ตอนที่ 634 จะฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ใช่ไหม?
หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่ออกมาในตอนเช้า เซี่ยเหลยและคนอื่น ๆ คิดว่าพวกเขาน่าจะยังอยู่ที่สถานีตำรวจกับหู่จือ ทุกคนจึงเป็นกังวลมากจนไม่ยอมเปิดร้านอาหาร และนั่งรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน
ทันทีที่พวกเขากลับมา คนในครอบครัวก็รีบมารวมตัวกันเพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์
“เซี่ยเซี่ย ผู้หญิงทั้งสามคนนั้นติดคุกแน่แล้วใช่ไหม? เมื่อไหร่พวกหล่อนจะโดนตัดสินโทษ?” คุณแม่เซี่ยกลัวว่าคราวนี้ทุกอย่างอาจเข้าอิหรอบเดิม ตรงที่คนชั่วถูกกักตัวไว้แค่สองสามวันแล้วปล่อยตัวออกมา สร้างปัญหาให้กับทุกคนไม่รู้จบ
“คุณย่า พวกนั้นโดนควบคุมตัวไว้หมดแล้วค่ะ ยังต้องรอผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามกระบวนการ เมื่อรวบรวมหลักฐานแล้ว พวกเขาจะถูกตัดสินโทษหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกหล่อนกลายเป็นอาชญากรแล้ว จะไม่ได้รับการปล่อยตัวแน่”
ผู้เฒ่าเฉินแอบกดดันผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แต่ไม่อาจบอกให้พวกเขารู้ได้อย่างเปิดเผย ยังดีที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าคราวนี้ทางการจะไม่มีวันปล่อยผู้หญิงสามคนนั้นออกมา ทุกคนจะถูกส่งตัวเข้าคุกอย่างเข้มงวด
คุณแม่เซี่ยโล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
จากนั้นก็ถามถึงเซี่ยหลานอย่างอดห่วงไม่ได้
ทุกคนโล่งใจเมื่อหลินเซี่ยเล่าให้พวกเขาว่าเสิ่นอวี้หลงแสดงอาการตอบสนองแล้ว และหมอแผนจีนเย่ก็เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ไม่แน่ว่าเขาอาจฟื้นขึ้นมาในอีกไม่กี่วัน
คุณแม่เซี่ยบอกว่า “ตราบใดที่เด็กคนนั้นฟื้นขึ้นมา คงช่วยชุบชโลมจิตใจเซี่ยหลานได้มากโข ไม่อย่างนั้นฉันไม่รู้เลยว่าหล่อนจะมีชีวิตต่อไปยังไง”
ในฐานะแม่ เซี่ยหลานต้องรู้สึกแตกสลายแค่ไหนเมื่อจับได้ว่าลูกสาวคิดจะวางยาฆ่าน้องชายแท้ ๆ ของตัวเอง?
เรื่องแบบนี้ไม่มีใครสามารถปั้นหน้ายอมรับได้
เสิ่นอวี้หลงแสดงสัญญาณอันดีว่าใกล้จะฟื้นขึ้น ในที่สุดก็มีข่าวดีท่ามกลางข่าวร้าย
ตลอดทั้งคืน หลินเซี่ยเป็นกังวลอยู่เสมอเกี่ยวกับอาการของเสิ่นอวี้หลง กระทั่งรุ่งเช้าเธอจึงโทรหาเซี่ยหลานเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับสถานการณ์ แต่เซี่ยหลานบอกว่าทุกอย่างยังคงนิ่งสนิท
ใกล้ปีใหม่แล้ว ตระกูลเซี่ยยุ่งอยู่กับการทำกิจการก่อนหยุดยาวปีใหม่ ร้านตัดผมเริ่มมีลูกค้ามาใช้บริการหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงนี้หลินเซี่ยเห็นลูกค้าจำนวนมากรอคิวแน่นขนัดอยู่ในร้านตัดผม จึงตั้งใจว่าจะเข้าไปที่ร้านเพื่อช่วยตัดผมอีกแรง
แต่เฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ กลับไม่เห็นด้วย เพราะกลัวว่าเธอจะเหนื่อยเกินไป
เมื่อใดก็ตามที่เริ่มทำงาน อีกนานกว่าเธอจะได้พัก
คุณแม่เซี่ยเคยตั้งท้องมาก่อน แต่ในยุคนั้นสภาพการณ์ทางสังคมค่อนข้างยากลำบาก ไม่สามารถอยู่นิ่งได้เลย ต่างจากยุคนี้ที่สภาพทางสังคมดีขึ้นมาก ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จึงอยากให้เธอพักอยู่ที่บ้าน
หลินเซี่ยเป็นคนนั่งไม่ติดที่ เฉินเจียเหอกลัวว่าถ้าเธออยู่แต่ในบ้านนาน ๆ แล้วจะเบื่อเกินไป จึงแนะนำว่า “เซี่ยเซี่ย ปล่อยวางเรื่องร้านตัดผมบ้างก็ได้ ถ้าคิวเยอะเกินไปก็ระบายลูกค้าให้ไปตัดผมที่ร้านอื่น หรือถ้าคุณไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ จะแวะไปหาลุงหมอเย่ก็ได้ จะได้ใช้เวลาอยู่กับหมอเซี่ยให้มากหน่อย พยายามพูดคุยกับอวี้หลง บางทีเขาอาจจะฟื้นตัวไวกว่ากำหนดก็ได้”
หลินเซี่ยกำลังกังวลเกี่ยวกับร้านตัดผมอยู่ รู้ว่าด้วยทัศนคติของสมาชิกครอบครัว เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะออกไปช่วยงานนอกบ้านได้ เธอครุ่นคิดเกี่ยวในเรื่องนี้และตัดสินใจว่า “งั้นฉันจะหาเด็กฝึกงานมาช่วยชุนฟางสระผมก็แล้วกัน”
หลินเซี่ยขอให้หยางหงเสียเลือกเด็กสาวที่เคยมีประสบการณ์การทำงานในร้านตัดผมมาก่อนจากบรรดารายชื่อนักเรียนที่เคยมาสมัครลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรมก่อนหน้านี้ ขอให้หล่อนมาช่วยสระผมที่ร้านตัดผมไปพลาง ๆ เพื่อเป็นการฝึกงานในช่วงแรก
เด็กสาวที่ได้รับเลือกตอบรับด้วยความยินดีและมาทำงานในวันรุ่งขึ้น
หลังจากที่หู่จือประสบกับเหตุการณ์ลักพาตัว เขาก็กลายเป็นเป้าหมายการปกป้องคุ้มครองจากทั้งสองครอบครัวนอกเหนือจากหลินเซี่ย
แต่คนในตระกูลเซี่ยทุกคนงานยุ่งมาก
ผู้เฒ่าเฉินกลัวว่าหู่จือจะวิ่งออกไปจากรัศมีร้านอาหารอีก จึงพาเขากลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อช่วยดูแลเขา ขณะเดียวกันเฉินเจียวั่งก็ได้รับหน้าที่สอนการบ้านของชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้กับหู่จือล่วงหน้า เพื่อที่เขาจะได้เรียนทันเพื่อนเมื่อเลื่อนสู่ชั้นประถม
ตอนเช้า เมื่อเฉินเจียเหอส่งหลินเซี่ยไปที่บ้านกึ่งคลินิกของหมอแผนจีนเย่ เขาก็เห็นว่าเย่ไป๋อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ผลการทดสอบของเสิ่นอวี้หลงออกมาแล้ว ดังนั้นเย่ไป๋จึงอยู่ในระหว่างหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสิ่นอวี้หลงกับหมอแผนจีนเย่
เซี่ยหลานเห็นว่าหลินเซี่ยมาแล้ว จึงเอ่ยทักทาย “เซี่ยเซี่ย อากาศออกจะหนาวอย่างนี้ ทำไมยังมาที่นี่อีก”
หลินเซี่ยสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวยาวพร้อมกับหมวก ผ้าพันคอ และถุงมืออย่างมิดชิด โดยมีเพียงสองตาเท่านั้นที่โผล่ออกมา “แม่ ฉันอยู่แต่บ้านแล้วเหงาเกินไป เลยอยากมาใช้เวลากับอวี้หลงบ้าง เมื่อคืนนี้เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
เซี่ยหลานส่ายหน้าด้วยความสิ้นหวัง “ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นเลย หมอแผนจีนเย่กับหมอเย่กำลังคุยกันเรื่องแผนการรักษา เราจะรู้วิธีปฏิบัติต่อเขาในขั้นต่อไปก็ต่อเมื่อพวกเขาออกมา”
หลังจากที่ทุกคนรออยู่นาน หมอแผนจีนเย่และเย่ไป๋ก็ออกมา
ใบหน้าของเย่ไป๋ดูเคร่งขรึมจริงจังมาก มีความเป็นมืออาชีพสูงเหมือนตอนอยู่ที่ทำงาน
“เซี่ยเซี่ย เจียเหอ พวกนายก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”
หลังจากที่เย่ไป๋ทักทายพวกเขาแล้ว เขาก็เดินไปหาเซี่ยหลานและพูดกับเธอว่า “หมอเซี่ยครับ ในวันนี้เราจะส่งตัวอวี้หลงไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด ผมได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลไว้แล้ว โรงพยาบาลของเราจะรับผิดชอบด้านบริการรับส่งตัวผู้ป่วย อีกสักพักรถพยาบาลน่าจะมาถึง หลังจากพาเขาไปตรวจแล้ว เมื่อผลการตรวจออกมา เราถึงจะสามารถปรับแผนการรักษาตามสถานการณ์ได้”
เย่ไป๋ถือเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้ เซี่ยหลานเชื่อใจในฝีมือเขาและหมอแผนจีนเย่อย่างไม่มีเงื่อนไข “ได้ค่ะ เชิญหมอเย่จัดเตรียมทุกอย่างได้เลย”
เซี่ยหลานอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หล่อนดูเหนื่อยล้า ใบหน้าซีดเซียว
หลินเซี่ยปลอบใจหล่อนด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่เธอเองก็รู้ดีว่าในเวลานี้คำพูดปลอบใจคงไม่มีผลมากนัก
ขอเพียงเสิ่นอวี้หลงฟื้นขึ้นมาเท่านั้น เซี่ยหลานถึงจะกลับมาร่าเริงได้อย่างสมบูรณ์
เฉินเจียเหอส่งหลินเซี่ยแล้วเขาก็ขอตัวกลับไปที่โรงงาน ก่อนออกเดินทาง เขากำชับให้เธออยู่รอที่นี่จนกว่าเขาจะมารับหลังเลิกงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนเที่ยง รถพยาบาลก็มาถึง
เสิ่นอวี้หลงถูกส่งตัวทั้งเตียงผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาล เซี่ยหลานและเย่ไป๋ก็ติดตามเขาไปที่โรงพยาบาลด้วย
เซี่ยหลานพูดกับหลินเซี่ย“เซี่ยเซี่ย เธอไม่ต้องตามไปหรอก ร่างกายยิ่งบอบบางอยู่ ควรพักผ่อนที่นี่ให้สบายตัวกับลุงหมอเย่ ไว้เราจะกลับมาอีกครั้งหลังจากการตรวจร่างกายเสร็จสิ้น”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยเฝ้าดูรถพยาบาลเคลื่อนออกไป จากนั้นก็ตามเอ้อร์เลิ่งและหมอเย่เข้าไปในบ้าน
ช่วงนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น อารมณ์ของทุกคนจึงซับซ้อนมาก
แม้แต่หมอแผนจีนเย่ซึ่งเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่อ่านใจผู้คนมานับไม่ถ้วน เคยช่วยชีวิตคนบาดเจ็บใกล้ตายก็ยังไม่สามารถวิเคราะห์และเข้าใจในพฤติกรรมของเสิ่นอวี้อิ๋งได้เลย
วันนี้อากาศหนาวมาก ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ไม่มีผู้ป่วยรายอื่นมารอรับการรักษาที่หน้าประตู เสิ่นอวี้หลงซึ่งเป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวของที่นี่ก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว หมอเย่จึงถือโอกาสลาพักร้อนบ้าง
เนื่องจากหลินเซี่ยอยู่ที่นี่ เอ้อร์เลิ่งจึงหายเข้าไปในครัวแต่เช้า วันนี้เขาวางแผนว่าจะเตรียมอาหารแสนอร่อยให้ทุกคนเป็นมื้อใหญ่
หลินเซี่ยต้องการเข้าไปช่วย แต่เอ้อร์เลิ่งปฏิเสธ
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทักษะการทำอาหารของเอ้อร์เลิ่งพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้น ๆ หลังจากรออยู่ไม่นาน เขาก็ทำกับข้าวสี่จานเสร็จสรรพ เนื่องจากทั้งหมอเย่และผู้เฒ่าเซี่ยไม่ชอบกินข้าว เอ้อร์เลิ่งจึงเสิร์ฟบะหมี่แทน
หมอเย่หยิบเหล้าที่เขาไม่เคยดื่มออกมา ตั้งใจว่าจะดื่มกับผู้เฒ่าเซี่ย
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ พวกเขาตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากเมื่อต้องรับมือกับเสิ่นอวี้หลงซึ่งเป็นผู้ป่วยเคสหายาก
ผู้เฒ่าเซี่ยเองก็เหนื่อยล้าทั้งกายและใจจากการดูแลหลานชายของเขา จำเป็นต้องได้รับการพักผ่อนตามสมควร
ผู้เฒ่าเซี่ยมองไวน์ในแก้ว ยังไม่หยิบแก้วขึ้นมาดื่มทีเดียว เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะมองดูหมอเย่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า
“เหล่าเย่ บอกพวกเรามาตามความเป็นจริงเถอะ อวี้หลงเด็กคนนั้นจะฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ใช่ไหม?”