ตอนที่ 1549 ให้ความสำคัญ
“ชาวบ้านเมืองอันซุ่นคือชาวบ้านที่เคยร่วมทุกข์กับต้าเยี่ยนตอนที่ต้าเยี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่สุด ตอนนั้นฝ่าบาททรงออกมาขอร้องให้ชาวบ้านช่วยกันบริจาคทรัพย์สินของตัวเองเพื่อต้าเยี่ยน ชาวบ้านเมืองอันซุ่นยินดีอดมื้อกินมื้อเพื่อต้าเยี่ยน ตอนนั้นเชื้อพระวงศ์ก็บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองเพื่อสร้างกองทัพของเซี่ยสวินขึ้นมาเช่นกัน เหตุใดพอมีชีวิตดีขึ้นชาวบ้านที่เคยเสียสละพร้อมพวกเราจึงต้องกลายเป็นคนที่ต้องเสียสละเพื่อชัยชนะของต้าเยี่ยนด้วย”
เชื้อพระวงศ์รีบคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง พวกเขาไม่กล้าเงยหน้ามองเซียวหรงเหยี่ยนแม้แต่น้อย
เซียวหรงเหยี่ยนรู้สึกผิดหวังมาก ต้าเยี่ยนหาทางแพร่เชื้อโรคไปยังเมืองของต้าโจว ทว่า ต้าโจวกลับมอบสูตรยาที่ท่านหมอหงคิดค้นได้ให้ต้าเยี่ยน
คนในต้าโจวรักใคร่ปรองดอง อีกทั้งได้รับความรักจากชาวบ้าน ที่สำคัญการมอบสูตรยาให้ต้าเยี่ยนในครั้งนี้ทำให้ต้าโจวได้ใจชาวบ้านต้าเยี่ยนไปไม่น้อย
เมื่อหันกลับมามองต้าเยี่ยน…เชื้อพระวงศ์ดูถูกชาวบ้านของตัวเอง เห็นชาวบ้านเป็นเพียงคนต่ำต้อยไร้ค่า พวกเขาจะได้ใจของชาวบ้านได้อย่างไรกัน
ต้าเยี่ยนในตอนนี้จะเอาชนะต้าโจวได้อย่างนั้นหรือ
เซียวหรงเหยี่ยนจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปพบจักรพรรดินีต้าโจว พวกเจ้านำตัวหมอผู้นั้นออกมาจากคุกและดูแลเขาให้ดี ส่วนโทษของพวกเจ้า…ข้าจะตัดสินหลังจากสถานการณ์โรคระบาดสิ้นสุดลง”
เยว่สือออกไปเตรียมม้าให้เซียวหรงเหยี่ยนก่อน เขารู้ดีว่าเจ้านายของเขาอยากเจอคุณหนูใหญ่ใจจะขาดแล้ว
เหล่าเชื้อพระวงศ์ นายอำเภอและแม่ทัพคุ้มกันเมืองต่างก้มหน้านิ่งอยู่บนพื้น เมื่อได้ยินเสียงแหวกม่านและฝีเท้าที่ไกลออกไป เหล่าเชื้อพระวงศ์จึงกล้าเงยหน้าขึ้นจากพื้น
เยว่เฉวียนหย่งสถบออกมาแล้วเดินจากไปทันที ตอนนี้เขาเปิดโปงเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ต่อหน้าผู้สำเร็จราชการแล้ว หากเขาเป็นอันใดไปเชื้อพระวงศ์เหล่านี้จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง พวกเขาไม่กล้าทำอันใดเขาแน่นอน
เมื่อโรคระบาดสิ้นสุดลงเยว่เฉวียนหย่งก็จะไปจากที่นี่แล้ว เขาไม่กลัวว่าจะถูกรังแก เขาคือทหาร เขามีทุกวันนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตโดยการประจบเชื้อพระวงศ์เหล่านี้
เมื่อเซียวหรงเหยี่ยนและเยว่เฉวียนหย่งจากไปนายอำเภอจึงรีบคลานเข้าไปหาเหล่าเชื้อพระวงศ์ “จะทำเช่นไรต่อไปดีขอรับ ดูเหมือนว่าผู้สำเร็จราชการต้องการจะปกป้องจูเฉิงหรูนะขอรับ”
“เยว่เฉวียนหย่งคิดว่าตัวเองคือลูกน้องของแม่ทัพเซี่ยถึงได้เหิมเกริมถึงเพียงนี้! มันไม่รู้หรืออย่างไรว่าตอนนี้แม่ทัพเซี่ยตกเป็นตัวประกันอยู่ที่ต้าโจว เขาอาจไม่รอดชีวิตกลับมาก็ได้!” เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งกล่าวเสียงรอดไรฟันพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นหันไปกล่าวกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น “ว่ากันว่าผู้สำเร็จราชการเป็นคนอำมหิต หากทำให้ต้าเยี่ยนชนะเดิมพันได้เสียสละชาวบ้านต่ำต้อยเหล่านั้นไปจะเป็นใดอันกัน เขากล้าบอกว่าพวกเรามีความผิดและจะลงโทษพวกเราภายหลังอย่างนั้นหรือ ช่างน่าแปลกจริงๆ !”
“นั่นน่ะสิ พวกเรากำลังช่วยราชสำนักอยู่แท้ๆ หากพวกเราไม่ให้พ่อค้านำเชื้อไปแพร่ที่ต้าโจว ตอนนี้ต้าโจวคงนั่งดูเรื่องสนุกอยู่เฉยๆ แล้ว พวกเราจะต้องเดิมพันแคว้นอีกเพื่ออันใด ยอมแพ้ไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
เชื้อพระวงศ์กล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยนจึงดูเหมือนไม่อยากให้ต้าเยี่ยนชนะการแข่งขันในครั้ง พวกเขาสร้างประโยชน์ให้ต้าเยี่ยนถึงเพียงนี้ ผู้สำเร็จราชการไม่เพียงไม่ตบรางวัลให้พวกเขา ยังคิดลงโทษพวกเขาอีก น่าประหลาดยิ่งนัก!
“หยุดบ่นได้แล้ว!” เชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดกล่าวขึ้น “ผู้สำเร็จราชการรู้เรื่องนี้แล้ว พวกเราคงสังหารหมอจูผู้นั้นไม่ได้แล้ว รีบนำตัวคนออกมาดีกว่า! ทว่า อย่าปล่อยเขาไปง่ายๆ เขาไม่เคารพเชื้อพระวงศ์ จงตัดแขนทั้งสองข้างของเขาทิ้งเสีย! เขามีฝืมือเก่งกาจไม่ใช่หรือ ให้เขารักษาตัวเองให้หายก่อนก็แล้วกัน หากรักษาไม่หายก็แสดงว่าเขาไม่ได้เก่งจริง!”
นายอำเภอตะลึง เขาไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นการขัดคำสั่งผู้สำเร็จราชการหรือไม่
“ทว่า ผู้สำเร็จราชการสั่งว่าให้ปล่อยตัวคนออกมาและดูแลให้ดี หากทรงทราบเรื่อง…”
“เจ้าโง่หรืออย่างไร!” เชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดมองไปทางนายอำเภอ “เขาถูกตัดแขนตอนโดนสอบสวนว่าทรยศต้าเยี่ยนเช่นไร ตอนนั้นผู้สำเร็จราชการยังมาไม่ถึงเมืองลี่อี้ด้วยซ้ำ! ในเมื่อตัดแขนแล้ว…ตัดลิ้นไปด้วยก็แล้วกัน เขาจะได้ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดที่ไม่ควรกล่าว เสร็จแล้วตามหมอมาดูแลเขาให้ดี ถือว่าพวกเราดูแลเขาตามคำสั่งของผู้สำเร็จราชการแล้ว!”
นายอำเภอเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที เขาประมวลผลในสมองอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรผู้สำเร็จราชการก็ต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ทว่า เชื้อพระวงศ์เหล่านี้อาศัยอยู่ในเมืองลี่อี้ มีคำกล่าวว่าไม่ควรล่วงเกินเจ้าถิ่น เขาคือนายอำเภอของเมืองลี่อี้ เขาอยู่ภายใต้อำนาจของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ เขาควรทำตัวให้ฉลาดเข้าไว้ นายอำเภอคิดได้จึงรับคำ “ขอรับ!”
เมื่อนายอำเภอจากไปเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งจึงหันไปกล่าวกับพี่ชายของตัวเองเสียงเบา “ท่านพี่ อยู่ๆ ข้าก็นึกถึงคำของชุยเฟิ่งเหนียนที่กล่าวตอนมาส่งข้าที่เมืองลี่ขึ้นมาได้ขอรับ เขากล่าวว่าผู้สำเร็จราชการกับฝ่าบาทไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกันอย่างแท้จริง ทว่า เป็นผู้สำเร็จราชการกับไทเฮาต่างหาก เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทค่อนข้างเอนเอียงไปทางผู้สำเร็จราชการขอรับ”
“เจ้าต้องการจะกล่าวอันใดกันแน่” พี่ชายหันไปมองน้องชาย
“หากพวกเราทูลเรื่องที่ผู้สำเร็จราชการปล่อยตัวหมอจูผู้นี้ให้ฝ่าบาททรงทราบพร้อมทั้งใส่ร้ายป้ายสีเขาอีกนิดหน่อย ตอนนี้ต้าเยี่ยนกำลังเดิมพันแคว้นกับต้าโจวอยู่ ข้าไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะยังทรงเชื่อพระทัยในตัวผู้สำเร็จราชการเหมือนเดิมอีกขอรับ ขอเพียงฝ่าบาทไม่วางพระทัยในตัวผู้สำเร็จราชการ อำนาจในราชสำนักก็จะไม่ได้อยู่ในมือของมู่หรงเหยี่ยนแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป ถึงเวลานั้นให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ขอร้องไทเฮาที่ใจอ่อนและไม่มีความคิดเป็นของตัวเองผู้นั้น พวกเราย่อมมีโอกาสได้กลับไปเมืองหลวงแน่ขอรับ”
พี่ชายได้ยินเช่นนี้ดวงตาจึงนิ่งขรึมลงกว่าเดิม ไม่นานเขาจึงกล่าวขึ้น “หากจะทำเรื่องนี้ก็ต้องเร่งลงมือ! ทูลให้ฝ่าบาททราบเรื่องที่ผู้สำเร็จราชการเดินทางไปพบจักรพรรดินีของต้าโจวด้วย”
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าทราบดีว่าควรทำเช่นไรขอรับ”
เซียวหรงเหยี่ยนขี่ม้าเร็วออกไปจากเมืองก็เห็นกองทัพสวมหน้ากากสีขาวรอเขาอยู่ที่นอกเมือง
เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนซึ่งสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าขี่ม้าออกมาจากเมืองลี่อี้ทหารต้าโจวที่ชูธงสัญลักษณ์ของต้าโจวขี่ม้าไปด้านหน้าเล็กน้อย เขาทำความเคารพเซียวหรงเหยี่ยน จากนั้นหันไปก้มศีรษะให้เยว่สือเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทของกระหม่อมเชิญท่านไปพบที่จุดนับพบซึ่งห่างจากเมืองลี่อี้ประมาณห้าลี้พ่ะย่ะค่ะ”
เยว่สือพยามควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่ให้แสดงความดีใจออกมา เขาหันไปกล่าวกับองครักษ์ทางด้านหลังเสียงดังลั่น “ออกเดินทาง”
ไป๋ชิงเหยียนไปถึงจุดนัดพบก่อนเซียวหรงเหยี่ยน นางนึกไม่ถึงว่ากองทัพผิงอันจะตั้งกระโจมสำหรับนางและเซียวหรงเหยี่ยนเสร็จไวถึงเพียงนี้
สำหรับหลิ่วผิงเกา การนัดพบกันระหว่างไป๋ชิงเหยียนและผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยนคือการนัดพบของคนสูงศักดิ์ของสองแคว้น ดังนั้นเมื่อไป๋ชิงเหยียนมีคำสั่งลงมาเขาจึงเร่งเตรียมทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
ไป๋ชิงเหยียนมองกระโจมที่ถูกตั้งขึ้นชั่วคราวตรงหน้า จากนั้นหันไปมองหลิ่วผิงเกา “ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ…”