ตอนที่ 591 ตักเตือน(2)
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่เซเลน่าและมัลฟอยรับยาแล้วกำลังเตรียมตัวพร้อมรับประทาน อีธานก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองเตรียมตัวกำลังจะกินยา ก็กล่าวด้วยสีหน้าถอดสี “เซเลน่า มัลฟอย พวกเธอกล้าเกินไปแล้ว ไม่กลัวหรือไงว่ากินยานี้แล้วจะมีอะไรผิดปกติ”
ในตอนนี้ เอลล่าก็เดินเข้ามาด้วย หล่อนมองขวดยาที่อยู่ในมือของพวกเขา ก่อนจะเอ่ยว่า “จริง พวกเธอควรฟังสิ่งที่อาจารย์บอกนะ กินยาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง แล้วยานี้ก็ยังไม่ได้ตรวจสอบเลย ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจะทำยังไง”
เซเลน่าจ้องมองเอลล่า ก่อนจะพูดว่า “เธอหุบปากไปเถอะ เรื่องของพวกเราไม่ได้เกี่ยวกับเธอ”
“เธอ…”
เอลล่าเห็นว่าตัวเองมีเจตนาดี แต่ก็ยังโดนต่อว่า สีหน้าจึงหม่นหมองลงทันที แล้วกล่าวว่า “แล้วแต่พวกเธอเถอะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเธอก็อย่ามาคร่ำครวญแล้วกัน”
หล่อนทนดูฉินมู่หลานคอยชักจูงคนอื่นแบบนี้ไม่ได้ ยาจีนจะมีอะไรดีเท่ายาตะวันตกได้ จากที่หล่อนเห็น มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย
จริง ๆ แล้วเดฟก็อยากให้ฉินมู่หลานลองตรวจชีพจรให้เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อวานนี้พลาดโอกาสไปแล้ว เขาก็เกรงใจเกินกว่าจะเปิดปากพูด ตอนนี้เมื่อเห็นเอลล่ายังใส่ร้ายฉินมู่หลาน เขาก็ทนไม่ไหว แล้วเอ่ยว่า “เอลล่า เซเลน่ากับมัลฟอยทดลองทักษะการแพทย์ของฉินแล้ว พวกเขาเองรู้ดี เธอไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”
เอลล่ามองเดฟด้วยความไม่อยากเชื่อแล้วเอ่ยว่า “เดฟ นายเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมถึงไปเข้าข้างฉินมู่หลานล่ะ นายควรจะอยู่ข้างเดียวกับฉันสิ”
เดฟปรายตามองเอลล่า แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย
และคนอื่นก็หันไปมอง อันที่จริงพวกเขาก็อยากรู้ว่ายาที่ฉินมู่หลานสกัดขึ้นมานั้นจะได้ผลจริงหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างไรมัลฟอยก็เชื่อมั่นในตัวฉินมู่หลาน เขาจึงไม่พูดอะไรแล้วกินยาทันที
เมื่อเห็นมัลฟอยกินยานั้นเข้าไปแล้ว สีหน้าของอีธานก็ดูไม่ค่อยดีนัก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนักศึกษาทั้งสองคนนี้ขณะอยู่ที่ประเทศจีน เขาจะต้องรับผิดชอบ
เซเลน่าเห็นมัลฟอยกินแล้ว หล่อนก็รีบกินตามไปหนึ่งเม็ดเหมือนกัน
ฉินมู่หลานเห็นว่าทั้งสองเข้าข้างเธอมาก ก็อดกล่าวพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ “พวกเธอยังอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน เดี๋ยวต่อจากนี้ไปก็คงจะได้เห็นผล หากได้ผลดี ก่อนจะเดินทางกลับ เดี๋ยวฉันจะทำเพิ่มให้พวกเธออีกสองขวด”
สิ่งนี้ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่พวกเขาไว้วางใจเธอ
เซลิน่าและมัลฟอยได้ยินสิ่งนี้ ก้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม กล่าวว่า “โอเค ขอบคุณมากนะฉิน”
อีธานเห็นว่านักศึกษาทั้งสองถูกฉินมู่หลานชักจูงไปกันหมดแล้ว จึงไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องอยู่ที่จีนอีกหลายวัน หากช่วงหลายวันนี้กินยาแล้วมีปัญหาจริงก็คงเห็นได้ เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้ง
จริง ๆ แล้วหลัวซงผิงและหลินไคจงก็กังวลนิดหน่อย เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่ายาที่ฉินมู่หลานทำจะได้ผลหรือเปล่า และไม่ควรจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนักศึกษาแลกเปลี่ยนพวกนี้ แต่เมื่อนึกถึงทักษะทางการแพทย์ของฉินมู่หลานแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก อาจจะ…ไม่มีปัญหาก็ได้
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกเราก็เริ่มออกเดินทางกันเลยครับ”
หลินไคจงยิ้มแล้วเดินนำทางไป เตรียมพาทุกคนไปที่พระราชวังต้องห้าม วันนี้ไม่ได้ไปโรงพยาบาล และพาพวกนักศึกษาแลกเปลี่ยนพวกนี้ไปเที่ยวชมรอบเมืองหลวงแทน เพราะจะให้เรียนทุกวันก็คงไม่ได้ อย่างไรก็ต้องปรับสมดุลระหว่างการเรียนและการพักผ่อน
เยวี่ยจงจีและหลี่หมิงฮุ่ยเดินตามหลังหมู่คณะ หลี่หมิงฮุ่ยจ้องมองฉินมู่หลานและฌวี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ตรงหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะหันมองเยวี่ยจงจีแล้วเอ่ยถาม “จงจี นายจะไม่ลองถามจริง ๆ เหรอ?”
เขาครุ่นคิดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว รู้สึกว่าอย่างไรก็ควรจะเอ่ยถามตามตรงดีกว่า
แต่ถึงอย่างไร เยวี่ยจงจีได้ตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากจะเอ่ยถามตรง ๆ กลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และตู้เยว่เอ๋อร์จะทันสังเกตได้
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทตั้งใจเช่นนั้น หลี่หมิงฮุ่ยจึงไม่พูดอะไรมาก แต่เมื่อมาถึงพระราชวังต้องห้ามแล้ว ขณะที่ทุกคนกำลังชมพระราชวังต้องห้ามด้วยกัน เขาก็ยังหาโอกาสแล้วพูดคุยกับเซี่ยปิงหรุ่ย
ถ้าถามฉินมู่หลานตรง ๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถามเซี่ยปิงหรุ่ยก่อนแล้วกัน
“นักศึกษาเซี่ย เธอกับนักศึกษาฉินสนิทกันใช่ไหม”
เซี่ยปิงหรุ่ยปรายตามองหลี่หมิงฮุ่ยครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “นายอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ฉันแค่อยากจะถาม ว่าเธอรู้เรื่องการร่วมธุรกิจระหว่างมู่เสวี่ยและตู้เยว่เอ่อร์หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัย “นายถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน”
“เธอก็รู้นี่นา ว่าจงจีเป็นลูกชายคนโตของเยว่หรงกรุ๊ป แล้วตู้เยว่เอ่อร์ก็เป็นเมียน้อยคนที่สามของพ่อเขา หลังจากเรียนจบเขาจะต้องไปทำงานให้กับบริษัท จึงอยากจะถามเรื่องตู้เยว่เอ่อร์เอาไว้ล่วงหน้าน่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยก็ทราบตัวตนของเยวี่ยจงจีเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ทราบเรื่องการร่วมธุรกิจของฉินมู่หลานและตู้เยว่เอ่อร์เลย จึงได้แต่ยักไหล่ แล้วกล่าวว่า “ฉันไม่รู้หรอก แล้วฉันเองก็ไม่ได้รู้จักตู้เยว่เอ่อร์ด้วย ตู้เยว่เอ่อร์คนนั้นเป็นเมียน้อยคนที่สามของพ่อเขา เขาก็ควรจะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาถามฉันล่ะ”
“ฉัน…”
หลี่หมิงฮุ่ยไม่คาดคิดว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะไม่ทราบอะไรเลย “เธอเป็นหุ้นส่วนกับนักศึกษาฉินไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องของหล่อนเลยล่ะ”
“ฉันเป็นหุ้นส่วนกับมู่หลาน แต่ทำไมฉันจะต้องสนใจเรื่องของคนที่ทำธุรกิจร่วมกับหล่อนด้วยล่ะ”
“เธอ…”
หลี่หมิงฮุ่ยพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็ยังเอ่ยปากเตือน “ตู้เยว่เอ่อร์คนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร เธอให้นักศึกษาฉินระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดี”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็เริ่มให้ความสนใจขึ้นมา
“ทำไมถึงเป็นคนไม่ดีเหรอ อย่าบอกนะว่าเพราะตู้เยว่เอ๋อร์เป็นเมียน้อยของพ่อเยวี่ยจงจี นายก็เลยมาใส่ความหล่อน”
หลี่หมิงฮุ่ยเหลือมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วกล่าวว่า “ฉันจำเป็นต้องใส่ความตู้เยว่เอ๋อร์เหรอ เธอยังไม่รู้ ตอนแรกจงจีมีน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่ว่า…เสียไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว”
เซี่ยปิงหรุ่ยคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ “หรือว่า ตู้เยว่เอ่อร์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”
“ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าหลักฐานจะไม่ชัดเจน แต่ต้องเกี่ยวข้องกับตู้เยว่เอ๋อร์แน่นอน”
ตอนแรกเซี่ยปิงหรุ่ยคิดว่ากำลังได้ยินความลับอะไรบางอย่างที่น่าตื่นเต้น แต่สุดท้ายมันก็เท่านี้
“อะไรกัน ไม่มีหลักฐานแล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเป็นตู้เยว่เอ่อร์ ถึงจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ก็อย่าพูดพล่อย ๆ”
“เธอนี่นะ ทำไมถึงหัวดื้อจัง”
หลี่หมิงฮุ่ยยังคงกล่าวต่อไป “อันที่จริง ก็เป็นเพราะน้องชายคนนั้นไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ ของจงจีด้วย จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่จงจีลองตรวจสอบอะไรบางอย่างในตอนนั้นแล้ว เรื่องนั้นต้องเกี่ยวข้องกับตู้เยว่เอ๋อร์แน่นอน ผู้หญิงคนนั้นโหดเหี้ยมใจอำมหิต ยังไงพวกเธอเองก็ระวังตัวเอาไว้ให้มากแล้วกัน”
เมื่อไม่ได้ยินอะไรเพิ่มเติม เขาจึงพูดเรื่องนี้แทน ด้วยรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยกับเซี่ยปิงหรุ่ยต่อแล้ว
เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้ก็ครุ่นคิด ถึงแม้ว่จะรู้สึก ว่าเรื่องนี้ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังหาโอกาสบอกฉินมู่หลาน
หลังจากฉินมู่หลานทราบก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ตกลง ฉันรู้แล้ว”
ดูเหมือนว่าตอนนี้ เยวี่ยจงจีและตู้เยว่เอ่อร์จะอยู่กันคนละฝั่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพูดเท่าใด ดูเหมือนว่าจะต้องลองตรวจสอบบางอย่างเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้เธอมองตู้เยว่เอ๋อร์เป็นเหมือนคนน่าสงสาร จึงยอมให้ยาหล่อนไป แต่หากอีกฝ่ายเป็นเหมือนที่หลี่หมิงฮุ่ยกล่าวจริง เช่นนั้นเธอคงโดนอีกฝ่ายหลอกเข้าเสียแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ฉินมู่หลานยังคงตามกลุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนไปทุกที่ เมื่อการประชุมแลกเปลี่ยนนี้กำลังจะสิ้นสุดลง มัลฟอยก็รีบวิ่งไปหาฉินมู่หลานด้วยสีหน้าตื่นเต้นแล้วเอ่ยถามว่า “ฉิน เธอช่วยทำยานี้ให้ฉันอีกได้ไหม พวกมันน่าทึ่งมากเลย อาการนอนไม่หลับของฉันทุเลาขึ้นมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เป็นวันที่ฉันนอนหลับได้ดีที่สุดในรอบหลายปีเลย”
หลังจจากพูดจบ สีหน้าของมัลฟอยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วบอกกล่าว “ได้ผลก็ดีแล้ว”
อันที่จริงเซเลน่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เธอรู้สึกว่าหลังจากกินยาแล้ว ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ของทางมัลฟอยกลับเห็นผล หล่อนจึงเชื่อว่ายาของตนก็เป็นยาดีเหมือนกัน จึงเอ่ยถามฉินมู่หลานเช่นกัน ว่าทำให้หล่อนเพิ่มอีกสองขวดได้ไหม
“ได้ ไม่มีปัญหา”