ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 592 การประชุมแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 592 การประชุมแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น(1)

หลังจากที่มัลฟอยและเซเลน่ามาขอยาเม็ดอีกครั้ง ฉินมู่หลานก็ทำยาออกมา หลังจากให้ยาพวกเขาแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกขอบคุณเธออย่างสุดซึ้ง

“ฉิน ขอบคุณเธอมากจริง ๆ นะ”

มัลฟอยเอ่ยขอบคุณจากใจจริง ซาบซึ้งใจกับฉินมู่หลานเป็นอย่างมาก ช่วงสองวันมานี้ การนอนของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก รู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

เซเลน่าที่อยู่อีกด้านก็ขอบคุณฉินมู่หลานเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายก็ตาม แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ กลับพบว่าผิวพรรณของตัวเองมีเลือดฝาดอมชมพู ดูสวยขึ้นมาก ซึ่งก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้ทำอะไรมาก ดังนั้นจึงคาดเดาว่าเกี่ยวกับยาที่ฉินมู่หลานจ่ายให้อย่างแน่นอน

“ฉิน ให้พวกเราเลี้ยงข้าวเธอเถอะ”

เซเลน่านึกถึงฉินมู่หลานที่ต้องทำงานหนักเพื่อสกัดยาให้พวกเขา พวกเขายังไม่ได้ตอบแทนเลย

มัลฟอยก็เห็นด้วยเหมือนกัน

แต่ฉินมู่หลานเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “พวกเธอไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอก พรุ่งนี้พวกเธอก็จะเดินทางกลับกันแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันจึงตั้งใจมาเชิญพวกเธอไปกินอาหารมื้อดี ๆ สักมื้อ”

ทั้งสองได้ยินแบบนี้ก็ไม่เซ้าซี้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะชวนคนเลี้ยงข้าวไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังตอบแทนด้วยวิธีอื่นได้

ในตอนนี้ เยวี่ยจงจีและหลี่หมิงฮุ่ยก็เดินเข้ามา เมื่อได้ยินว่าฉินมู่หลานกำลังจะเลี้ยงข้าวเซเลน่าและมัลฟอย พวกเขาก็รีบเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ก่อนจะเอ่ยว่า “นักศึกษาฉิน แล้วพวกเราล่ะ ตอนนี้ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ยังไงก็เป็นสหายกัน พวกเราขอไปด้วยได้ไหม”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็ยิ้ม แล้วกล่าว “ได้อยู่แล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราจะออกเดินทางกัน วันนี้จะพาพวกเธอไปกินเป็ดย่าง”

“ดีเลย ตอนแรกฉันกับจงจีก็ว่าจะไปกินเป็ดย่างเหมือนกัน แต่พวกเรากลับมีความคิดเดียวกัน ช่างบังเอิญเหลือเกิน” หลี่หมิงฮุ่ยยิ้มอย่างสดใส แค่รู้สึกว่าตัวเองกับฉินมู่หลานใจตรงกัน

ในตอนนั้นเอง เซี่ยปิงหรุ่ยก็เดินเข้ามา เมื่อรู้ว่ากำลังจะไปกินเป็ดย่าง หล่อนก็จะไปด้วย

“ไปเถอะ พวกเราออกเดินทางกันเลย”

เซี่ยปิงหรุ่ยรู้สึกว่าแค่คนพวกนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเรียกพวกคนญี่ปุ่นกับอเมริกามาเพิ่ม เพราะไม่ว่าจะเป็นเอลล่าหรือชิโยโกะ หล่อนก็ไม่ชอบเลย

ฉินมู่หลานก็ไม่มีความตั้งใจที่จะเรียกคนอื่น พวกเขาทั้งหกคนไปที่ภัตราคารเป็ดปักกิ่งฉวนจู้เต๋อ จะว่าไปแล้ว ก็บังเอิญ เพราะภัตตาคารเป็ดปักกิ่งฉวนจู้เต๋อนี้เพิ่งเปิดเมื่อเดือนกุมภาพันธืในปีนี้ ในร้านคนเยอะมาก เมื่อพวกเขามาถึงก็เหลือโต๊ะใหญ่หนึ่งโต๊ะตรงหัวมุม ส่วนอีกสองโต๊ะที่เหลือไม่สามารถจุจำนวนคนถึงหกได้

แต่หลายคนก็ไม่ได้สนใจ นั่งลงแล้วเริ่มสั่งอาหารทันที

ฉินมู่หลานกลัวว่าทุกคนจะกินกันไม่พอ จึงสั่งเป็ดมาสามตัว

“เดี๋ยวถ้ากินไม่พอ พวกเราคอยสั่งเพิ่ม”

หลี่หมิงฮุ่ยได้ยินแบบนี้ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “นักศึกษาฉิน แคนี้ก็พอแล้วล่ะ พวกเรากินกันไม่หมดแล้ว”

เซเลน่าและมัลฟอยก็พยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากเป็ดย่างมาถึง ฉินมู่หลานก็ห่ออย่างชำนาญ คนอื่นก็ค่อย ๆ ห่อเหมือนกัน เซเลน่ากับมัลฟอยท่าทางดูไม่ค่ออคุ้นเคยนัก แต่หลังจากทั้งสองได้ลองกิน ทั้งสองก็ทำได้คล่องแล้ว หลงจากนั้นก็กล่าวชม “เป็ดย่างนี้มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แล้วรสชาติก็ดีมากด้วย”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วบอกกล่าว “เป็ดพวกนี้ย่างหมักพร้อมผลไม้ จึงได้มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผลไม้ ถ้าพวกเธอชอบ ก็กินเยอะ ๆ หน่อยนะ”

“อื้ม พวกเราชอบมากเลย”

เซเลน่าและมัลฟอยกินไปไม่น้อย เยวี่ยจงจีและหลี่หมิงฮุ่ยที่อยู่อีกด้านก็ไม่แพ้กัน ไม่นานเป็ดย่างสามตัวก็ใกล้จะหมดแล้ว

“เอิ่ก…อิ่มจังเลย”

หลี่หมิงฮุ่ยลูบท้องพลางเรอ รู้สึกว่าตัวเองกินมากเกินไป จึงต้องเดินเยอะ ๆ เพื่อให้ย่อยเสียหน่อย ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามฉินมู่หลานว่าต่อไปจะไปที่ไหนต่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างอันคุ้นเคย

“จงจี นั่นใช่ตู้เยว่เอ๋อร์หรือเปล่าน่ะ”

หลี่หมิงฮุ่ยสะกิดแขนเสื้อเยวี่ยจงจี พื่อให้เขาหันไปมองทางหน้าประตู

เยวี่ยจงจีได้ยินแบบนี้ก็หันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นตู้เยว่เอ๋อร์จริง ๆ

ฉินมู่หลานได้ยินเสียงของหลี่หมิงฮุ่ยอยู่แล้ว จึงหันไปมองทางประตูด้วย ก่อนจะพบว่าเป็นตู้เยว่เอ๋อร์จริง และคนที่อยู่ข้างหล่อนก็คือหลิวเสวียข่าย ทั้งสองคงมากินเป็ดย่างที่นี่เหมือนกัน

ตอนแรกตู้เยว่เอ๋อร์ไม่ได้สังเกตพวกเขา แต่หลิวเสวียข่ายเห็นฉินมู่หลานเสียก่อน จึงเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน พวกคุณก็มากินเป็ดปักกิ่งเหมือนกันเหรอ?”

ขณะเอ่ยเขาก็มองเซเลน่าและคนอื่นด้วยความสงสัย

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ก็ยิ้มแล้วเอ่ยแนะนำเซเลน่าและมัลฟอย รวมถึงเยวี่ยจงจีและหลี่หมิงฮุ่ยด้วย

ตู้เยว่เอ๋อร์มองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันมองเยวี่ยจงจีอีกครั้ง สุดท้ายก็เอ่ยถามด้วยท่าทางไม่ค่อยแน่ใจนัก “หมอฉิน คุณรู้จักจงจีด้วยเหรอคะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็หันไปมองตู้เยว่เอ๋อร์อีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ผู้จัดการตู้คะ ฉันก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่เหรอว่าครั้งนี้มีการประชุมแลกเปลี่ยน ฉันจึงได้รู้จักกับพวกกเขา ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนค่ะ”

หลิวเสวียข่ายนึกไม่ถึงว่าตู้เยว่เอ๋อร์กับเยวี่ยจงจีจะรู้จักกันด้วย เขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ผู้จัดการตู้ ที่แท้คุณก็รู้จักนักศึกษาจากฮ่องกงด้วย หรือว่าเป็นลูกหลานญาติของคุณหรือเปล่าครับ?”

ตู้เยว่เอ่อร์ได้ยินคำพูดนี้ ก็ยกยิ้มแล้วกล่าว “ใช่ค่ะ เขาเป็นลูกชายของสามีฉัน ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าจงจีจะมาปักกิ่ง วันนี้ได้มาเจอเขาก็เลยรู้สึกแปลกใจมากค่ะ”

เมื่อเยวี่ยจงจีเห็นตู้เยว่เอ่อร์ สีหน้าก็ดูเย็นชาลงนิดหน่อย เมื่อได้ยินคำพูดของหล่อนตอนนี้ จึงเอ่ยเสียงแผ่ว “ผู้จัดการตู้ไม่ได้กลับฮ่องกงตั้งนานแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ตู้เยว่เอ่อร์ถึงกับสำลักคำพูดนี้ อยู่ ๆ ก็พูดอะไรไม่ออก

ตอนแรกหลิวเสวียข่ายไม่ทันได้สังเกต แต่ตอนนี้เขาสังเกตได้แล้วว่าความสัมพันธ์ขอตู้เยว่เอ๋อร์และเยวี่ยจงจีดูจะไม่ค่อยดีนัก จึงรีบยกยิ้มแล้วหันมองฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ยว่า “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นพวกผมไม่รบกวนมื้ออาหารของพวกคุณแล้วล่ะครับ ผมกับผู้จัดการตู้ยังมีธุระต้องคุยกัน ขอตัวไปทางด้านนั้นก่อนนะครับ”

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเป็นกันเอง

ตู้เยว่เอ๋อร์เห็นหลิวเสวียข่ายกลาวแบบนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และก้มหน้าให้ฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ แทน ก่อนจะตามหลิวเสวียข่ายไปอีกทาง

ทางด้านนั้นเป็นโต๊ะสำหรับสี่คน จึงค่อนข้างกว้างขวางสำหรับหลิวเสวียข่ายและตู้เยว่เอ๋อร์ที่มีกันเพียงสองคน

หลังจากหลิวเสวียข่ายและตู้เยว่เอ๋อร์ไปแล้ว เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดขยับเข้าใกล้หลี่หมิงฮุ่ยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยกระซิบว่า “ดูจากท่าทางพวกนายเมื่อกี้แล้ว เหมือนความสัมพันธ์ดูไม่ค่อยดีจริง ๆ สินะ เดี๋ยวตอนพวกเรากลับ พวกนายไม่ต้องเข้าไปทักทายเหรอ”

หลี่หมิงฮุ่ยเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยกระซิบ เขาก็กระซิบด้วยเหมือนกัน “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว จะทักทายอะไรอีกล่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้วไม่ใช่เหรอ”

ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยและหลี่หมิงฮุ่ยพูดคุยกัน จึงอดหันมองพวกเขาไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เซี่ยปิงหรุ่ยก็หันหน้ามาจ้องมองเธอแล้วเอ่ยถาม “มู่หลาน พวกเรากินกันอิ่มแล้ว กลับกันเลยไหม”

“ตกลง”

หลังจากฉินมู่หลานจ่ายเงินแล้วก็พาหลายคนกลับไป แต่เธอก็ยังเดินไปทักทายหลิวเสวียข่ายและตู่เยว่เอ๋อร์

หลิวเสวียข่ายเห็นว่าพวกเขาจะไปกันแล้ว ก็รีบกล่าวว่า “มู่หลาน ครั้งนี้ผู้จัดการตู้มาเพราะจะสั่งออเดอร์สินค้าเพิ่มอีก วันนี้คุณไปจัดการธุระก่อนเถอะครับ เอาไว้ครั้งหน้าเราค่อยคุยกัน”

ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ค่ะ”

พูดจบก็เดินไปทางประตู ซึ่งพวกเซี่ยปิงหรุ่ยรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

“ไปเถอะ พวกเรากลับที่พักกัน”

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท