าๆ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ส่งเสียงอะไร อาศัยการกระทำตอบรับเงื่อนไขของมังกรเหลือง
พวกเราจากไปตามข้อเรียกร้องของเจ้าแล้ว ไม่อาจกล่าวว่าพวกเราไม่มีมารยาทกระมัง
ผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ มังกรเหลืองนำเหล่ามังกรเจียวมาถึงน่านน้ำทะเลคลั่งแถบนี้ มังกรเจียวแดงตัวนั้นอยู่ข้างมังกรเหลือง ทอดมองแสงเซียนที่จางลงเรื่อยๆ มังกรเหลืองตัวนั้นเอ่ยกล่าว
“คงเป็นที่นี่กระมัง ข้าได้กลิ่นชวนคลื่นเหียนแล้ว เป็นหนอนศพมังกรดังคาด พวกเจ้าคอยแหวกว่ายค้นหาตามกระแสน้ำ ข้าจะจัดการที่นี่ก่อน!”
มังกรเหลืองพูดพลางดิ่งลงไปทันที พุ่งตัวเข้ากลางสมุทรจนผืนทะเลระเบิดดังตูม
ครู่ต่อมาก้นทะเลของน่านน้ำแถบนี้พลันส่องประกาย ตรงกลางมีเงามังกรรางเลือนสายหนึ่ง
ตูม ครืน…
ก้นสมุทรคล้ายมีอสรพิษเงินร่ายรำ แสงอสนีสาดส่องทั่วทิศทันที…
บนเรือเหาะพวกจี้หยวนหันกลับไปมอง ยามคิดว่ามังกรเหลืองตัวนั้นจะจัดการอย่างไร กลับเห็นก้นทะเลส่องสว่างขึ้นมา จากนั้นกลิ่นอายอสนีพลันอบอวล ภายใต้พลังทำลายล้างทะเลคลั่งแถบนี้เหมือนเดือดพล่าน
‘สมเป็นมังกรแท้ อลังการจริง’
จี้หยวนสลัดความคิด แม้ว่าสหายตนอาศัยอยู่ในน่านน้ำบนแผ่นดินใหญ่ แต่ความจริงถือเป็นส่วนหนึ่งของทะเลตะวันออก น่าจะรู้จักมังกรเหลืองกระมัง ภายหน้าค่อยถามความเกี่ยวข้องกับมังกรเฒ่า เชื่อว่าอย่างน้อยระหว่างมังกรแท้แห่งทะเลตะวันออกน่าจะแลกเปลี่ยนข่าวพวกนี้กัน
…
ผ่านไปอีกสองสามวัน ท้องฟ้าโดยรอบเริ่มกระจ่างขึ้นมา คืนนั้นเรือเหาะออกจากผืนทะเลมาลอยกลางอากาศใหม่อีกครั้ง ด้วยพวกเขาออกจากพื้นที่ทะเลคลั่งกับมรสุมโหมกระหน่ำแถบนั้นแล้ว กลับมาสู่น่านน้ำปกติอีกครั้ง
เช้าตรู่วันนี้เหล่าผู้โดยสารตื่นมาพบว่าออกจากพื้นที่ทะเลคลั่งมืดสลัวแล้ว
ผู้ฝึกเซียนยังดี แต่คนธรรมดารวมถึงภูตบางส่วนที่อึดอัดแทบแย่ต่างขึ้นมาบนดาดฟ้าเพื่อสูดอากาศสดใหม่อย่างทนไม่ไหว
เดิมรอบเรือเหาะยังมีเมฆหมอกบางๆ ยามดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงระดับหนึ่ง เมฆหมอกสลายไปทีละน้อย เผยให้เห็นมหาสมุทรเบื้องล่าง
“ทุกท่าน ร้อยลี้ข้างหน้าคือหอคันฉ่องกลางทะเล แม้ว่าพวกเราโดยสารยานข้ามแดน แต่สถานการณ์ยามเวลาเอื้ออำนวย ทิวทัศน์ยากพบเห็นย่อมไม่ควรพลาด หากยังมีสหายพักผ่อนในห้องโดยสาร จำเป็นต้องปลุกเขาขึ้นมา บ้างไปตรงโถงกระจก บ้างมาตรงดาดฟ้าด้านบน มิฉะนั้นจะเสียดายทั้งชีวิต!”
นอกจากคนที่ใช้ชีวิตบนเรือลำนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจนั่งยานข้ามแดนบ่อยครั้ง ถึงขั้นว่าตลอดชีวิตอาจได้นั่งครั้งเดียว ดังนั้นหากพลาดทิวทัศน์งามถือว่าต้องเสียดายทั้งชีวิตจริงๆ
ไม่นานคนมากมายมาถึงกระจกใสภายในโถง คนอีกมากมาบนดาดฟ้า เกาะกาบเรือทอดมอง
วู้ม… วู้ม…
ใบเรือหยินหยางโบกไหว ส่งเสียงสะบัดแผ่วเบาเป็นระลอก ยามคนบนเรือรู้สึกว่าตัวถอยหลังเล็กน้อย ความเร็วเรือเหาะยกระดับไม่น้อยแล้ว เจือแสงทองอร่ามแล่นผ่านขอบฟ้า ขับเคลื่อนห่างออกไปจนเห็นภูเขากลางทะเลรางๆ
สิ่งสะท้อนเข้าสู่สายตาอันดับแรกคือเทือกเขาบนเกาะกลางทะเลทรงจันทร์เสี้ยวใหญ่เล็กสองแห่ง โค้งเข้าหากันบนทะเล
บนเกาะใหญ่มียอดเขาสูงตั้งตระหง่าน ด้านที่หันรับเรือเหาะคือหน้าผาสูงชันแถบหนึ่ง ราบเรียบราวกับถูกขวานสวรรค์ผ่า
มองผ่านตาทิพย์ของจี้หยวน บนเกาะมีแสงธรรมเวียนวน น่าจะมีสำนักฝึกปราณอยู่ สิ่งดึงดูดสายตายิ่งกว่าคือ ‘คันฉ่อง’ ตรงกลางซึ่งล้อมด้วยเกาะจันทร์เสี้ยวสองแห่ง
นิ่งสงบสีน้ำเงินเข้ม ทั้งเหลือบแสงสีตระการตารางๆ น่าจะมีปัจจัยพิเศษบางอย่างอยู่ ดังนั้นจี้หยวนเลยเห็นอย่างชัดเจน ต่อให้ยังไม่เข้าใกล้ก็เผยความงามถึงขีดสุด
ไม่นานเรือเหาะก็เข้าใกล้เทือกเขาจันทร์เสี้ยวสองแห่ง ทำให้คนบนเรือเห็นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม บนหน้าผารอบนอกสุดยังสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้ องศาชัดเจนเจตกระบี่น่าเกรงขาม เห็นชัดว่าผู้สูงส่งมรรคกระบี่บางคนหลงเหลือไว้
“หอ สมุทร เร้น คันฉ่อง”
จี้หยวนอ่านตัวอักษรพวกนี้พลางกล่าวพึมพำ ทั้งรับรู้ถึงเจตกระบี่แข็งแกร่งบนนั้น ควบรวมไม่สลาย ชวนประหวั่นพรั่นพรึง
‘ทุกท่าน โปรดอย่าส่งเสียงดัง ที่นี่คือสถานที่ฝึกปราณของหอสมุทรเร้นคันฉ่อง การอนุญาตให้พวกเราชมทิวทัศน์งามของทะเลคันฉ่องถือว่าใจกว้างแล้ว โปรดอย่าทำให้พวกเขารู้สึกเกลียดชัง’
ผู้ดูแลจวนเร้นจิตคนหนึ่งสื่อจิตบอกทั่วเรือเหาะ หลังจากกล่าวกำชับแล้วค่อยโคจรค่ายกล ทำให้เรือเหาะโรยตัวลงมาช้าๆ ไม่นานท้องเรือแหวกผิวทะเล เลียบหน้าผาเข้าสู่ทะเลคันฉ่อง
น้ำใสกระจ่างมาก ผิวทะเลราบเรียบยิ่ง เส้นแสงเหมือนทะลุก้นสมุทร แต่เห็นแค่ความลึกล้ำ แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้าไป แสงสีนานัปการไหลวนอยู่ภายใน
อย่าว่าแต่คนธรรมดากับภูตบางส่วน แม้แต่จี้หยวนยังมองตาค้างอยู่บ้าง เขาจินตนาการออกว่าหากถึงตอนกลางคืนย่อมงดงามกว่าตอนกลางวันแน่
“อืม ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเราก็ล่าช้ามาสองสามวันแล้ว ขอเรียนถามทุกท่านก่อน หากไม่รีบร้อน พวกเราจะรอจนถึงคืนนี้ค่อยจากไป แต่หากรีบด่วนอีกสักครู่พวกเราจะเร่งเดินทางต่อ”
“ไม่รีบๆ!”
“ไม่ผิด ไม่มีใครถือสาแค่วันสองวัน”
“ใช่ๆๆ อีกวันหนึ่งค่อยไป!”
เป็นอย่างที่จี้หยวนคิดดังคาด คนบนเรือพากันแสดงออกว่ายินดีรออีกหน่อย