บทที่ 814 คนเปิดประเด็นและคนยุยง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 814 คนเปิดประเด็นและคนยุยง

สุริยาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก สวี่ชีอันสวมเครื่องแบบราชบุตรเขยอย่างเป็นทางการยืนรอต้อนรับแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงอยู่ที่หน้าประตูพร้อมด้วยทาสรับใช้ในจวนจำนวนหนึ่งและอารอง

ไม่นาน เขาก็ได้พบกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยอย่างนายอำเภอจูประจำที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ ผู้คุมหลี่และหัวหน้ามือปราบหวัง

สิ่งที่แวบขึ้นมาในสมองของสวี่ชีอันในช่วงแรกที่เขามาต้าฟ่งคือ หัวหน้ามือปราบหวังและผู้คุมหลี่ต้องเป็นผู้จุดประกายแสงสว่างในด้านความบันเทิงเริงรมย์ให้กับเขาเป็นแน่ ช่วงเวลานั้น พี่หวังและพี่หลี่เสียเงินทุกวัน…

“ข้าน้อยจูหมิง แสดงความเคารพฆ้องเงินสวี่ขอรับ”

นายอำเภอจูก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและก้มโค้งคำนับ

หัวหน้ามือปราบหวังและคนอื่นๆ ก็แสดงความเคารพอย่างระมัดระวังเช่นกัน

สวี่ชีอันต้อนรับพวกเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดยังรออยู่ที่ว่าการอำเภอฉางเล่อเล่า? ท่านจู ราชสำนักสนับสนุนทหารมานับร้อยปีก็เพื่อให้พวกเจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจและสติปัญญาทั้งหมดเพื่อประเทศชาติ เช่นนั้นจะท้อถอยหรือหย่อนหน้าที่มิได้”

นายอำเภอจูที่มีจิตใจเบิกบานพยายามระงับความปีติภายในจิตใจ และโค้งคำนับกล่าวว่า “ฆ้องเงินสวี่สั่งสอนถูกต้องแล้วขอรับ”

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง นายอำเภอจูพร้อมด้วยหัวหน้ามือปราบหวังและคนอื่นๆ ก็ตามทาสรับใช้จวนตระกูลสวี่เข้าไปในจวน

จังหวะก้าวเท้าของท่านจูแทบจะลอยขึ้นไปบนอากาศ เขาทุ่มเททำงานหนักที่อำเภอฉางเล่อมาหลายปี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นความหวังในการเลื่อนขั้น แต่สิ่งที่ฆ้องเงินสวี่พูดเมื่อครู่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเขานั่นเอง

หลังจากต้อนรับทุกคนจากอำเภอฉางเล่อแล้ว ไม่นานสวี่ชีอันก็ต้อนรับการมาถึงของแขกกลุ่มที่สอง รถม้าขนาดใหญ่และหรูหราจอดลงที่ริมถนน คนขับนำเก้าอี้เตี้ยมาวางบริเวณทางลง จากนั้นก็มีคนสามคนทยอยลงมาจากตู้รถทีละคน…หวางซือมู่และคุณชายตระกูลหวังสองท่าน

“ท่านพ่อไม่สบาย ไม่สะดวกออกเดินทางต่างถิ่น จึงให้พวกเราสามพี่น้องรุดหน้ามาแสดงความยินดีกับการแต่งงานของฆ้องเงินสวี่” หวางซือมู่แสดงความเคารพคู่ลุงหลานทั้งสองอย่างนอบน้อม

“พี่น้องแตกแยกกันแล้ว เรียกพี่ใหญ่ก็ได้ เชิญเข้าด้านในเถอะ” สวี่ชีอันเดินนำหวางซือมู่เข้าไปด้านในด้วยท่าทีกระตือรือร้นและใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ข้าจัดที่นั่งพิเศษให้สำหรับพี่น้องแล้ว อย่าได้ปฏิเสธ”

ใบหน้าหวางซือมู่ยิ้มเล็กน้อย แต่ในใจกลับจมดิ่งลงอย่างอธิบายไม่ถูก นางรู้สึกว่ารอยยิ้มของสวี่ชีอันเป็นรอยยิ้มลวงโลกที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

เขาเพิ่งปล่อยให้ทาสรับใช้พาหวางซือมู่และพี่ชายทั้งสองเข้าไปในจวน เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าอารองกำลังต้อนรับการมาของแขกกลุ่มที่สาม

นั่นคือเจ้าลัทธิและผู้ช่วยเจ้าลัทธิ ในบรรดาผู้ที่สวมผ้าปิดหน้า เซียวเยว่หนูที่สวมกระโปรงยาวสุ่มดูสะดุดมากที่สุด ถึงแม้จะไม่เห็นรูปลักษณ์ภายนอก แต่ท่าทีและบุคลิกของนางก็ยังดูโดดเด่นมาก

หลังจากที่พวกเขาได้รับเชิญก็รีบมุ่งหน้ามาที่เมืองหลวงล่วงหน้าหลายวันและพักอยู่ในศาลาพักม้าที่เมืองหลวงมาโดยตลอด

ตอนนี้เจ้าลัทธิและผู้ช่วยเจ้าลัทธิเหล่านี้ต่างก็มีตำแหน่งในราชการแล้ว ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจ แต่การมีตำแหน่งราชการเป็นฉากบังหน้าก็สามารถเดินทางไปทุกที่ได้อย่างสะดวกและสามารถเข้าไปอยู่ในศาลาพักม้าได้

“ท่านผู้อาวุโสโค่วไม่มารึ?”

ถึงแม้สวี่ชีอันจะคาดการณ์ไว้นานแล้วแต่ก็ยังคงวางมาดไม่พอใจ

“ท่านผู้อาวุโสโค่วปิดด่านปลีกวิเวกแล้วเจ้าค่ะ ก็เลยไหว้วานให้พวกเรามาแสดงความยินดีกับฆ้องเงินสวี่เจ้าค่ะ” เซียวเยว่หนูกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

สวี่ชีอันชายตามองนางพลางพยักหน้ารับและกล่าวว่า “เชิญทุกท่านเข้าด้านในเถิด!”

เขาไม่พูดอะไรอีกและให้ทาสรับใช้นำทางกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนเข้าไปในจวน เพราะเขาเห็นซ่งชิงและฉู่ไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์ รวมทั้งหยางเชียนฮ่วนที่กำลังยืนหันหลังให้จวนตระกูลสวี่และใช้ค่ายกลส่งตัวระยะสั้นแทนการเดิน

“ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หยาง ไฉ่เวย พวกเจ้ามาแล้ว!”

สวี่ชีอันเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้มและท่าทีกระตือรือร้น

ฉู่ไฉ่เวยมองเข้าไปหลายต่อหลายครั้งและกล่าวเสียงหวานว่า “เริ่มกินดื่มกันแล้วรึ?”

ซ่งชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องไฉ่เวยหิวตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

สุดยอดไปเลย นางเหมือนกับลี่น่าไม่มีผิด พวกเจ้าทั้งสามร่วมมือกันรึไง? สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “รอพระอาทิตย์ตกก่อน รอพระอาทิตย์ตกก่อน”

ซ่งชิงกล่าวเสียงทุ้ม “งานแต่งงานคุณชายสวี่ทั้งที ทำไมไม่ให้ข้ามอบของขวัญเล่า?”

ข้าจะกล้ารับของที่เจ้ามอบให้รึ? หากไม่ใช่ของเล่นแร่แปรธาตุแปลกๆ ก็คงจะเป็นตุ๊กตาในรูปแบบคนจริงๆ นั่นแหละ…ในทะเลสมองของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความคิดไม่ดี เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ด้วยมิตรภาพของพวกเราแล้ว ศิษย์พี่ซ่งไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอก”

ในที่สุดก็ถึงตาของหยางเชียนฮ่วนแล้ว เขากระแอมในลำคอและกล่าวด้วยท่วงทำนองเสนาะหูว่า “สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหา…”

พูดยังไม่ทันจบ สวี่ชีอันก็ขัดจังหวะเขาขึ้นมา “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์น้องหญิงฉู่ไฉ่ เข้าไปเถอะ เข้าไปเถอะ! ศิษย์พี่จงรอพวกเจ้าอยู่ด้านในแล้ว เอ๋? นั่นศิษย์พี่หยางไม่ใช่รึ ทำไมยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเล่า”

‘ไอ้สุนัขหัวขโมย วันนี้ข้าจะชำระบัญชีแค้นทั้งเก่าและใหม่กับเจ้าซะ รอข้าเถอะ’…หยางเชียนฮ่วนสาบานอย่างลับๆ พลางตามซ่งชิงและฉู่ไฉ่เวยเข้าไปในจวนพร้อมกับแสงไฟกะพริบวาววับ

หลังจากส่งเหล่าลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์แล้ว สวี่ชีอันก็มองไปยังสุดปลายถนน สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ถอนหายใจช้าๆ พลางเดินเข้าไปต้อนรับ “เมี่ยวเจิน เทพบุตร ยินดีต้อนรับ”

หลี่เมี่ยวเจินแบกกระบี่ไว้ด้านหลัง สวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า พร้อมกับใบหน้าไร้ความรู้สึก

เทพบุตรทักทายด้วยรอยยิ้ม เขากล่าวแสดงความยินดีก่อน จากนั้นก็หันไปตำหนิหลี่เมี่ยวเจินว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าทำหน้านิ่งเช่นนี้ใส่ใครกัน? หรือว่าการแต่งงานของฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีรึ? หรือว่าฆ้องเงินสวี่และองค์หญิงหลินอันไม่ใช่คู่ที่สวรรค์บรรจงสร้างขึ้น? ฆ้องเงินสวี่เพิ่งช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆ เจ้ายังจะทำหน้านิ่งเช่นนี้ ช่างไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยจริงๆ”

หลี่เมี่ยวเจินเหลือบตามองสวี่ชีอันและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยที่ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็ได้หัวใจขององค์หญิงผู้งดงาม!”

น้อยครั้งที่นางจะมีรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม

หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ประเดี๋ยวตอนที่ปลุกห้องเจ้าสาว ศิษย์น้องหญิงต้องออมมือด้วยล่ะ”

ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนกำลังกลั้นความคิดไม่ดีไว้จริงๆ…สวี่ชีอันยิ้มเยาะในใจพร้อมกับส่งศิษย์พี่น้องเข้าไปในจวน

แขกเหรื่อมาถึงทีละกลุ่มๆ จนกระทั่งม่านราตรีค่อยๆ เข้ามาปกคลุมอย่างช้าๆ

เมื่อโคมที่ประดับแสงสีอันงดงามสว่างขึ้น ในที่สุดเขาก็เห็นรถม้าของเว่ยเยวียนค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา คนขับรถม้าคือหนานกงที่มีท่วงท่าราวกับสตรี ฆ้องทองคำอย่างเจียงลวี่จงและจางไคไท่ขี่ม้าขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ด้านหลังคือเหล่าฆ้องเงินและฆ้องทองแดง

สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าเพื่อเริ่มการเข้าไปต้อนรับ

หนานกงเชี่ยนโหรวจอดรถม้าที่ริมถนน เมื่อเห็นเขามาก็หลีกทางโดยอัตโนมัติ

‘ตอนนี้ข้าไม่มีความสามารถที่จะจัดการกับบุคคลนี้ได้แล้ว’

สวี่ชีอันวางเก้าอี้เตี้ยลง เปิดประตูรถม้า พาเว่ยเยวียนลงมาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เว่ยกง ข้าน้อยรอท่านมานานแล้ว”

โดยปกติแล้วเว่ยเยวียนจะไม่เข้าร่วมทั้งงานมงคลและงานอวมงคลต่างๆ แต่สำหรับการแต่งงานของสวี่ชีอันแล้ว เขาต้องมาแน่นอน

หลังจากเว่ยเยวียนลงจากรถม้า เขาก็หันไปมองในตู้รถด้านหลัง

ในตู้รถ มีใบหน้าเย็นชาที่แสนจะงดงามราวกับรูปวาดปรากฏขึ้น นางสวมชุดของบุรุษและไม่แต่งหน้า แต่ก็ไม่ได้ลอดทอนความงามตามธรรมชาติของนางลงแม้แต่น้อย

ตั้งแต่สมัยโบราณ หญิงงามที่สวมเสื้อผ้าของบุรุษล้วนมีท่วงทำนองที่น่าประทับใจ

สีหน้าของสวี่ชีอันค่อยๆ แข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆ “ฝ่าบาท?”

เขาพูดในใจว่า ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงผู้กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ทำไมไม่รออยู่ที่พระราชวัง มาเข้าร่วมงานแต่งงานทำไมกัน?

นี่มันผิดมารยาท!

ฮว๋ายชิ่งกล่าวเสียงเบาว่า “หลินอันเป็นน้องสาวคนโปรดของข้า ข้าแค่แวะมาเพื่อดื่มเหล้ามงคลในวันแต่งงานของนาง แต่ดูเหมือนฆ้องเงินสวี่จะไม่เต็มใจนัก?”

ถึงอย่างไรก็มาแล้ว หลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้…สวี่ชีอันฝืนยิ้มต้อนรับ “ยินดีต้อนรับพ่ะย่ะค่ะ!”

เว่ยเยวียนตบไหล่เขาและกล่าวช้าๆ ว่า “ระหว่างงานเลี้ยง ข้าจะนั่งใกล้กับฝ่าบาทตลอด”

สวี่ชีอันพยักหน้ารับก่อนจะรีบถามว่า “ทำไมล่ะ?”

เว่ยเยวียนยิ้มอย่างอบอุ่น กล่าวสามพยางค์เงียบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในจวนพร้อมกับแขนเสื้อที่โบกสะบัด

‘ดูละคร!’

…จู่ๆ สวี่ชีอันก็ไม่อยากส่งเขาเข้าไปในจวน จึงปล่อยให้อารองช่วยจัดการแทน

หลังจากนั้นไม่นาน นักบวชเต๋าจินเหลียนพร้อมกับสมาชิกพรรคฟ้าดินก็มาถึงอย่างช้าๆ

คำแรกที่ฉู่หยวนเจิ่นพูดเมื่อเห็นสวี่ชีอันคือ “ข้าจะนั่งกับหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสอง”

นี่เจ้าก็มาดูละครด้วยรึ…สวี่ชีอันสาปแช่งเขาในใจ แต่ยังคงรักษารอยยิ้มอันสง่างามและสุภาพบนใบหน้าไว้พร้อมกับส่งสมาชิกพรรคฟ้าดินเข้าไปในจวน

จากนั้นจ้าวโส่วก็มาถึงพร้อมกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งสำนักอวิ๋นลู่

สวี่ชีอันมองหยางกงและยิ้มอย่างรู้ใจ “ขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์อาวุโสที่เลื่อนสู่ขั้นเหนือมนุษย์”

หยางกง

จวนตระกูลสวี่มีลานบ้านสี่ลาน ห้องโถงสามห้อง ซึ่งตำแหน่งของแต่ละสถานที่ก็ถูกจัดตามตำแหน่งทางราชการที่แตกต่างกัน

อย่างเช่น สมาชิกตระกูลสวี่ถูกจัดอยู่ในห้องโถงใหญ่ระหว่างลานชั้นในและลานชั้นนอก แต่อำเภอฉางเล่อและขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการไม่สูงนักจะถูกจัดไว้ที่ลานชั้นนอก

ขุนนางที่อยู่ระดับหกขึ้นไปจะถูกจัดไว้ที่ลานด้านตะวันออกของลานชั้นใน ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนถูกจัดไว้ที่ลานด้านตะวันตกซึ่งอยู่ติดกับทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

สำหรับญาติสนิทมิตรสหายของสวี่ชีอันจะนั่งอยู่ที่กลางห้องโถงชั้นใน

ในห้องโถงชั้นในมีโต๊ะทั้งหมดห้าโต๊ะ

โต๊ะหนึ่งคือเว่ยเยวียน หนานกงเชี่ยนโหรว ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงและคนอื่นๆ ส่วนซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวได้รับข้อยกเว้นในการนั่งร่วมกับเหล่าฆ้องทองคนอื่นๆ เนื่องจากมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างพวกเขาและสวี่ชีอัน

สำหรับหลี่อวี้ชุน เพื่อสุขภาพกายและใจของเขา สวี่ชีอันส่งเขาไปนั่งกับฆ้องทองแดงและฆ้องเงินที่ลานด้านตะวันตก

โต๊ะหนึ่งคือตระกูลสวี่ อารอง อาสะใภ้ จีไป๋ฉิง คู่พี่น้องสวี่หยวนซวง สวี่หลิงเยวี่ย

อีกโต๊ะหนึ่งมีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ท่านแห่งสำนักอวิ๋นลู่ จ้าวโส่ว สวี่เอ้อร์หลาง ซ่งชิงและหยางเชียนฮ่วน

อีกโต๊ะหนึ่งมีนักบวชเต๋าจินเหลียน อาซูหลัว ไต้ซือเหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น เหมียวโหย่วฟาง หลี่หลิงซู่ และโม่ซางพี่ชายของลี่น่า

กล่าวได้ว่าหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม โม่ซางก็ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและไม่ยอมกลับไปที่ซินเจียงตอนใต้อีก ตอนนี้เขาจึงเป็นขุนนางเล็กๆ อยู่ในกองทัพหลวง

ส่วนโต๊ะสุดท้ายนั้นยอดเยี่ยมมาก มีฮว๋ายชิ่ง จงหลี หลี่เมี่ยวเจิน มู่หนานจือ ลี่น่า ฉู่ไฉ่เวยและหวางซือมู่

หวางซือมู่มองไปรอบๆ ทั้งซ้ายและขวา นางรู้สึกว่าตนเองเข้ากับผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้เลยสักนิด

หลี่หลิงซู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจและพูดในใจว่า ‘ไอ้สุนัขหัวขโมยสวี่หนิงเยี่ยน จู่ๆ ก็จัดให้ข้านั่งกับผู้หญิงเหล่านี้ เขาคิดว่าตัวเองยังตายเร็วไม่พอรึ’

เดิมทีเขาคิดว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะให้เขาและศิษย์พี่หยางนั่งในมุมเงียบสงบของงานเลี้ยง เพราะพวกเขาได้เตรียมตัวพร้อมในการทะลวงหน้าหนาๆ ของ ‘เจ้าบ้าน’ แล้ว

เทพบุตรจะปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร เรื่องที่น่าชื่นมื่นที่สุดในชีวิตมนุษย์คือการได้นั่งกับเหล่าคนสนิทในงานแต่งงานของ ‘ศัตรู’ หลังจากนั้นก็โหมกระหน่ำจุดไฟยุยงให้ราบ

บรรยากาศในห้องโถงแปลกประหลาดเล็กน้อย

สวี่เอ้อร์หลางถามว่า “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงจัดให้ซือมู่นั่งข้างเหล่าพี่สะใภ้เล่า?”

“จำเป็นต้องมีคนฉลาดสักคนอยู่ข้างๆ คอยไกล่เกลี่ยอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันตอบกลับเช่นนี้

“พ่อบุญธรรม ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าบรรยากาศดูไม่ปกติ”

หนานกงเชี่ยนโหรวกวาดสายตามองเหล่าหญิงสาวที่โต๊ะนั้น ก่อนจะกวาดสายตามองโต๊ะอื่นๆ จากนั้นเขาก็ค้นพบว่าหลี่หลิงซู่ ฉู่หยวนเจิ่น สวี่เอ้อร์หลางและเหมียวโหย่วฟางมักจะแอบมองโต๊ะนั้นเป็นบางครั้ง ในแววตาแฝงไปด้วยความคาดหวังบางอย่างที่ลี้ลับ

เว่ยเยวียนเผยรอยยิ้ม

“น้องสอง เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวเหล่านี้?”

ดวงตาเห็นแจ้งอันโชติช่วงของจีไป๋ฉิงเห็นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของหญิงสาวโต๊ะนั้นก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ

อืม แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก สาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้และสตรีในชุดกระโปรงสีเหลืองนั้น พวกนางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยจนริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยความมัน

นอกจากนี้ นางยังสงสัยว่าทำไมมู่หนานจือถึงได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย

พี่สาวร่วมสาบานของเสี่ยวหรูควรจะนั่งโต๊ะเดียวกับพวกเขาไม่ใช่รึ?

อารองสวี่ครุ่นคิดและตอบกลับว่า “ก็ ก็…ในบรรดาพวกนางมีหลายคนที่สนิทสนมกับหนิงเยี่ยน อืม รวมถึงฝ่าบาทด้วย”

จีไป๋ฉิงตระหนักได้ในทันที

เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่นั้นดูปกติที่สุด พวกเขากินและดื่มตามสมควรและปกติ

“เอ๋ ยังมีที่ว่างอีกสองที่นั่ง”

หลี่หลิงซูู่เหลือบมองที่ว่างทั้งสองด้านข้างหลี่เมี่ยวเจินพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หนิงเยี่ยน ที่นั่งสองที่นั่งนี้เป็นของใครรึ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นเจ้าบ่าวซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเว่ยเยวียนในเวลานี้ก็ตอบกลับว่า “อ๋อ นั่นเป็นที่นั่งของราชครู นางน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”

ในขณะที่กล่าวก็มีลำแสงสีทองพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เข้ามาในห้องโถงและกลายเป็นรูปลักษณ์ของลั่วอวี้เหิง

สวยสดงดงามราวกับนางสวรรค์

ฮว๋ายชิ่ง หลี่เมี่ยวเจิน สวี่หลิงเยวี่ยและจงหลีชายตามองเซียนครองพิภพเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

รอยยิ้มบนใบหน้าหลี่หลิงซู่ฉีกลึกขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขามีท่าทีกระตือรือร้นมากกว่าเจ้าบ่าวเสียอีก เขารีบลุกขึ้นยืนโดยที่มุมปากแทบจะฉีกถึงโคนหู “ราชครู มา มานั่งเถิด!”

หลังจากลั่วอวี้เหิงนั่งลงประจำที่แล้ว นางก็เหลือบตามองสวี่ชีอันเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร

เมื่อหลี่หลิงซู่เห็นทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วก็ไอกระแอมเล็กน้อย

หยางเชียนฮ่วนที่อยู่อีกโต๊ะได้รับแตรสัญญาณให้เข้าวังก็กล่าวทอดถอนใจเสียงดังว่า “หนิงเยี่ยนเป็นชายหนุ่มที่มีสติปัญญา รักอิสระ มีความสามารถยอดเยี่ยม ตอนนี้แต่งงานกับหลินอันไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงกี่คนที่อกหักจนต้องแอบร้องไห้น้ำตาตกใน ช่างน่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ!”

เมื่อหยางเชียนฮ่วนคนเปิดประเด็นพูดจบแล้ว หลี่หลิงซู่คนยุยงก็วางแก้วสุราลงและกล่าวโต้ว่า “ศิษย์พี่หยางกล่าวอะไรเช่นนั้น? หนิงเยี่ยนมีความรักอันสุดซึ้งและทุ่มเทให้กับองค์หญิงหลิงอันเพียงหนึ่งเดียว หญิงคนอื่นจะร้องก็ร้องไป เกี่ยวอะไรกับหนิงเยี่ยนเล่า? พวกนางล้วนเป็นหญิงที่ดีแต่แต่งหน้าแต่งตัวแล้วคิดอยากจะปีนขึ้นไปบนยอดไม้สูงเท่านั้น”

…………………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท