คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 759 หากเขาไม่ตาย ข้าไม่สบายใจ!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 759 หากเขาไม่ตาย ข้าไม่สบายใจ!

ไม่ว่าร่างของหลานโย่วจะถูกชื่อเจินจื่อยึดครองหรือไม่ แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ต่างๆ นานา แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดา ยังไม่เห็นคน ยังไม่เคยต่อกร ยังไม่สามารถแน่ใจอะไรได้

สิ่งที่ฉินหลิวซีกลัวไม่ใช่เรื่องที่ชื่อเจินจื่อยึดครองร่าง ที่นางกลัวก็คือกระดูกพุทธะบนร่างกายของเขาจะถูกซื่อหลัวเอากลับคืนไปหรือกลายเป็นคนของเขาไปแล้วหรือไม่ อย่างไรเสียซื่อหลัวก็เป็นคนที่กำลังวางหมากเพื่อการใหญ่ ไม่ใช่จะลงมือเล็กๆ น้อยๆ เขาต้องการคนทำงานให้เขา

เทพเจ้าก็ย่อมต้องมีผู้ช่วยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อฉินหลิวซีวาดค่ายยันต์เสร็จแล้ว จึงร่ายวิชาสะกดรอยอีกครั้ง คราวนี้เนื่องจากสัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย นางจึงระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม ใช้เลือดจากปลายนิ้วของหลานซิ่งทาลงบนแหวน ตั้งใจที่จะใช้กรรมสัมพันธ์เพื่อตามหา

โชคดีที่ทั้งสองคนมีความรู้สึกต่อกัน ซ้ำยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี คุ้นเคยซึ่งกันและกันอยู่แล้ว กรรมสัมพันธ์นี้จะไม่สูญหายไป เว้นเสียแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตัดทิ้ง มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะหาไม่เจอ

แต่นี่ก็เป็นวิชาชั้นยอดเช่นกัน หากตบะไม่ถึงก็ยากที่จะร่ายวิชาได้สำเร็จ แม้ว่าจะร่ายสำเร็จ แต่หากตบะไม่พอก็ยืนหยัดต่อไปไม่ได้ มองเห็นสถานที่อยู่ได้ไม่ชัดเจน

ดังนั้นจึงเป็นการทดสอบจิตใจและตบะของผู้ร่ายวิชา

เมื่อเริ่มร่ายวิชา แท่นดวงจิตราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา

ฉินหลิวซีหลับตาลง มือทั้งสองข้างร่ายคาถาที่ซับซ้อนอย่างรวดเร็ว ในแท่นดวงจิตของนาง ราวกับมีมือคู่หนึ่งค่อยๆ ขจัดชั้นหมอกออกไป

ในไม่ช้าเว่ยเสียและคนอื่นๆ ก็เห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ก่อตัวขึ้นบนหน้าผากของฉินหลิวซีเต็มไปหมด สีหน้าไม่ได้แดงระเรื่อเหมือนเมื่อครู่ก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปสีหน้านางกลับยิ่งซีดลงเรื่อยๆ

หมอกถูกปัดออกไป ฉินหลิวซีมองเห็นวิหารเรียบง่ายที่ซ่อนอยู่กลางหุบเขา กระเบื้องวิหารสีเทา มีสัตว์มงคลสองตัวอยู่บนหลังคา ผนังสีแดงเข้ม แผ่นป้ายแขวนไว้สูงบนตำหนักใหญ่

วังหลิงซวี

ฉินหลิวซีอดทนต่อความเจ็บปวดของแท่นดวงจิต เปลี่ยนคาถา แท่นดวงจิตมองเข้าไปในวิหาร ในวิหารมีเทวรูปสูงสองฉือ[1] และด้านหน้าเทวรูปมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ควันคละคลุ้งแทบจะบดบังรูปลักษณ์ของเทวรูปทั้งหมด

นางปัดหมอกควันออกไป ขณะที่กำลังจะเห็นเทวรูปนั้น แท่นดวงจิตพลันสั่นสะท้าน ภาพคลุมเครือ

วิชาแตกกระจาย ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น ในดวงตามีความครุ่นคิด

และในอีกมุมหนึ่ง มีเสียงคนหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น “น่าสนใจจริงๆ”

เห็นฉินหลิวซีลืมตาขึ้น หลายคนที่มองมาจึงถามว่า “หาเจอหรือไม่”

“คงจะอยู่ที่วิหารแห่งหนึ่งนามว่าวังหลิงซวี” ฉินหลิวซีกล่าวเมื่อได้สติกลับมา

หลานซิ่งถามว่า “วิหารตั้งชื่อว่าวังได้ด้วยหรือ ไม่ใช่ทั้งวัดหรืออารามเต๋าทำนองนั้นหรือ”

เว่ยเสียเอ่ยตอบ “หากเป็นลัทธิเต๋า ก่อนหน้านี้ก็ใช้วังตั้งชื่อมากมาย อย่างไรเสียเมื่อพันปีก่อนลัทธิเต๋าก็มีคนที่บรรลุแล้วโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ก็คือไปที่วังบนสวรรค์ เพื่อความเป็นสิริมงคล หลายสำนักจึงใช้วังในการตั้งชื่อ”

ทันใดนั้นหลานซิ่งที่ต้องการรู้เรื่องก็มองฉินหลิวซีพลางถามว่า “เช่นนั้นท่านเห็นหลานโย่วหรือไม่”

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่เห็นใครเลย เห็นเพียงแต่เทว…รูป”

แต่เป็นเทพองค์ไหนนั้น ยังไม่ทันได้เห็นชัดเจนก็ถูกตัดขาดเสียก่อน

หลานซิ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก อยากซักถามอีกหลายประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฉินหลิวซีที่ซีดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องยากให้กับผู้อื่น เอ่ยพึมพำว่า “แต่ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ข้าจะไปหาวังหลิงซวีนี้ได้จากที่ไหน”

ฉินหลิวซีให้เถิงเจาไปเอาเหรียญทงเม่ยมาสองสามเหรียญ ตั้งใจจะใช้วิชาทำนายลิ่วเหยาเพื่อขอคำแนะนำ

นางหลับตาลงเล็กน้อย เมื่อจิตใจสงบและชัดเจน จึงได้นำเหรียญทงเม่ยสามเหรียญมารวมกันไว้กลางฝ่ามือ ยกขึ้นเหนือศีรษะ ใช้ใจอธิษฐานต่อเทพเจ้า เริ่มเขย่าคำทำนาย ทำซ้ำหกครั้ง จำคำทำนายแต่ละครั้งไว้ในใจ

เมื่อการทำนายลิ่วเหยาเสร็จสิ้น นางก็เริ่มขีดเขียนคำทำนาย เรียบเรียงการเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ตีความคำทำนาย

ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นรูปแบบคำทำนาย ฉินหลิวซีจึงได้ปล่อยลมหายใจ “อยู่ที่ฉีโจว”

หลานซิ่งตกตะลึง ฉีโจว?

นั่นก็เป็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง แต่เมื่อมีทิศทางคร่าวๆ แล้ว อย่างไรเสียก็สามารถสืบหาได้เสมอ

ในที่สุดหลานซิ่งก็เผยความดีใจออกมา

เว่ยเสียอดกล่าวประชดประชันไม่ได้ “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก แม้ว่าเจ้าจะหาคนพบ หากดวงวิญญาณของหลานโย่วถูกหล่อหลอมแล้ว เช่นนั้นก็เป็นเรื่องง่าย จัดการเสียก็สิ้นเรื่อง อย่างไรเสียนั่นก็เป็นการแก้แค้นให้เขา แต่หากเขายังอยู่ ถูกกักขังควบคุมไว้ในส่วนลึกของแท่นดวงจิต เจ้าต้องคิดให้ดีว่าควรทำอย่างไร”

รอยยิ้มของหลานซิ่งแข็งทื่อ

เว่ยเสียเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้ที่ยึดร่างไม่ใช่คนดีเสียทุกคน หากเป็นไปตามที่เราคาดไว้ว่าผู้ที่ยึดร่างของหลานโย่วคือศัตรูตัวฉกาจของอารามชิงผิงผู้นั้น นั่นคือนักพรตมาร ยิ่งไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ ดังนั้นหากต่อสู้อาคมกับเขาโดยไม่สนใจสิ่งใด เมื่อเราชนะแล้วนักพรตมารผู้นี้ตายวิญญาณแตกสลายไป ดวงวิญญาณของหลานโย่วก็จะไม่มีที่อาศัย”

หลานซิ่งหน้าซีดลง

เว่ยเสียไม่ได้มีสีหน้าสงสารแต่อย่างใด เพียงแค่กล่าวถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นออกมาเท่านั้น หาคนพบ ก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยคนออกมาได้

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเขา เมื่อถูกฉินหลิวซีหลอกล่อก็ปล่อยร่างไปอย่างง่ายดาย คืนร่างให้แล้วจากไปอย่างมีความสุข

โดยเฉพาะหากเป็นชื่อเจินจื่อจริงๆ เมื่อได้พบร่างที่มีเสาทั้งสี่และแปดอักษรตรงกันที่กลับมาเกิดใหม่พอดีเช่นนี้ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะปล่อยไปอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะต้องตายกันไปข้างหนึ่งก็จะรักษาไว้ให้ได้ รักษาไว้ไม่ได้ก็พิสูจน์ว่าสู้ไม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นร่างกายนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

ดังนั้นหลานซิ่งจะเลือกอย่างไร

หากอยากที่จะช่วยหลานโย่วตัวจริงออกมา อาจจะทำให้ร่างกายของเขาเสียหาย หรือกระทั่งทำให้เขาวิญญาณดับสลาย

ฉินหลิวซีอ้าปากอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เว่ยเสียหันไปจ้องมองนาง ขยับริมฝีปาก หุบปาก!

ก่อนจะเป็นคนดีก็ต้องเอ่ยถึงความเสี่ยงกับเขาล่วงหน้าก่อน มิฉะนั้นหากจัดการไม่ดีระวังจะถูกอัด บางคนที่ตกอยู่ในความรัก มักจะบ้าคลั่งง่ายเป็นพิเศษ!

ฉินหลิวซี ‘เกรงว่าเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้คิดจะกบฏ กล้าจ้องมองข้าอย่างนั้นรึ!’

หลานซิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแน่วแน่ “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะตามหาเสี่ยวโย่วให้เจอ หากเป็นอย่างที่เถ้าแก่ใหญ่กล่าวมาจริงๆ เขาไม่มีร่างแล้วจริงๆ ข้ายินดีให้เขาสิงร่างข้า มอบร่างกายนี้ให้แก่เขา”

“ดังนั้นเจ้าหมายความว่าแม้ว่าจะต้องสูญเสียร่างกายนั้นของเขา ก็จะพาเขากลับมาให้ได้”

“ใช่” วิญญาณไม่เหลือแล้ว ไหนเลยจะยังสนใจร่างกายอยู่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเสี่ยวโย่วเดิมทีก็เป็นคนจากโลกอื่น

“หากเขาวิญญาณแตกสลายล่ะ”

หัวใจของหลานซิ่งเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา เอ่ย “เช่นนั้นข้าก็จะไปกับเขา”

เว่ยเสียเย้ยหยันเบาๆ วิญญาณก็แตกสลายไปแล้วยังจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร แต่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา และไม่ได้ดูถูกความรู้สึกนี้ ในยุคสมัยของเขาบุรุษรักบุรุษก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปเช่นกัน

ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าพักผ่อนก่อนสักสองวัน ข้าขอตั้งหลักสักหน่อยแล้วค่อยไปฉีโจวกับเจ้า”

หลานซิ่งตกตะลึง ดีใจขึ้นมาทันที “ท่านยินดีจะช่วยข้าหรือขอรับ”

“ข้าต้องการยืนยันว่าเป็นคนทรยศของพวกเราหรือไม่ หากเขาไม่ตาย ข้าไม่สบายใจ”

ชื่อเจินจื่อที่มีกระดูกพุทธะอยู่ในมือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ หากนางไม่ได้ฆ่าเขาตายด้วยตัวเอง บางทีอาจได้รับบทเรียนครั้งสำคัญจากเขา

การช่วยหลานซิ่งก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือชื่อเจินจื่อต้องตาย!

ฮัดชิ้ว

ในวังหลิงซวี นักพรตน้อยใบหน้าอันงดงามสบถเบาๆ หยิบธูปสามดอกมาจุดบูชา มองดูเทวรูปที่อยู่ตรงหน้า สายตาเผยให้เห็นถึงความหลงใหล “มหาเทพ โปรดประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา!”

บูชาเขาเป็นเทพ จะต้องมีชีวิตยืนยาว นั่นคือความหมายที่เขาฝึกบำเพ็ญเต๋า!

[1] ฉือ ฟุต

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท