คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 757 ถูกลอบทำร้ายแล้ว!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 757 ถูกลอบทำร้ายแล้ว!

ฉินหลิวซีเหลือบดูแปดอักษรเวลาตกฟากที่หลานซิ่งยื่นมา สีหน้าประหลาดใจ เป็นบุรุษ?

นางนับข้อนิ้วทำนาย หลังจากนั้นไม่นานจึงเอ่ย “แปดอักษรเวลาตกฟากนี้ยังไม่หมดอายุขัย”

หมายความว่ายังมีชีวิตอยู่

หลานซิ่งหายใจถี่กระชั้นขึ้น “บางทีอาจหาได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือไม่”

ฉินหลิวซีลุกขึ้น มาที่โต๊ะเล็กในห้องเต๋า หยิบหญ้าซือมาทำนาย หลานซิ่งก็มองมา แต่ก็ดูไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว

หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยามต่อมา ฉินหลิวซีก็มองผลการทำนาย คิ้วขมวดเป็นปม “ผลการทำนายแสดงบางสิ่งที่แปลกประหลาด แม้ว่าเขาจะยังไม่หมดอายุขัย แต่ไม่มีบุคคลนี้ในโลกนี้แล้ว”

ทันใดนั้นสีหน้าของหลานซิ่งก็ซีดลง มีความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวใจ เจ็บปวดจนโก่งตัว มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกแล้วร้องครวญครางเบาๆ

ฉินหลิวซีเห็นดังนั้น ขณะที่กำลังจะจับมือเขา หลานซิ่งก็เบี่ยงหลบไป จึงกล่าวว่า “ผ่อนคลายเถิด ไม่ทำร้ายท่าน”

หลานซิ่งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หางตาของเขาเริ่มแดงขึ้น แต่เมื่อฉินหลิวซีจะสัมผัสเขาอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก

ฉินหลิวซีนวดที่จุดเหลาบริเวณกลางฝ่ามือของเขา จุดนี้สามารถบรรเทาอาการใจสั่นและปวดใจได้ นางกดลงพลางเอ่ย “หากปกติท่านมีอาการใจสั่นก็นวดจุดนี้ได้ จะได้ไม่เจ็บมาก”

หลานซิ่งคิดในใจว่า ‘จะมีประโยชน์อะไร นางเองก็บอกแล้วว่าโรคใจต้องใช้ยาใจรักษา หากไม่มีเขา โรคหัวใจนี้ก็จะไม่มีวันหายขาด’

แต่วิธีการนวดของฉินหลิวซีก็มีผลอยู่บ้าง ความเจ็บปวดบรรเทาลงเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร ที่ท่านเอ่ยมาเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่าไม่บุคคลนี้ในโลก”

ฉินหลิวซีปล่อยมือออก เอ่ย “สิ่งที่พบบ่อยที่สุดของการที่อายุขัยยังไม่หมดแต่หาคนผู้นี้ไม่พบนั้น หมายถึงว่าวิญญาณของเขาได้ออกจากร่างไปแล้ว แต่ร่างยังมีดวงวิญญาณอยู่ ทำให้อายุขัยของเขาไม่หมดสิ้น ยังไม่ตาย”

หลานซิ่งฉลาดมาก นึกถึงประเด็นสำคัญออกในทันที เอ่ยขึ้น “ท่านหมายความว่าแม้ว่าข้าจะหาหลานโย่วเจอ คนผู้นั้นก็ไม่ใช่เขาจริงๆ แต่เป็นดวงวิญญาณร้ายตนอื่นที่ครองร่างเขาอยู่ ใช้ทุกอย่างของเขาในการใช้ชีวิตงั้นหรือ”

ฉินหลิวซีมองไปที่เขา “ท่านช่างเข้าใจง่ายจริงๆ เป็นเช่นนั้น พวกเราเรียกกันว่าการยึดร่าง”

หัวใจของหลานซิ่งเริ่มเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องถึงฉินหลิวซี เขากดจุดเหลากลางฝ่ามือด้วยตัวเอง หลับตาลงแล้วหายใจเข้าออก หลังจากผ่านไปนานเขาก็ถามอีกว่า “เช่นนั้นสามารถหาได้หรือไม่ว่าดวงวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน”

“บอกได้ยาก ดวงวิญญาณออกจากร่างต้องดูว่าเป็นความสมัครใจหรือไม่ หากไม่ได้สมัครใจ เช่นนั้นผู้ที่ยึดร่างส่วนใหญ่จะเป็นนักพรตมาร ไม่มีทางที่จะปล่อยดวงวิญญาณเจ้าของร่างไปง่ายๆ หากไม่กลืนกินก็สังเวย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “หากเป็นอย่างที่สอง เช่นนั้นก็จะหายไปจากโลกนี้อย่างแท้จริง ใต้หล้านี้ไม่มีหลานโย่วอีกต่อไป”

ภาพตรงหน้าหลานซิ่งมืดมัว ปวดใจจนหายใจไม่ออก

“ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะหลบหนีหลังจากออกจากร่างแล้ว บางทีอาจไปยมโลกเพื่อกลับชาติไปเกิด บางทีอาจจะไปเกิดใหม่แล้ว แต่ก็ยังต้องตรวจสอบดู” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ท่านมีของของเขาหรือไม่ ข้าสามารถลองช่วยท่านหาดวงวิญญาณได้”

หลานซิ่งรีบดึงด้ายสีแดงที่คอออกมาทันที บนด้ายมีแหวนสองวงห้อยอยู่ เขาถอดอันที่เล็กกว่าออกมาแล้วยื่นให้ เอ่ยว่า “นี่คือแหวนที่เสี่ยวโย่วสวม ก่อนที่เขาจะหายตัวไป แหวนวงนี้วางอยู่ข้างเตียงของเขา”

นั่นคือแหวนด้านสีทอง ไม่มีลวดลาย เป็นเพียงพื้นผิวด้าน แต่มีตัวอักษรสลักไว้อยู่

ฉินหลิวซีมองดูตัวอักษรนั้น รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เดินไปที่ประตูเพื่อเรียกเฉินผีให้เตรียมสิ่งของที่ใช้ในการอัญเชิญดวงวิญญาณ ตั้งแท่นบูชาไว้ที่กลางห้องโถงด้านหลังเพื่อทำพิธีกรรม สวดคาถาอัญเชิญวิญญาณ ก้าวเดินตามตำแหน่งดวงดาว จุดยันต์สีเหลืองหนึ่งแผ่นที่เขียนแปดอักษรเวลาตกฟากของหลานโย่ว

ในขณะนั้น ณ อารามอันเงียบสงบ นักพรตน้อยหน้าตางดงามประณีตราวกับภาพวาดกำลังนั่งสมาธิ ทันใดนั้นแท่นวิญญาณก็สั่นไหวเล็กน้อย ลืมตาขึ้นทันที มีสายตาที่เฉียบคมผ่านเข้ามาในดวงตา ริมฝีปากขยับ “สามจิตคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เจ็ดวิญญาณสงบนิ่ง ดวงวิญญาณไม่ฟังคำสั่ง มีเพียงข้าเท่านั้นที่ตัดสิน”

มือทั้งสองข้างของเขาร่ายคาถา เสกไปที่แท่นดวงจิตของตัวเอง

ความรู้สึกสั่นเทาที่ถูกดึงจางหายไป

ฉินหลิวซีเห็นธูปหักเป็นสองท่อน หรี่ตาลง “มีคนขัดขวางการอัญเชิญดวงวิญญาณของข้า”

“เป็นคนที่ยึดร่างไปหรือ” หลานซิ่งรีบถามทันที

ฉินหลิวซีเอ่ย “ยากที่จะบอกได้ หากเป็นเช่นนั้นจะดีกว่า ก็จะพิสูจน์ได้ว่าดวงวิญญาณของหลานโย่วถูกกักขังอยู่ในร่างของเขา เนื่องจากการสกัดกั้นนั้นรวดเร็วมาก บอกได้เพียงว่าเขาสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังอัญเชิญดวงวิญญาณในทันที จึงได้รับมืออย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง วิญญาณของหลานโย่วอยู่ใต้สายตาของเขา ไม่ว่าอย่างไร ดวงวิญญาณของเขายังคงอยู่ ไม่ได้หายไปจริงๆ ส่วนทำไมน่ะหรือ…”

นางมองดูแหวนในมืออย่างครุ่นคิด

“แต่ท่านไม่ได้บอกว่าไม่ได้พบคนผู้นี้หรอกหรือ”

“ลองทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณสักหน่อยหรือไม่” เสียงของเว่ยเสียดังมาจากทางด้านซ้าย ไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใด ทำเอาหลานซิ่งตกใจ

เว่ยเสียเดินเข้ามา เอ่ยต่อไปว่า “หากดวงวิญญาณของเสี่ยวโย่วถูกเขากักขังอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขา ก็จะหาคนผู้นี้ไม่พบเช่นกัน”

“ใช่แล้ว ท่านนี้คือผู้ที่เชี่ยวชาญถึงแก่นแท้” ฉินหลิวซีเหลือบมองเว่ยเสีย

ตอนนั้นเจ้านี่ก็สร้างร่างที่มีสองดวงวิญญาณ ไปยึดร่างของคนอื่นเขามาไม่ใช่หรือ

เว่ยเสียโมโห “ทำไม เห็นว่าฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้วท่านก็คิดจะชำระบัญชีหลังฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ ข้าถูกท่านหลอกมาเป็นเถ้าแก่แล้ว ท่านยังจะพูดถึงประวัติดำมืดนั่นอยู่อีก คราวนี้เป็นท่านที่ไม่ถูก”

“ข้าผิดแล้วเจ้าจะทำอะไรได้ จะตีข้าหรือ”

เว่ยเสีย “ข้าทำได้ก็แล้วกัน หรือท่านคิดว่าข้าไม่กล้า?”

ฉินหลิวซียิ้มเยาะเย้ย “ขอเตือนด้วยความเป็นมิตร สิทธิ์เดียวของเจ้าคืออดทน!”

เว่ยเสียรู้สึกจุกในลำคอ เป็นอีกวันที่อยากจะกบฏ!

หลานซิ่งขมวดคิ้วมองทั้งสองคนโต้เถียงกัน รู้สึกกังวลเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะเอ่ย “พวกท่านลืมเรื่องสำคัญไปแล้วหรือไม่”

เว่ยเสียเหลือบมองฉินหลิวซีอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ดูสิ ทำงานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้มากเท่านั้น ทำต่อไปเถิด!

ฉินหลิวซีจ้องเขากลับ “มองอะไร ไปหาอู๋ฉัง[1]คนอื่นๆ มาถามว่าดวงวิญญาณของหลานโย่วได้ไปรายงานตัวที่ยมโลกหรือไม่!

“ข้าพึ่งจะกลับมานะ”

ฉินหลิวซีลดสายตาลง “ไม่ไปก็ช่าง เดิมทีข้าคิดว่าจะตัดเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงที่เรียบหรูสักสองชุด ดูเหมือนว่าจะได้ประหยัดเงินแล้ว”

เว่ยเสียได้ฟังดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปถามคน ไม่สิ ถามผีเดี๋ยวนี้”

หลานซิ่งมองอย่างเย็นชา “…”

เว่ยเสีย ‘ศักดิ์ศรีคืออะไร เสื้อผ้าใหม่สามารถซื้อข้าได้!’

หลานซิ่งเห็นเขาหายตัวไป สีหน้าตกตะลึงขึ้นมา รีบขยี้ตาทันที ไปไหนแล้ว

นี่คือวิชาเต๋าในตำนานหรือ

ฉินหลิวซีมองดูเว่ยเสียไปหาผี นางก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ คิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น ตั้งแท่นบูชาขึ้นมาใหม่ นางต้องการดูว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ไหน

นางนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างร่ายคาถา ขยับปากเล็กน้อย บทสวดไหลออกมาเป็นสาย “ประตูสวรรค์ขยับ ประตูนรกเปิด ธาตุทั้งห้า โลกทั้งสาม ข้าตามหาดวงวิญญาณ เทพดินนำทาง…จงดำเนินคำสั่งโดยพลัน เพี้ยง!”

สองนิ้วประสานกัน กดไปที่แท่นดวงจิต

อีกด้านหนึ่ง นักพรตเต๋าน้อยที่พึ่งจะเสกคาถาตรึงวิญญาณขนลุกซู่ มือทั้งสองข้างหยิบยันต์ห้าสายฟ้าที่อยู่ข้างกาย หนีบไว้ระหว่างนิ้วแล้วโยนขึ้นกลางอากาศ “ไม่จบไม่สิ้น ทำลายทิ้งเสีย”

ปัง

ยันต์ห้าสายฟ้าระเบิดออก ราวกับดอกไม้ไฟกำลังเบ่งบาน

ฉินหลิวซีหลบไม่ทัน แสบดวงตาทั้งสองข้างเล็กน้อย ปิดดวงตาสวรรค์ ลำคอรู้สึกไม่สบายนัก นางลืมตาขึ้น

คนสารเลว กล้าลอบทำร้ายข้า!

[1] อู๋ฉัง หมายถึง ยมทูต

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท