บทที่ 811 กินเนื้อ
สวี่หยวนซวงไม่ได้กลัวสวี่หลิงเยวี่ย แม้มารดาจะเตือนนางว่าอย่าได้ไปยั่วยุลูกสาวคนโตของสะใภ้รองผู้นี้ แต่สวี่หยวนซวงคิดว่าต่อให้ยุแหย่แล้วจะอย่างไร พี่ใหญ่จะตำหนินางเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรือ
การปัดแข้งปัดขากันระหว่างหญิงสาว ขอเพียงรักษาเส้นเขตไว้ได้ ผู้ชายก็คร้านจะไปสนใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางกับลูกผู้น้องผู้นี้ไม่ใช่คนที่ชิงรักหักสวาทเพราะพิษรักแรงหึง จะต่อสู้ไปได้ถึงขั้นไหน
มารดาก็ระแวดระวังเกินไป กลัวว่าจะเกิดการขัดแย้งแล้วทำให้พี่ชายไม่สบายใจ
สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“พี่ใหญ่แต่งงาน แขกที่เชื้อเชิญหากไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง ก็เป็นบุคคลผู้มีฝีมือยอดเยี่ยม ลายมือบนเทียบเชิญงดงามเกินไป จะเอาออกมาได้อย่างไร ฐานะของพี่ใหญ่อยู่เหนือกว่าผู้ใด ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่คนที่เป็นน้องสาวจะไม่รู้เรื่องด้วยหรือ”
สวี่หยวนซวงเพิ่งหยิบพู่กันขึ้นมาต้องชะงักไปทันที นางมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นี่มัน จู่ๆ ก็รุกฆาตซะงั้น…สวี่ชีอันรีบมองไปทางมารดาผู้บังเกิดเกล้า ค้นพบว่านางมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ดูเหมือนจะไม่สนใจสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบุตรสาว
นี่นางอยากให้ข้าคลี่คลายความอึดอัด…สวี่ชีอันก็ไม่อยากโต้เถียงกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ขณะที่ในใจปลงอนิจจังว่าในบ้านมีผู้หญิงมาก ละครก็ยิ่งน่าดูมากขึ้นนั้น เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อวานหลิงเยวี่ยถูกน้ำร้อนลวกจนเจ็บมือ จับพู่กันไม่สะดวก ส่วนป้ามู่ ดูเหมือนเมื่อคืนป้ามู่จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก ไม่ต้องรบกวนนางแล้ว”
เขาขยิบตาให้มู่หนานจืออย่างลับๆ
เมื่อรู้ว่าเขาบ่งบอกถึงอะไร มู่หนานจือยังคงมีสีหน้าสงบ นางรักษารอยยิ้มอ่อนโยนแบบผู้อาวุโสไว้ และตรงใต้โต๊ะ เท้าที่สวมรองเท้าปักก็เตะสวี่ชีอันทันที
การคบกันของทั้งสองเป็นความลับมากๆ ต่อหน้าคนในครอบครัว สวี่ชีอันวางมาดเป็นผู้เยาว์ เมื่อพบเจอกับเทพบุปผาก็เรียก ‘ป้า’ อยู่ตลอด
นอกจากไม่อยากเห็นนางทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าสาธารณชนแล้ว เขายังมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะให้เทพบุปผาอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโส ในวันแต่งงาน เช่นนี้ต่อให้นางอยากจะก่อความวุ่นวายก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว
ด้วยความรักเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเทพบุปผา เป็นการยากที่จะทำเรื่องขายหน้าท่ามกลางสายตาสาธารณชน น่าจะระงับโทสะไว้ในใจแล้วค่อยคิดบัญชีกับเขาภายหลัง
แค่ภายนอกดูสงบสุข สวี่ชีอันก็ไม่กลัวว่านางจะทำตัวเป็นปีศาจในภายหลัง พอถึงตอนนั้นแค่แทงหอกแข็งเข้าไป ขาทั้งคู่และร่างกายของเทพบุปผาก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปเอง
ไม่เหลือพลังรบอะไรทั้งสิ้น
“หยวนซวง เจ้าเขียนแทนข้าก่อนหนึ่งรอบ รอเอ้อร์หลางกลับมาค่อยให้เขาคัดลอกอีกรอบ”
สวี่หยวนซวงถือโอกาสวางมือแล้วยิ้มหวาน
อีกด้านหนึ่ง อาสะใภ้ก็ลากแขนเสี่ยวโต้วติงและผลักไปด้านหน้าจีไป๋ฉิงก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“พี่สะใภ้ใหญ่ นี่คือหลิงอินบุตรสาวตัวน้อยของข้า”
จีไป๋ฉิงพิจารณาใบหน้ากลมๆ ไร้เดียงสาของเสี่ยวโต้วติงอย่างละเอียด และกล่าวชมเชย
“ดูๆ แล้วก็ฉลาดหลักแหลมเหมือนกับหลิงเยวี่ย บุตรสาวที่เสี่ยวหรูให้กำเนิดดีหมดเลย ดีมาก!”
ฟู่…สวี่ชีอันเกือบจะหัวเราะออกมา ในใจเขาพูดว่า นี่มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนี่ ทั้งเหน็บแนมทิ่มแทงหลิงเยวี่ย แก้แค้นให้กับหยวนซวง ทั้งยังทำให้อาสะใภ้ดีใจด้วย
สวี่หลิงเยวี่ยมีใบหน้าไร้ความรู้สึก น้อยมากที่นางจะเผยสีหน้าแบบนี้ออกมา
อาสะใภ้ดีใจมาก นางลูบศีรษะเสี่ยวโต้วติงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“หลิงอินของข้าฉลาดตั้งแต่เด็ก รีบเรียกท่านป้าสิ”
พี่สะใภ้ใหญ่ช่างพูดจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนแรกที่ชมว่าสวี่หลิงอินฉลาดหลักแหลม
“ท่านป้า!” เสี่ยวโต้วติงตะโกนออกมา
จากนั้นก็หันไปถามมารดาด้วยความฉงน
“ท่านป้าคืออะไรหรือ”
นางไม่เคยมีป้ามาก่อน จึงไม่รู้สถานะของ ‘ท่านป้า’
เดิมทีอาสะใภ้อยากบอกว่าท่านป้าก็คือภรรยาของท่านลุง แต่พอนึกถึงสวี่ผิงเฟิงนางก็รู้สึกเกลียดชัง จึงเปลี่ยนคำพูด
“ท่านป้าก็คือท่านแม่ของพี่ใหญ่”
สวี่หลิงอินตกใจจนอ้าปากค้าง
“ที่แท้ข้ามีท่านแม่สองคนนี่”
อาสะใภ้แทบจะเอามือปิดหน้า นางพยายามพูดกอบกู้สถานการณ์
“หลิงอินยังเด็ก นางคิดมาตลอดว่าต้าหลางเป็นพี่ชายแท้ๆ”
ในสายตาของสวี่หลิงอิน นางมีพี่ชายสองคนและพี่สาวหนึ่งคนมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นเช่นนี้ บางทีก็สงสัยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงเรียกบิดามารดาว่าอาสะใภ้กับอารอง
แต่นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ทุกคนต่างก็มีสถานะที่แตกต่างกัน คำเรียกจึงไม่เหมือนกัน
‘ที่แท้ก็เป็นเด็กโง่เขลาคนหนึ่ง…’ สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวคิดเช่นนี้ในใจ
จีไป๋ฉิงยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่มีสีหน้าผิดปกติใดๆ และถือโอกาสพูดออกมา
“ควรก่อปัญญาให้นางได้แล้ว เอ้อร์หลางยุ่งอยู่กับงานราชการ ในบ้านก็ไม่มีอาจารย์ ทำไมไม่ให้หยวนซวงสอนนางอ่านหนังสือเรียนรู้ตัวอักษรล่ะ”
พูดจบนางก็ค้นพบว่าคนตระกูลสวี่จ้องมองตนเองด้วยสีหน้าแปลกๆ รวมทั้งสวี่ชีอันที่เป็นบุตรคนโตด้วย
“มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”
นางขมวดคิ้วกล่าว
อาสะใภ้หัวเราะแห้งๆ เผยสีหน้าลำบากใจ
“หลิงอินน่ะ อืม โง่เขลาไปหน่อย ล้มเลิกไปเถิด”
อาสะใภ้เป็นคนมีความเมตตากรุณา ไม่ทำลายคนในครอบครัวของตนเอง
แม้ปากจะบอกว่าหลิงอินฉลาดตั้งแต่เด็ก แต่ในใจรู้ดีว่าหลิงอินของตนเองอาจจะโง่เขลากว่าเด็กวัยเดียวกันเล็กน้อย
สวี่หยวนซวงเขียนเทียบเชิญไปพลาง กล่าวไปพลาง
“อาสะใภ้ ไม่ใช่ปัญหาอะไร แม้ข้าจะไม่ปราดเปรื่องเหมือนเอ้อร์หลาง แต่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เล็ก การสอนหลิงอินไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว อาสะใภ้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่ตอบตกลงเท่านั้น
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด สวี่หลิงเยวี่ยไม่พูดอะไรสักคำ นางอาจไม่แสดงท่าที ‘เลวร้าย’ อะไรต่อหน้าพี่ใหญ่
อีกทั้งใครก็ตามที่ได้ยินว่าหลิงอินเป็นผู้ที่ก่อปัญญายาก ต่างก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาราชครูหรืออาจารย์ในสำนัก รวมถึงหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นต่างก็คิดเช่นนี้
สวี่หลิงเยวี่ยคิดว่าต่อให้ตนเองจะไม่กระพือลมให้ติดไฟ ลูกผู้พี่คนนี้ก็จะเหมือนกับคนอื่นๆ ดังที่คาดหมายเอาไว้
สวี่หยวนซวงพยักหน้าด้วยความพอใจจากนั้นก็ถามต่อ
“ได้ยินว่าหลิงอินเรียนไสยศาสตร์กู่กับแม่นางท่านนี้ที่ซินเจียงตอนใต้หรือ”
แม่นางที่ปากไม่เคยหยุดเลย
อาสะใภ้กล่าว
“ล้วนเป็นความคิดของต้าหลาง เขาบอกว่าหลิงอินไม่ชอบเรียนหนังสือ ทั้งยังไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ จึงได้แต่ส่งไปเรียนไสยศาสตร์กู่เท่านั้น”
จีไป๋ฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พรสวรรค์ด้อยไปหน่อยไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ความมุมานะบากบั่นสามารถชดเชยกันได้ สวี่ต้าหลางไม่มีเวลาสั่งสอนนางฝึกยุทธ์ มีเวลาว่างก็ให้หยวนไหวสอนนางได้ ดีเลวอย่างไรหยวนไหวก็เป็นยอดฝีมือขั้นห้า อย่าปล่อยให้พี่ชายที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ต้องเสียเปล่า”
นางคิดว่าต้าหลางจะต้องไม่มีเวลาและอารมณ์ในการสอนเด็กคนหนึ่ง สวี่ผิงจื้อที่เป็นน้องรองก็เป็นเช่นนี้
ขณะนี้ ระดับสลายแรงขั้นห้าของหยวนไหวก็ส่งผลสะท้อนออกมาให้เห็นแล้ว
อีกทั้งไม่ว่าขั้นห้าจะอยู่ที่ไหนล้วนนับเป็นยอดฝีมือ ยอมฝึกยุทธ์ให้เด็กคนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเจตนาดีต่อหลิงอิน
ลี่น่ากล่าวออกมาตรงๆ
“เขาไม่มีคุณสมบัติในการสอนหลิงอิน”
คำพูดนี้ทำให้มารดาบังเกิดเกล้าถึงกับอึ้ง สีหน้าดูเก้อเขินเล็กน้อย
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วกล่าว
“หยวนไหวคือขั้นห้า อีกทั้งยังอยู่ห่างจากขั้นสี่ไม่มากแล้ว เหตุใดจะไม่มีคุณสมบัติกัน”
ลี่น่าทำแก้มป่องและกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“เช่นนั้นข้าคือขั้นสี่นะ พ่อข้าคือขั้นสาม มีพวกเราคอยสอนหลิงอินก็พอแล้ว ขั้นห้าเล็กๆ อย่างเขามาผสมโรงทำไมกัน”
เรื่องสอนสวี่หลิงอินเรียนหนังสือนางจะไม่ยุ่ง แต่จะสอนสวี่หลิงอินบำเพ็ญนั้น ลี่น่าไม่ยอม
นี่มันไม่เห็นอาจารย์อย่างนางอยู่ในสายตาเลย
“ขั้นสามหรือ!”
สวี่หยวนไหวตะลึงงัน และลองหยั่งเชิงดู “พ่อของเจ้าคือขั้นสาม และก็สอนไสยศาสตร์กู่ให้กับหลิงอินด้วย?”
นางพิจารณาลี่น่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง มองออกว่าแม่นางจากซินเจียงตอนใต้ที่กินไม่หยุดผู้นี้ เหมือนจะมีสถานะไม่ธรรมดา
สวี่ชีอันกล่าวเสริม
“ผู้นำหลงถูก็เป็นอาจารย์ของหลิงอิน”
สวี่หยวนซวงมองดูมารดาและน้องชายทีหนึ่ง ค้นพบว่าพวกเขามีสีหน้าตกใจระคนสงสัยเหมือนกับตนเองไม่มีผิด
นี่มันไม่เหมือนกับที่เล่าลือกันนี่ น้องเล็กผู้นี้สติปัญญาโง่เขลามิใช่หรือ ผู้แข็งแกร่งขั้นสามจะสอนศิษย์โง่เขลาคนหนึ่งได้อย่างไร
จีไป๋ฉิงมองดูเสี่ยวโต้วติงที่ดูซื่อๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และถามขึ้นมา
“ไสยศาสตร์กู่ของหลิงอินเป็นอย่างไรบ้าง”
ลี่น่าเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ
“กำลังร่างกายของหลิงอินในตอนนี้พอที่จะเทียบกับจอมยุทธ์ขั้นแปดได้ อย่างมากปลายปีก็สู้ขั้นเจ็ดได้แล้ว พรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก”
อาสะใภ้ประหลาดใจมาก นางมองดูเสี่ยวโต้วติงด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ
“เจ้าเกือบตามพ่อของเจ้าทันแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หลิงอินคือพรสวรรค์ของเผ่าลี่กู่น่ะ”
‘ตอนนี้คือขั้นแปด ปลายปีขั้นเจ็ด และพี่ใหญ่ก็ไม่ได้โต้แย้ง’ สวี่หยวนซวงมองดูเด็กน้อยที่ยังสูงไม่เท่าโต๊ะด้วยสีหน้างงงวย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองใช้ชีวิตที่ผ่านมาสิบเก้าปีอย่างเปล่าประโยชน์
‘ขั้นแปดที่มีอายุเจ็ดขวบ?!’
‘บนโลกนี้มีขั้นแปดที่อายุเจ็ดขวบด้วยหรือ’
‘นี่คือเด็กน้อยโง่เขลาที่ผู้คนในจวนสวี่พูดถึงหรือ’
‘พรสวรรค์ของเด็กทั้งสามของสะใภ้รองน่ากลัวเช่นนี้เชียวหรือ…’ จีไป๋ฉิงแอบตกใจ นางคิดว่าสวี่หลิงเยวี่ยกับสวี่ซินเหนียนคือหงส์และมังกรในโลกมนุษย์แล้ว ใครจะคิดล่ะว่า ดูเหมือนพี่ชายและพี่สาวจะไม่คู่ควรเป็นคนถือรองเท้าให้น้องเล็กเสียด้วยซ้ำ?
‘ตอนข้าอายุเจ็ดขวบยังฝึกฝนปราณโลหิตอยู่เลย ยังไม่เข้าขั้น…’ สวี่หยวนไหวเหมือนกับถูกยั่วยุ มือทั้งสองกำหมัดแน่น แทบอยากกลับไปบำเพ็ญที่สำนัก
สามคนแม่ลูกสังเกตเห็นว่า นอกจากต้าหลางแล้ว บางทีเจ้าเด็กนี่อาจเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดในตระกูลสวี่
“ท่านแม่ ข้าอยากออกไปเล่นแล้ว”
สวี่หลิงอินไม่ชอบอยู่ที่นี่แล้วฟังผู้ใหญ่คุยกัน
“ไปเถอะ!” อาสะใภ้กล่าวเตือน “ห้ามเหยียบแปลงปลูกดอกไม้เสียหายล่ะ”
“เหยียบเสียหายแล้วจะเป็นอย่างไร” สวี่หลิงอินพูดหยั่งเชิง
“ก็เอาเจ้าไปย่างกินซะ” สวี่ชีอันขู่
สวี่หลิงอินหนีออกไปด้วยความกลัว
ลี่น่าก็วิ่งตามออกไป และถือโอกาสนำขนมอบบนโต๊ะไปด้วย
…
งานแต่งใกล้เข้ามา อาสะใภ้มีเรื่องต้องยุ่งมากมายก่ายกอง นี่คือหน้าที่ของนางในฐานะนายหญิงที่ดูแลครอบครัว ผู้ช่วยเพียงคนเดียวอย่างสวี่หลิงเยวี่ยก็เกียจคร้านหมดอาลัยตายอยาก อาสะใภ้จึงถือโอกาสนี้ ให้พี่สะใภ้อยู่ช่วยงาน
จีไป๋ฉิงจะต้องยินยอมสิ อย่างไรซะคนที่แต่งงานด้วยก็เป็นลูกชายคนโตของนาง
สวี่ชีอันถือเทียบเชิญที่เขียนเสร็จกองหนึ่งกลับไปห้อง เขาต้องการตรวจสอบการตกหล่นและเสริมเข้าไป สหายที่ควรเชิญต้องเชิญให้หมด ไม่อาจตกหล่นได้
อันดับแรกทางด้านราชสำนัก เชิญแค่แกนกลางไม่กี่คนของพรรคเว่ย เช่นฝ่ายตรวจการจางสิงอิง หลิวหงและคนอื่นๆ
พรรคหวางล่ะก็ อดีตสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินจะต้องเชิญอย่างแน่นอน แต่น่าจะส่งหวางซือมู่มาร่วมงานเลี้ยงสมรส ตัวเขาเองไม่เข้าร่วม
เจ้าพนักงานในที่ทำการปกครองต้องเชิญมากหน่อย ฆ้องทองคำเก้าท่าน และข้าราชการร่วมงานที่สนิท เช่นซ่งถิงฟง จูกว่างเสี้ยว หลี่อวี้ชุน เป็นต้น
ในนั้นพี่ชุนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาบอกว่าในรัศมีสิบกว่าเมตร ต้องไม่มีการปรากฏตัวของจงหลี
ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องให้ตัวเอกอย่างเขาจัดการให้เรียบร้อย
ข้าราชการร่วมงานที่รู้จักกันตอนเป็นมือปราบที่อำเภอฉางเล่อก็ต้องเชิญ อย่าลืมกันแม้จะมีฐานะร่ำรวยและสูงส่งขนาดไหน นี่คือภาระหน้าที่อันพึงกระทำของมนุษย์
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามท่านในสำนักอวิ๋นลู่ และจ้าวโส่วที่เป็นเจ้าสำนักศึกษาก็ต้องเชิญ ที่ต้องระมัดระวังก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในงานเลี้ยงสมรสห้ามแต่งบทกวีเด็ดขาด มิเช่นนั้นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองสามท่านก็จะต่อสู้กันโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว
คนสำนักโหราจารย์ไม่กี่ท่านก็ต้องเชิญ ต้องเตรียมโต๊ะส่วนตัวเล็กๆ ให้หยางเชียนฮ่วน ต้องหันหน้าเข้าหาผนังและหันหลังให้แขก
“ข้าต้องให้จงหลีอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา มิเช่นนั้นหากเกิดหายนะนองเลือดในงานแต่งคงไม่ดี เชิญศิษย์พี่ซุนแล้วก็ผู้พิทักษ์หยวนน่าจะตามมาด้วย ไม่ได้! ถ้ามันมางานแต่งก็ดำเนินต่อไม่ได้แล้ว หากซ่งชิงต้องการมาละก็ ข้าต้องบอกล่วงหน้าก่อนว่าไม่ต้องมอบของขวัญให้ ข้ากลัวว่าเขาจะยก ‘ร่างโคลนนิ่งลั่วอวี้เหิง’ มาด้วย สมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนอยู่ในเมืองหลวง ไม่ขาดประชุมแน่นอน”
จากนั้นเป็นสหายในยุทธภพ คนที่เข้าตาเขาและสนิทสนมกันก็มีแค่คนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
“คนซินเจียงตอนใต้ก็ไม่เรียกแล้ว เพิ่งนอนกับหลวนอวี้ไป หากนางมาด้วยล่ะก็จบเห่กันพอดี อีกอย่างข้ากลัวว่าหลงถูจะพาคนทั้งเผ่ามากินงานเลี้ยง…เฮ้อ นี่มันคนจำพวกไหนกัน!”
สวี่ชีอันนวดระหว่างคิ้ว
‘แกร๊ก…’
ประตูห้องถูกผลักออก มู่หนานจือมีสีหน้าเยือกเย็น ในมือถือพุทราเชื่อมจำนวนหนึ่ง นางกินไปพลางเผยรอยยิ้มเยือกเย็นไปพลาง
“ฮ้า! เทียบเชิญของฆ้องเงินสวี่ยังเขียนไม่เสร็จเลย ให้ป้ามู่ช่วยเขียนให้หรือไม่”
“ดีเลย ดีเลย!” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กำลังค้างชุดหนึ่งพอดี อืม ข้ายังต้องเชิญมู่หนานจือพระชายาอ๋องสยบแดนเหนือมาดื่มเหล้ามงคลในจวนด้วย”
มู่หนานจือ ‘จ้องตาเขียวปัด’ กล่าว
“ข้าจะเปิดเผยพฤติกรรมชั่วร้ายของคนบ้ากามอย่างเจ้าต่อหน้าแขก บอกว่าเจ้าทำให้ข้าด่างพร้อย ครอบงำข้า ไอ้คนหน้าไม่อาย”
สวี่ชีอันทำสีหน้าไร้เดียงสา
“ป้ามู่ ทำไมท่านถึงทำตัวอันธพาลล่ะ มีมาดของผู้อาวุโสหน่อยได้หรือไม่”
มู่หนานจือโมโหมาก นางแยกเขี้ยวยิงฟันคว้าไปที่หน้าของเขา
แต่ถูกมือทั้งสองของสวี่ชีอันบิดไปด้านหลัง และกดไว้บนโต๊ะ
หยอกล้อกันอยู่ดีๆ โต๊ะหนังสือก็สั่นไหวและส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
…
ในลานบ้าน สวี่หลิงอินกับลี่น่านั่งลิ้มรสขนมอบอยู่ข้างโต๊ะหิน
“อาจารย์ ข้าอยากกินเนื้อ”
สวี่หลิงอินพูดออดอ้อนในขณะที่ขนมเต็มปาก “ท่านช่วยไปหาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
ลี่น่าเองก็ขนมเต็มปาก และมองนางทีหนึ่ง
“เจ้าจะถือโอกาสที่ข้าไปหาเนื้อ แอบเขมือบขนมอบเหล่านี้คนเดียวล่ะสิ”
สวี่หลิงอินมองดูลี่น่าด้วยความหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าความคิดของตนเองจะถูกอาจารย์มองออก อาจารย์ช่างเก่งกาจเสียจริง
ลี่น่าบ่นพึมพำ
“ข้าก็อยากกินเนื้อ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงนะ หากอยู่ซินเจียนตอนใต้ก็ดีสิ อาจารย์จะพาเจ้าออกไปล่าสัตว์”
สองศิษย์อาจารย์ทอดถอนใจพร้อมกัน ขณะนี้มีเสียงดัง ‘แกรกๆ’ มาจากแปลงปลูกดอกไม้ จากนั้นไม่นานลูกจิ้งจอกน้อยน่ารักตัวหนึ่งก็มุดออกมา
ดวงตาทั้งหกจ้องประสานกัน
………………………………………