บทที่ 1427 พบกันอีกครั้ง
โครม!
ทันทีที่เติ้งเฉินและเฟยหลิงพุ่งออกมา พวกเขาก็ลงมือด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งทรงพลังมากจนสร้างลมพัดเมฆกระจายไปทุกทิศทาง
ในเวลาเดียวกัน เวินหัวถิงก็พุ่งออกมาเช่นกัน ทว่าเขานำผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ฉีกช่องว่างมิติและบุกลึกเข้าไปยังส่วนลึกของนิกายอย่างรวดเร็วแทน
“รนหาที่!”
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีขนาบข้างของบรรพบุรุษทั้งสองอย่างเติ้งเฉินและเฟยหลิง ใบหน้าของปิงซื่อเทียนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชายิ่งขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ทันใดนั้น เขาก็กระโจนออกไปและใช้วิชาท่าร่างเท้าที่สง่างาม ก่อนจะฟาดฝ่ามืออย่างรุนแรง ปราณเซียนที่เปี่ยมด้วยพลังทำลายล้าง เขย่าท้องฟ้า ฉีกหยินและหยางออกจากกัน มันช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง
โครม!
ตู้ม!
เติ้งเฉินถูกโจมตีเข้าที่หน้าอกจนเลือดกระอักออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่างกายล้มลงราวกับกระสอบทรายที่ขาดรุ่งริ่ง ในขณะที่สถานการณ์ของเฟยหลิงนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่า กระดูกทั่วร่างถูกปิงซื่อเทียนหักทิ้ง และเกือบถูกฆ่าตายในทันที
แต่ถึงอย่างนั้น เฟยหลิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบจะเสียชีวิต
ผลลัพธ์ถูกตัดสินในพริบตา!
บรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิง ได้ปกป้องนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมานับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ในแดนภวังค์ทมิฬเอง พวกเขาก็นับว่าเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่ ณ จุดสูงสุดของพีระมิดแห่งความแข็งแกร่ง
แต่ท้ายที่สุดแดนภวังค์ทมิฬก็คือแดนภวังค์ทมิฬ และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของภพมนุษย์ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียน ที่มาจากนิกายระดับสูงอย่างนิกายอำนาจเทวะ มันจึงยังไม่มากพอ
ช่องว่างระหว่างพวกเขา เปรียบเสมือนความแตกต่างระหว่างแมวป่วยกับเสือร้าย พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย ดังนั้นการที่เติ้งเฉินและเฟยหลิงล้มเหลวก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
“เจ้าหมาเฒ่าสองตัว! เจ้าอยากจะตายอย่างวีรบุรุษแลกกับโอกาสรอดชีวิตนักหรือ? แต่ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าทำเช่นนั้น! ข้าจะทำให้พวกเจ้าเห็นด้วยตาตนเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่กล้าท้าทายข้า!”
ปิงซื่อเทียนแค่นเสียงเย็น ใบหน้าหล่อเหลาถูกปกคลุมไปด้วยความเย่อหยิ่ง เขาคว้าตัวเติ้งเฉินและเฟยหลิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้ตายไว้ ก่อนที่ร่างจะทอประกาย และพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
แน่นอนว่า เขาย่อมต้องสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เวินหัวถิงและคนอื่น ๆ หลบหนีไปก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจ ยามนี้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองทั้งหมด ได้ถูกปิดตายไว้ด้วยพลังของเขาแล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะหลบหนีพ้น!
โครม!
ปิงซื่อเทียนก้าวเดินอย่างสบาย ๆ ประหนึ่งนักล่าผู้ช่ำชอง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเข้าสู่ส่วนลึกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ตลอดเส้นทาง ทั้งภูเขาและอาคารโบราณต่างพังทลาย ไม่มีสมบัติล้ำค่าชิ้นใดหรือสัตว์อสูรตัวไหนรอดไปได้แม้แต่อย่างเดียว พวกมันไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงร้องก่อนที่จะถูกกำจัดด้วยซ้ำ
เรือนรับรอง
ยอดเขาทั้งห้า
ห้องโถงใหญ่ของนิกาย
หอคัมภีร์
…
นิกายกระบี่เก้าเรืองรองทั้งหมดถูกทำลายลงโดยปิงซื่อเทียน สวรรค์แห่งการฝึกฝนที่เดิมทีเป็นเหมือนอาณาจักรสำหรับเหล่าเซียนกลายเป็นซากปรักหักพัง
“ปิง! ซื่อ! เทียน! เจ้าไม่มีทางได้ตายดีแน่!”
บรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิงถูกปิงซื่อเทียนควบคุมตัวไว้ที่ด้านข้าง ได้แต่เฝ้ามองดูเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไม่อาจทำอะไรได้ พวกเขาโกรธมากจนตาแทบจะถลน เลือดเป็นสายหลั่งไหลออกมาจากหางตา เสียงของพวกเขาดูเหมือนถูกบีบออกมาจากรอยแตกระหว่างฟันและเต็มไปด้วยความโกรธแค้นไม่มีที่สิ้นสุด
นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของพวกเขา แต่ตอนนี้มันกลับถูกปิงซื่อเทียนทำลายไปตลอดทาง แล้วจะไม่ให้โกรธแค้นได้อย่างไร?
ปิงซื่อเทียนหัวเราะเบา ๆ “เมื่อหลายปีก่อน เฉินซีเองก็ทำแบบเดียวกันนี้กับนิกายวิถีกระแสสวรรค์ของข้าไม่ใช่หรือ? หากเจ้าต้องการตำหนิใครสักคน ก็จงโทษตัวเองที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีเสียเถิด นี้คือผลของการเกี่ยวข้องกับเขา”
ขณะที่พูด ร่างของเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ดวงตาหันจ้องไปยังอาคารแห่งหนึ่งราวกับสายฟ้า จากนั้นก็ลูบคางและจมอยู่กับความคิด “นั่นคือถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตของนิกายเจ้าใช่หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าถ้ำดาบมีทั้งหมดเก้าสิบเก้าชั้น มันถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนซากของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ที่ทั้งลึกลับและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ข้าสงสัยนักว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
เมื่อเติ้งเฉินและเฟยหลิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พวกเขาไม่คิดเลยว่าปิงซื่อเทียนจะรู้เรื่องนี้
“ตอนนี้พวกมัน… กำลังซ่อนตัวอยู่ข้างในใช่หรือไม่?”
ปิงซื่อเทียนเหลือบมองทั้งสองก่อนจะเริ่มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะนั้นกลับเย็นยะเยือกและอาฆาตพยาบาทยิ่ง “ข้าใจดีพอที่เสนอให้พวกเจ้ายอมจำนน แต่พวกเจ้ากลับไม่เต็มใจ ดูเหมือนว่าข้าคงจะทำได้เพียงส่งพวกเจ้าทุกคนตามกันไปเท่านั้น”
ขณะที่พูด เขาก็เหยียดแขนออกแล้วกดลงจากระยะไกล อาคารโบราณพังทลายลง เผยให้เห็นทางเข้าสู่อาณาจักรลับที่ปกคลุมไปด้วยข้อจำกัดหลายชั้น
นั่นคือทางเข้าสู่ถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
“เจ้ากล้า!” เติ้งเฉินและเฟยหลิงคำรามด้วยความโกรธพร้อมสีหน้าดุร้าย
“ฮ่าฮ่า! ทำไมข้าจะไม่กล้า? แม้เฉินซีจะกลับมาจากภพเซียน ข้าก็จะฆ่าพวกเจ้า!” มุมปากของปิงซื่อเทียนยกขึ้นอย่างเหยียดหยาม เขาสัมผัสได้ว่าความเกลียดชังและความขุ่นเคืองที่อัดแน่นอยู่ในใจมาเป็นเวลานานกำลังถูกระบายออกมา แต่นั่นยังไม่เพียงพอ!
เขาต้องการกวาดล้างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองให้สิ้นซาก! เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความเกลียดชังในใจได้!
“เจ้าหมาเฒ่าทั้งสอง จงจับตาดูให้ดีและดูให้ชัดว่า ข้ากล้าทำลายนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเจ้าหรือไม่!” ทันใดนั้นปิงซื่อเทียนก็คำรามพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะชักกระบี่เซียนออกมา แสงสีม่วงทอประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต
ควับ!
เขาสะบัดมือออกไปอย่างไม่จริงจัง ปราณกระบี่สีม่วงชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยพลังแห่งหายนะอันน่าสะพรึงกลัวตัดฟันลงมา มันดูราวกับแม่น้ำสีม่วงไหลผ่านอวกาศที่แตกสลาย ตัดแยกหยินและหยางออกจากกัน และก่อให้เกิดแรงกดดันที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ท่าทีของเวินหัวถิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเผยให้เห็นความสิ้นหวัง การโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินไป และมันคงจะสามารถทำลายถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตนี้ลงได้อย่างง่ายดายเป็นแน่!
“ปิง! ซื่อ! เทียน!” ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ จู่ ๆ น้ำเสียงเย็นชาเฉียดแทงกระดูกก็ดังก้องขึ้นสะท้อนทั่วสวรรค์และปฐพี ก่อนที่ร่างสูงจะปรากฏตัวออกมาจากอากาศ เจ้าของเสียงเอื้อมมือคว้าออกไป บดขยี้ปราณกระบี่สีม่วงให้กลายเป็นผุยผง
ชายคนนี้สวมเสื้อผ้าสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลาถูกห่อหุ้มเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็นที่ไร้ขอบเขต เขาคือเฉินซี!
“เฉินซี!” ภายในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต จิตวิญญาณของเวินหัวถิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่เดิมเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เมื่อสังเกตเห็นรูปร่างที่คุ้นเคยของผู้มาใหม่ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและกลับมามีความหวังอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสเฉินซีกลับมาแล้ว!”
“โอ้สวรรค์! เรารอดแล้ว!”
ไม่ใช่แค่เวินหัวถิงและเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ทั้งหมดของนิกายที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องและรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นเฉินซี
การที่พวกเขาต้องประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน ทำให้หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด การปรากฏตัวของเฉินซีจึงไม่ต่างจากแสงตะวันที่ฉีกกระชากความมืดมิด ทำให้มองเห็นความหวังอีกครั้ง
“อย่าได้มองโลกในแง่ดีเกินไป ปิงซื่อเทียนที่เฉินซีได้สังหารลงไปเมื่อหลายปีก่อน เป็นเพียงร่างอวตารเท่านั้น สถานการณ์ในยามนี้เองก็ไม่เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน” หลังจากที่บรรพบุรุษเฟิงถิงสงบลง เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะที่พูดขึ้น
หัวใจของเวินหัวถิงและเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กระตุกวูบเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใช่แล้ว! เมื่อหลายปีก่อน ปิงซื่อเทียนนับเป็นอัจฉริยะในภพเซียนอยู่แล้ว ขณะที่เฉินซีเพิ่งเข้าสู่ภพเซียนไปเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น คราวนี้เขาจะสู้กับปิงซื่อเทียนได้หรือไม่?
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน!
พริบตานั้น บรรยากาศมืดมนลงเล็กน้อย ผู้อาวุโสหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับเฉินซี
…
แม้จะใช้เวลาสักพักในการอธิบาย ทว่านับตั้งแต่ที่เฉินซีปรากฏตัวจนถึงช่วงเวลาที่เขาบดขยี้ปราณกระบี่นั้น กลับผ่านไปได้ไม่ถึงชั่วครู่เท่านั้น ในขณะที่เวินหัวถิงและคนอื่น ๆ จดจำเฉินซีได้ ปิงซื่อเทียนเองก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน
“เฉินซี!”
หัวใจของปิงซื่อเทียนกระตุก เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคู่ต่อสู้ที่เกลียดชังมานับร้อยปี ด้วยเขาไม่เหมือนเวินหัวถิงกับคนอื่น ๆ ที่ไม่รู้ถึงชื่อเสียงในภพเซียนของเฉินซี
กลับกัน เขาตระหนักถึงการกระทำที่น่าตกตะลึงจนสั่นสะเทือนโลกของอีกฝ่ายในภพเซียนเป็นอย่างดี และเข้าใจว่าหากที่นี่คือภพเซียน ตนก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินซีเลย
ที่นี่คือภพมนุษย์!
เขา ปิงซื่อเทียน ได้ลงมาที่นี่พร้อมกับคำสั่งจากจักรพรรดิเซียนจื่อเหิงแห่งภพเซียน แล้วเฉินซีล่ะ? มันจะต้องใช้ทักษะลับต้องห้ามบางอย่างเพื่อแอบลงมาที่ภพมนุษย์เป็นแน่!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้สังเกตเห็นแล้วว่ารัศมีที่เฉินซีครอบครองตอนนี้ คล้ายคลึงกับตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนทองคำเท่านั้น แล้วแบบนี้ทำไมเขาถึงจะต้องกลัวเฉินซีด้วย?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จิตวิญญาณของปิงซื่อเทียนก็สดชื่นขึ้นมาทันที สายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม ราวกับผู้ล่ากำลังจับจ้องเหยื่อ
“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าไม่คิดมาก่อนว่า ตัวบัดซบอย่างเจ้าจะกล้ามาเผชิญหน้ากับข้าเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่าในภพเซียน เจ้าเป็นที่รู้จักในฐานะตัวตนที่ไม่มีใครเทียบได้ และได้รับการยกย่องอย่างสูงจากผู้คนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่น่าเสียดาย ที่นี่คือภพมนุษย์! ไม่ว่าในภพเซียนเจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้าย เจ้าก็ต้องถูกควบคุมโดยกฎแห่งเต๋าสวรรค์ของภพมนุษย์อยู่ดี!”
ปิงซื่อเทียนยืนเอามือไพล่หลัง ปล่อยชายเสื้อให้โบกสะบัด ทำให้ดูสงบและเคร่งขรึม
“เจ้าเองก็ด้วยไม่ใช่หรือ?” สายตาของเฉินซีราวกับสายฟ้าเย็นยะเยือก จับจ้องไปที่ปิงซื่อเทียน จากไกล ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ก่อนหน้านี้ ระหว่างทางเขาได้เห็นค่ายกลใหญ่คุ้มนิกายที่เสียหาย ประตูทางเข้าที่พังทลาย ยอดเขา ห้องโถงและอาคารที่ถูกทำลายสิ้น…
ทันทีที่เห็นชายผู้นี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความแค้นในอดีตทั้งหมด และหลังจากที่ได้เห็นภาพที่พื้นที่โดยรอบถูกทำลายอีกครั้ง มันจึงทำให้เขาโกรธมาก และตัดสินใจว่า คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฆ่าไอ้สารเลวนี้ให้ได้!
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่เหมือนกับคราวก่อน!” ปิงซื่อเทียนพูดช้า ๆ ขณะที่พูด เขาก็มองไปที่เติ้งเฉินและเฟยหลิงที่ถูกควบคุมอยู่ข้าง ๆ “ดูสิ พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า แล้ว เจ้าอยากจะเห็นตอนที่พวกมันตายด้วยน้ำมือของข้าหรือไม่?”
สิ้นเสียงพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาและคุกคาม
นี่คือสิ่งที่ทำให้เฉินซีอดกลั้นใจไว้จนถึงตอนนี้ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ทนพูดกับปิงซื่อเทียน และลงมือโจมตีอีกฝ่ายไปแล้ว
“ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ!”
“ไอ้เวรนี่! ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะไร้ยางอายขนาดนี้!”
เมื่อเวินหัวถิงและคนอื่น ๆ เห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง
ในทางกลับกัน เฉินซียังคงเงียบ!
ชายหนุ่มระงับจิตสังหารและความเกลียดชังในหัวใจเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็เปิดปากพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปเช่นกัน”
“ฮ่า ๆ ๆ! ในเวลาแบบนี้ เจ้ายังกล้าอวดดีอยู่อีกหรือ!?”
ปิงซื่อเทียนดูราวกับได้ยินเรื่องตลกมาก จึงหัวเราะออกมาดังลั่น หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “เฉินซี หยุดฝันกลางวันได้แล้ว หากเจ้าต้องการให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อ ก็คุกเข่าลงและขอร้องให้ข้าปล่อยพวกมันไปเสีย บางทีมันอาจจะกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจในใจของข้า ให้เมตตาปล่อยพวกมันไปก็เป็นได้”
คุกเข่า?
ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำที่มีเจตนาสร้างความอัปยศอดสูให้ตน เฉินซีก็เกือบจะสูญเสียการควบคุมจิตสังหาร สายตาเย็นเฉียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หัวใจของปิงซื่อเทียนรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดังอย่างน่ากลัว “อะไร? หรือเจ้าคิดจะรอดูพวกมันตาย? คุกเข่าลงให้ข้าซะ เร็ว ๆ เข้า! ไม่เช่นนั้น หลังจากผ่านไปสิบลมหายใจ ข้าจะฆ่าพวกมันอย่างแน่นอน!”