บทที่ 426 เดินในตรอกมืดเพียงลำพัง
“เจ้า!”
พ่อบ้านซุนแห่งจวนเหยาสีหน้าย่ำแย่ในทันที มองผู้ครองกระบี่น่าเกรงขามแต่ละคนที่รังสีอำมหิตแผ่ซ่านประดุจฝูงหมาป่ารอบๆ แล้วมองทูตเผ่าคลื่นสมุทรที่อยู่ข้างกาย
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมา ในใจโอดครวญ
ความจริงครั้งนี้เขาก็ไม่ได้อยากมา ในเมื่อพาเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ไปวังครองกระบี่จับกุมผู้ครองกระบี่ เรื่องนี้เดิมก็ไม่เหมาะสมมากๆ อยู่แล้ว แต่ท่านโหวสั่งเขา ให้เขาต้องทำให้ทูตที่มาเยือนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์พอใจให้ได้ ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงกัดฟันกรอด ในดวงตาฉายแววเหี้ยมโหด
“ท่านโหวมีคำสั่งจับกุมพวกข่งเสียงหลงทั้งห้าคน เอาตัวไป!”
ผู้ดูแลซือหม่าขมวดคิ้ว องครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นใบหน้าฉายความชั่วร้ายนิดๆ ยิ้มเล็กน้อย ในส่วนลึกของดวงตามีประกายล้ำลึกทางหนึ่งกะพริบวาบ
ครั้งนี้เขาตามทูตในเผ่ามาที่นี่ ความจริงหาเรื่องพวกข่งเสียงหลงเป็นเรื่องลวง ภารกิจที่แท้จริงของเขาคือจับตามองตระกูลเหยา
และตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็สังเกตสีหน้าของผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาทุกคน ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คนเดียว ยิ่งใช้เคล็ดวิชาลับพิสูจน์ว่าพวกเขาจงใจแสดงละครหรือไม่
และผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาสิบกว่าคนนั่นบนลานในตอนนี้ เมื่อได้ยินก็ต่างโอดครวญในใจ แต่ภายใต้คำสั่งนี้ไม่ออกไปก็ไม่ได้ ดังนั้นพลังบำเพ็ญจึงปะทุขึ้นรัศมีอำนาจพวยพุ่ง กำลังจะพุ่งไปหาพวกสวี่ชิง
เห็นเรื่องกำลังจะบานปลาย แต่ในตอนนี้เอง เสียงแค่นจมูกเย็นชาก็ดังมาจากท้องฟ้า
“ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเหิมเกริมหรือ!”
เสี้ยวพริบตาต่อมา พลังสั่นสะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งประดุจพลิกขุนเขาถล่มมหาสมุทรก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า สยบทั่วทุกสารทิศ
ทั้งตำหนักบัญญัติสั่นสะเทือนทันที ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรอบๆ ต่างจิตใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาหลายสิบคนพวกนั้น แต่ละคนยิ่งไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย ราวถูกหมื่นขุนเขากดอัดลงมา
จากนั้น เงาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากท้องฟ้า
เขาสวมชุดนักพรตผู้ครองกระบี่ ขณะเดินผืนฟ้าข้างหลังบิดเบี้ยว เกิดเป็นร่างมายานับไม่ถ้วนทะลักเข้าไปในจุดลึกของท้องฟ้า ทำให้วังครองกระบี่ทั้งวังสั่นสะเทือน นั่นเป็นสัญลักษณ์ของหมื่นภาพเงามายา หวนสู่อนัตตาขั้นสอง
ในตอนเดินมา รอบๆ เขายังมีภาพมายาที่มิติแหลกสลายมิติแล้วมิติเล่า เหมือนว่ารอบๆ เขามีโลกแต่ละใบๆ ถือกำเนิดขึ้นมาเอง และโลกเหล่านั้นก็เหมือนฟองอากาศ เกิดขึ้นในเวลาเพียงพริบตา และแตกสลายไปในทันที
นี่คือ…สัญลักษณ์ของล้านความคิดเบิกนภา หวนสู่อนัตตาขั้นสาม!
เพียงแต่จำนวนของโลกรอบๆ ชายชราไม่ได้มีมากนัก เขายังไม่ได้ก้าวสู่ขั้นที่สามอย่างแท้จริง พูดได้ว่าก้าวเข้าไปขาเดียวเท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังคงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง น่าครั่นคร้ามนัก ตอนนี้จากการที่ปรากฏตัวขึ้น วังครองกระบี่ทั้งวังก็เงียบสงบลง
สวี่ชิงจำได้ทันที อีกฝ่ายก็คือรองเจ้าวังครองกระบี่ที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนผู้ครองกระบี่ปฏิญาณตนนั่นเอง
“คารวะรองเจ้าวัง!” ผู้ดูแลซือหม่าประสานหมัดโค้งคารวะอย่างเคารพนอบน้อมเป็นคนแรก
สวี่ชิงและพวกข่งเสียงหลงประสานหมัดทันที ไม่นานนักผู้ครองกระบี่ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างประสานหมัดโค้งคารวะ
“คารวะรองเจ้าวัง!”
รองเจ้าวังใบหน้าไร้อารมณ์ มองไปทางพ่อบ้านซุนของตระกูลเหยาที่ตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เอ่ยขึ้นราบเรียบ
“ไสหัวไป!”
พ่อบ้านซุนตัวสั่นสะท้าน อยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้า ทำได้เพียงก้มหน้า หลังจากโค้งคารวะองครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็พาผู้บำเพ็ญตระกูลเหยาทั้งหลายจากไปอย่างรวดเร็วด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา
ไม่สนใจตระกูลเหยา รองเจ้าวังมองไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างเย็นชา
“แล้วยังมีเจ้า เจ้าเป็นทูต ดังนั้นข้าให้เวลาเจ้าหนีเอาตัวรอดหนึ่งก้านธูปเพื่อเป็นการแสดงมารยาทของเราเผ่ามนุษย์ แต่หากหนึ่งก้านธูปเจ้าหนีไปไม่ถึงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะฆ่าเจ้า”
องครักษ์ชุดดำคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี เหินออกไปทันที ตรงดิ่งไปยังค่ายกลส่งข้ามที่อยู่ที่ไกล
ทำทุกอย่างพวกนี้เสร็จ รองเจ้าวังก็มองไปทางพวกสวี่ชิง แค่นเสียงขึ้นจมูกขึ้นมาทีหนึ่ง
“พวกเจ้าใจกล้าไม่น้อยเลย เจ้าวังมีคำสั่ง ลงโทษพวกเจ้าทั้งห้าคนขังในคุกของกรมราชทัณฑ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน!
“ผู้ดูแลซือหม่า เจ้าคุมตัวพวกเขาไปคุกกรมราชทัณฑ์ด้วยตัวเอง!”
สวี่ชิงก้มหน้า พวกซานเหอจื่อลอบถอนหายใจ แต่ก็ก้มหน้าลงไปเช่นกัน
แต่ว่าข่งเสียงหลงไม่สั่นแล้ว เขาแค่เผชิญหน้ากับเจ้าวังเท่านั้นถึงจะกลัว ตอนนี้แค่ไม่ค่อยร่าเริงเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าหนีมาได้ตั้งนาน แต่ก็ยังหนีเคราะห์กรรมเข้าคุกไม่พ้นอยู่ดี
“น้อมรับคำสั่ง!” ผู้ดูแลซือหม่าตอนนี้เมื่อได้ยิน สีหน้าก็เคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจัง
เขาย่อมฟังออกว่าคุมตัวในที่นี้ คือคุ้มกันเสียมากกว่า เพื่อป้องกันเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หรือตระกูลเหยาลอบลงมือ
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว เอะอะโหวกเหวก จำเอาไว้ด้วยว่าพวกเจ้าเป็นผู้ครองกระบี่!”
รองเจ้าวังพูดจบก็จากด้วยใบหน้าเย็นชา
ผู้ดูแลซือหม่าเงยหน้ามองพวกข่งเสียงหลง เดินมา หลังจากสายตากวาดมองไปทีละคนๆ ก็จับจ้องไปที่สวี่ชิง เอ่ยเนิบนาบ
“ข้าเป็นผู้ครองกระบี่ของวังครองกระบี่ก่อน แล้วจึงเป็นผู้บำเพ็ญของสำนักเซียนล้ำบารมี” คำพูดนี้ของผู้ดูแลซือหม่า คนนอกต้องขบคิดจึงจะเข้าใจถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น
แต่สวี่ชิงที่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เขาเข้าใจในทันที จึงประสานหมัดคารวะ แต่ว่าก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ยังต้องทำการพิสูจน์
“ไปเถอะ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปกรมราชทัณฑ์” ผู้ดูแลซือหม่าเดินไปก่อน
ข่งเสียงหลงหันไปถอนหายใจกับสวี่ชิง ซานเหอจื่อกับหวังเฉินกะพริบตาปริบๆ เข้ามาใกล้สวี่ชิงเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา
“สวี่ชิง กลับบ้านเจ้าก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
สวี่ชิงพยักหน้าเงียบๆ คนทั้งหลายต่างถอนหายใจ ตามอยู่ข้างหลังผู้ดูแลซือหม่าไปจากวังครองกระบี่
ในตอนที่พวกเขามุ่งหน้ามายังกรมราชทัณฑ์ ตอนนี้ ณ ใจกลางเมืองหลวงเขตปกครอง มีแท่นบูชาวงกลมแท่นหนึ่ง
แท่นบูชานี้ใหญ่มาก แต่ตรงกลางกลับว่างเปล่า
ในนั้นมีตำหนักหลักสามตำหนัก แบ่งเป็นสีดำ แดงและขาว รอบๆ มีตำหนักข้างมากมาย หมู่อาคารสูงตระหง่าน หอสูงตั้งตระการ
หลังคาของตำหนักหลักทั้งสามมีสีที่ต่างกันไป ดูทรงอำนาจไม่ธรรมดา รูปแบบเป็นเอกลักษณ์
และที่นี่แปลกประหลาดนัก ดูเหมือนอยู่ในแท่นบูชา แต่ความจริงแล้วกลับไม่มีอยู่จริง
เพราะในยามที่ยืนอยู่ในหมู่ตำหนักแห่งนี้มองออกไปข้างนอก สิ่งที่เห็นไม่ใช่เมืองหลวงเขตปกครอง แต่เป็นความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ในความว่างเปล่ามีเพียงหมู่ตำหนักเหล่านี้อยู่เท่านั้น
ตอนนี้ในตำหนักสีขาวที่อยู่ใจกลางมีคนสามคน
สองคนนั่งตรงข้ามกันกำลังเดินหมากอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ระหว่างกลางจับจ้องกระดานหมาก
คนที่เดินหมากคือเจ้าวังครองกระบี่ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นบัณฑิตวัยกลางคนสวมชุดปักดิ้น
คนคนนี้ใบหน้าขาวสะอาดแฝงด้วยความอ่อนโยนนิดๆ ตอนนี้กำลังยิ้มหยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งวางไปบนกระดานหมาก แล้วใช้นิ้วดันหมาก
“เจ้าวัง ท่านลงมือรุนแรงเกินไป หากไม่ระวังจะกลายเป็นมังกรที่บินไปถึงปลายขอบฟ้า ไม่อาจย้อนคืนมาได้”
“เมื่อครู่ในวังครองกระบี่มีประโยคหนึ่งพูดได้ไม่ผิดเลย” เจ้าวังมองกระดานหมาก เอ่ยราบเรียบ
“ประโยคใดหรือ” บัณฑิตชุดปักดิ้นยิ้มพลางถาม
“ท่านโหว ไอ้คนเวรตะไล! ” เจ้าวังใบหน้าไร้อารมณ์ เงยหน้ามองบัณฑิตชุดปักดิ้นอย่างเย็นชา
บัณฑิตชุดปักดิ้นคนนี้ก็คือเจ้าตระกูลเหยา ท่านโหวเหยาคนปัจจุบัน
เขาได้ยินก็ไม่โมโห กลับหัวเราะ จากนั้นก็ลุกขึ้น ประสานหมัดโค้งคารวะไปยังคนที่คอยมองกระดานหมากมาโดยตลอด
“เจ้าเขตปกครองรู้ผลกระดานหมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่นต่อไปอีก เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่มาเยี่ยมเยือนกำลังส่งมิตรมา ข้าแซ่เหยาขอลาไปก่อนเพื่อไปทำการต้อนรับ”
พูดจบ โหวเหยาก็จากไป เงาแผ่นหลังฉายท่ามกลางความมืดมิดว่างเปล่าดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย ฉายความเดียวดายออกมา
คนที่มองการเดินหมากเป็นชายชราสวมชุดผ้าป่าน ดูแล้วหน้าตาธรรมดา สีหน้ายิ่งแฝงด้วยความอ่อนโยน ไม่มีความน่าเกรงขามกดดันและรัศมีอำนาจเลย ตอนนี้เมื่อได้ยินก็ยิ้มพลางพยักหน้า
เขาก็คือเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรนั่นเอง
“ใต้เท้าเจ้าเขตปกครอง ข้าก็ยังไม่เชื่อเขา” มองโหวเหยาที่จากไป เจ้าวังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“สหายเลี่ยงซิว” เจ้าเขตปกครองยิ้ม นั่งลงตรงข้ามเจ้าวัง เก็บกระดานหมากพลางเอ่ยเสียงเบา
“ข้ารู้ว่าเมื่อครู่เจ้าจงใจวางหมากให้เป็นสถานการณ์อย่างมังกรบินไปไกลจนสุดขอบฟ้าจนไม่อาจย้อนคืนได้ เพราะหวังจะเตือนเหยาเทียนเยี่ยนว่าอย่าเล่นละครจนกลายเป็นเรื่องจริง สุดท้ายกลายเป็นมังกรตัวนั้น
“แต่เจ้าดูแลจัดการเรื่องฆ่าสังหารแข็งแกร่งทรงอำนาจ สหายเทียนเยี่ยนดูแลจัดการเรื่องเชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง[1] ต่างทำทีเป็นแตกคอกัน นี่เดิมก็เป็นแผนการลับขั้นสุดยอดที่พวกเราสามคนร่วมกันวางแผนตกลงกันในตอนนั้น
“หลายปีมานี้คนนอกล้วนก่นด่าตระกูลเหยา ด่าพวกเขาไร้ยางอาย ด่าพวกเขาไร้สมองเลอะเลือน ด่าพวกเขาเป็นโจรขายชาติหักหลังเผ่าพันธุ์ ด่าพวกเขาแต่งงานการเมืองสมคบคิดกับต่างเผ่า ด่าพวกเขากำเริบเหิมเกริม ทั้งตระกูลเทียบไม่ได้กระทั่งหมูกระทั่งหมา
“แต่คนภายในตระกูลเหยาที่รู้แผนนี้มีน้อยจนนับได้ ต่อให้รู้ก็พูดไม่ได้ ทำได้แค่รับทุกอย่างอย่างขมขื่น เหยาเทียนเยี่ยน…เป็นคนเก่งกาจมากความสามารถ เป็นอัจฉริยะโดดเด่นที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิในตอนนั้น วันนี้กลับยอมแบกรับคำก่นด่า เขาทุกข์ทนกว่าเจ้านัก
“ทุกอย่างเป็นเพราะข้าไร้ความสามารถ เพราะเขตปกครองผนึกสมุทรระส่ำระสาย เพราะเผ่ามนุษย์เราตกต่ำ จนจำต้องวางแผนเช่นนี้”
เจ้าวังครองกระบี่เงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองไปที่ไกล เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา
“เจ้าเขตปกครองอย่าได้โทษตัวเองไป หากไม่มีการทุ่มเทกายใจวางแผนจัดการจากท่าน เขตปกครองผนึกสมุทรที่อยู่ไกลจากเผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าคงถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลืนไปแล้ว
“เหตุผลที่ท่านพูดมาข้าล้วนเข้าใจ และข้าก็รู้ว่าเขายากลำบากกว่าข้า และยิ่งรู้ถึงการเสียสละของเขา แต่ข้ากังวลว่าคนตระกูลเหยาบางคนเดินๆ ไปจะกลายเป็นมังกรฝูงหนึ่งจริงๆ
“ต่อให้คนนำจะมีใจทำเพื่อเผ่ามนุษย์แต่ก็หันหลังกลับไม่ได้ จำต้องลืมเลือนเจตจำนง อย่างเช่นต้ากงแห่งคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในอดีต”
เจ้าเขตปกครองเงียบนิ่ง นานจากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา
“ขนาดเจ้าที่เป็นผู้รู้เรื่องราวยังสงสัยลังเล นั่นหมายความว่าห่างจากที่เขาปกปิดเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต่อไปได้อีกไม่ไกลแล้ว”
ตอนนี้พลบค่ำผ่านไปแล้ว ท้องฟ้ามืดมิด ดีที่จันทร์เพ็ญลอยเด่น มีแสงจันทร์สาดส่องลงมายังโลก สาดส่องมายังมรหลุมลึกกรมราชทัณฑ์
หลังจากควบคุมพวกสวี่ชิงมาที่นี่ ผู้ดูแลซือหม่าก็จากไป
ข่งเสียงหลงมองกรมราชทัณฑ์ที่คุ้นเคยก็ถอนหายใจยาว พวกซานเหอจื่อก็คอตกห่อเหี่ยวเช่นกัน มีเพียงสวี่ชิงที่เดินอยู่ข้างหน้า ทักทายกับพัศดีที่มารับสามสี่คน มองพวกเขาใส่โซ่ตรวนให้กับพวกซานเหอจื่อด้วยใบหน้าอย่างเย็นชา
แต่ทางเขา…ไม่ได้ใส่
กระทั่งว่าพัศดีที่คุ้นเคยกันดีคนหนึ่งยังเอาโซ่ตรวนมาให้เขาชุดหนึ่ง ให้เขาช่วย
ดังนั้นโซ่ตรวนของข่งเสียงหลง เป็นสวี่ชิงที่ใส่ให้เขาเอง
“ไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย…” พวกข่งเสียงหลงมองภาพนี้ตาละห้อย สังเกตเห็นในตอนที่พัศดีเหล่านี้คุยกับสวี่ชิง ใบหน้ามีรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนคนกันเอง
แต่กับพวกเขาล้วนใบหน้าไร้อารมณ์
ดังนั้นคนทั้งหลายจึงฉายความอิจฉาออกมา
เหล่าหลี่ก็อยู่ในบรรดาพัศดีเหมือนกัน หลังจากมองพวกข่งเสียงหลง ก็พูดกับสวี่ชิงเสียงต่ำว่า
“ได้ยินเรื่องของพวกเจ้าวันนี้ที่นอกตำหนักบัญญัติแล้ว ไปเถอะ ห้องขังของพวกเจ้าเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
เหล่าหลี่พูดพลางขยิบตาให้สวี่ชิง เดินนำอยู่ข้างหน้า
พวกสวี่ชิงก็ควบคุมพวกข่งเสียงหลงทั้งสี่คนเดินไปในคุกเช่นนี้เอง
เดินมาตลอดทางจนถึงเขตติงสิบในเสี้ยวพริบตาที่ประตูคุกเปิดออก สวี่ชิงก็เห็นการจัดเตรียมในนั้น ยิ้มออกมานิดๆ
เขตติงสิบนี้แม้จะยังเป็นห้องขัง แต่ในนั้นกลับมีไหเหล้าถึงสามสิบไหวางอยู่ ยิ่งมีอาหารที่ข้างนอกต้องจ่ายด้วยหินวิญญาณถึงจะซื้อได้อีกไม่น้อย
กระทั่งว่ายังปรับห้องขังทั้งห้าโดยเฉพาะ ในนั้นมีเบาะรองนั่งที่เวลานั่งสมาธิต้องใช้วางเอาไว้
แม้จะเรียบง่ายแต่ก็ดีกว่านักโทษพวกนั้นมากๆ แล้ว
พวกข่งเสียงหลงเมื่อได้เห็นก็ตื่นตะลึง มองไปทางพัศดีที่ใบหน้าเย็นชาพวกนั้น
เหล่าหลี่เอ่ยราบเรียบ
“ได้ยินเรื่องของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าถูกลงโทษต้องขัง ในฐานะที่เป็นพลทหาร พวกข้าย่อมต้องควบคุมพวกเจ้า แต่ในฐานะผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนรู้สึกว่าพวกเจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ฆ่าได้ดี!
“พวกเจ้าก็ทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านตัวเอง เดือนนี้ก็ถือเสียว่าพักผ่อน ต้องการอะไรก็บอกสวี่ชิงเลย สวี่ชิงเขตติงหนึ่งสามสองของเจ้าจะไม่สยบกำราบไม่ได้นะ ประตูเจ้าก็เปิดเองได้ อย่าลืมไปเข้าเวรด้วย”
พูดจบพวกเหล่าหลี่ก็มองไปทางพวกสวี่ชิง สีหน้าเคร่งขรึม
“สุดท้าย พวกเรายังต้องพูดอีกครั้ง พวกเจ้าฆ่าได้ดีมาก!” พูดจบ พัศดีที่นี่ทุกคนก็ต่างเอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมา โค้งคารวะไปพวกสวี่ชิง
หลังจากโค้งคารวะ พัศดีก็หันหลังจากไป
เขตติงสิบเงียบลงอีกครั้ง
สวี่ชิงเดินมายังบริเวณไหเหล้า ขณะสะบัดมือก็มีไหเหล้าสี่ไหลอยไปหาพวกข่งเสียงหลงทั้งสี่คน หลังจากที่แต่ละคนรับมันเอาไว้ ทุกคนก็ต่างมองหน้ากัน แล้วหัวเราะขึ้นมา
“ดื่ม!” เสียงหัวเราะของข่งเสียงหลงดังขึ้นเรื่อยๆ ยกไหเหล้าขึ้นมาแล้วดื่มลงไปอึกใหญ่
สวี่ชิงก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน ดื่มลงไปอึกใหญ่
จากนั้นเขาก็ช่วยทุกคนถอดโซ่ตรวน ของสิ่งนี้อยู่ข้างนอกแสดงพอเป็นพิธีก็พอ ที่นี่ไม่จำเป็น
เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้เอง และคนทั้งห้าถูกขังอยู่ด้วยกันก็เหมือนกลับไปในตอนที่นอนอยู่บนที่ราบอย่างสะใจ มีความสุขหลังจากที่ฆ่าองครักษ์ชุดดำเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ในวันนั้น อีกทั้งตอนนี้ต่างคุ้นเคยกันแล้ว ดังนั้นเรื่องพูดก็มีมากมาย
ซานเหอจื่อโต้เถียงกับหวังเฉินอยู่บ่อยๆ
ส่วนเยี่ยหลิงก็คอยอยู่ข้างกายข่งเสียงหลงตลอด เรื่องที่นางชอบข่งเสียงหลงเรื่องนี้ คนตาบอดยังสัมผัสได้
ส่วนสวี่ชิง เขาออกจากห้องขังบ้าง ไปยังเขตติงหนึ่งสามสอง
นอกจากจะออกไปจากกรมราชทัณฑ์ไม่ได้ ไปทำภารกิจข้างนอกไม่ได้ ทุกอย่างไม่ต่างอะไรจากกิจวัตรประจำวันของสวี่ชิง
และทุกครั้งที่สวี่ชิงไปจากเขตติงสิบล้วนองอาจนัก ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเขตติงหนึ่งสามสอง จะไม่สนใจเขตติงหนึ่งสามสองไม่ได้ นั่นคือบกพร่องในหน้าที่
บกพร่องในหน้าที่เรื่องนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองว่าจะทำมันไม่ได้เด็ดขาด
เพียงพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านไป
สำหรับคนธรรมดา ถูกขังครึ่งเดือนบางทีอาจจะน่าเบื่อ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ปิดด่านครั้งหนึ่งอาจจะนานกว่านี้ ยิ่งมีเหล้ามีเนื้อ ประเดี๋ยวๆ ก็ยังพูดคุยหัวเราะกันได้ ดังนั้นชีวิตผ่านไปได้อย่างมีความสุขนัก
จวบจนวันนี้สวี่ชิงเลิกเวรกลับมา เพิ่งเหยียบเข้ามาในเขตติงสิบก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล
เขตติงสิบวันนี้เงียบเกินผิดปกติ
[1] เชื่อมแนวขวางประสานแนวดิ่ง เป็นกลยุทธ์การศึกในสมัยจีนโบราณ เชื่อมแนวขวาง หมายถึง รัฐเล็กๆ รวมตัวกันเพื่อต่อต้านกับมหาอำนาจ ประสานแนวดิ่ง หมายถึง กลุ่มมหาอำนาจดึงรัฐหรือกลุ่มอำนาจเล็กๆ ให้มาเข้าพวก เพื่อที่จะขยายอาณาเขต หรืออำนาจของตัวเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก