ตอนที่ 519 เรียกตัวกลับ
“จับคน?” สือเยี่ยนท่าทีเกียจคร้าน “จับใครกัน”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่เผยสีหน้าประหลาดใจ “พี่สือไม่รู้หรือ”
ตามหลักแล้วสองพี่น้องตระกูลสือที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ในมีหอสุราก็ต้องถูกจับเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อพวกเขาเป็นคนของไคหยางอ๋อง ไม่มีใครกล้าแตะ
“ลั่วฉือก่อกบฏ ตอนนี้คุณหนูลั่วเป็นบุตรสาวของขุนนางกบฏ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับจวนลั่วล้วนต้องถูกจับ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” สือเยี่ยนดูประหลาดใจ
ผู้ดูแลหญิงร้องอุทานอย่างตกใจ นางจับลูกคิดเหล็กในมือแน่นตามสัญชาติญาณ
โอ้ สวรรค์ นางคิดว่าอยู่กับคุณหนูลั่วนอกจากจะได้เจอราชนิกุล ผู้สูงศักดิ์และขุนนางราชสำนักทั้งวันซึ่งถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่เกี่ยวโยงกับเรื่องก่อกบฏด้วย
ก่อกบฏ?
จู่ๆ ผู้ดูแลหญิงที่ถือลูกคิดเหล็กไว้ก็รู้สึกเวียนศีรษะ
เมื่อหัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงอุทานของผู้ดูแลหญิงก็มองมา เขาอดโมโหไม่ได้ “ทำไมรึ เจ้าคิดจะขัดขืนหรือ”
คนที่คลุกคลีกับคุณหนูลั่วช่างไร้กฎระเบียบเสียจริง ผู้ดูแลคนหนึ่งยังกล้าถือลูกคิดมาโจมตีเจ้าหน้าที่
เมื่อคิดถึงคุณหนูลั่วที่เคยบังคับขู่เข็ญเขาทำเรื่องไม่น้อย สีหน้าของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ก็ดำคล้ำ
สือเยี่ยนไม่สนใจคำตวาดของหัวหน้าเจ้าหน้าที่ เขาหันไปตะโกนบอกข้างหลังว่า “ฟู่เสวี่ย พาต้าไป๋มา”
ไม่นานเด็กหนุ่มปากแดงฟันขาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ด้านหลังมีห่านสีขาวตัวหนึ่งเดินกรีดกรายตามมา
“พี่สือซาน…” ฟู่เสวี่ยเดินไปข้างสือเยี่ยน เอ่ยเรียกอย่างขี้ขลาดและเหลือบมองหัวหน้าเจ้าหน้าที่อย่างระวัง
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าองครักษ์ไคหยางอ๋องจะให้ความร่วมมือเช่นนี้
หากเป็นเช่นนี้แล้ว ตามข่าวลือที่ว่าความสัมพันธ์ของไคหยางอ๋องและคุณหนูลั่วค่อนข้างซับซ้อนเป็นเรื่องเท็จงั้นหรือ
สือเยี่ยนยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างเกียจคร้านว่า “สหายเห็นแล้วใช่หรือไม่ หอสุราในบัดนี้นอกจากพวกเราสองพี่น้องแล้ว ก็มีเพียงผู้ดูแลหญิงหนึ่งท่าน คนเลี้ยงห่านหนึ่งท่านและห่านสีขาวตัวใหญ่หนึ่งตัว พวกท่านมาจับพวกเขาไปอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ มีประโยชน์หรือ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่กำหมัดประสานมือให้สือเยี่ยน “สหายสือ ขอโทษจริงๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นปลาเล็กปลาน้อย ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับจวนลั่วล้วนต้องนำตัวไปทั้งหมด”
“แต่พวกเขาไม่ข้องเกี่ยวกับจวนลั่วเสียหน่อย” สือเยี่ยนยิ้ม “สหายอาจจะไม่รู้ ไม่กี่วันก่อนคุณหนูลั่วมอบหอสุราให้ท่านอ๋องของเราแล้ว ผู้ดูแลและห่านสีขาวตัวใหญ่ที่ไว้เฝ้าเรือนก็เป็นของท่านอ๋องเราทั้งหมดแล้ว”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่มองไปที่ฟู่เสวี่ยตามสัญชาติญาณ
สือเยี่ยนสีหน้าจริงจัง “สหายมองอะไรหรือ ห่านสีขาวตัวใหญ่เป็นของท่านอ๋องเราแล้ว คนเลี้ยงห่านจะไม่ใช่หรือไร”
ฟู่เสวี่ยกะพริบตาปริบๆ ค่อยๆ รู้สึกตัว พี่สือซานหมายความว่า…เขาเป็นของแถม?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ไหนเลยจะเชื่อ เขายิ้มพูดว่า “ท่านอ๋องยังไม่กลับเมืองหลวงมิใช่หรือ คุณหนูลั่วจะมอบหอสุราให้ท่านอ๋องได้อย่างไร”
สือเยี่ยนมองเขาด้วยสายตามองคนโง่เขลา “เป็นของขวัญที่ตั้งใจให้ไว้เพื่อสร้างความตื่นเต้นไม่ได้หรือ เอาเป็นว่าคุณหนูลั่วมอบหอสุราให้ท่านอ๋องของเราแล้ว หากสหายยังคงต้องจับพวกเขาสองคนและห่านตัวหนึ่งไปให้ได้ เช่นนั้นก็จับเราสองพี่น้องไปด้วยเถอะ”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่กระตุกมุมปากอย่างแรง
หากบอกว่าจะพาผู้ดูแลและบุรุษคนโปรดของคุณหนูลั่วไปก็คงพอแล้ว ใครกินอิ่มแล้วจะว่างจับห่านตัวหนึ่งไปด้วยเล่า
แต่ว่าหากเอาเนื้อไปตุ๋นกิน…หัวหน้าเจ้าหน้าที่มองไปที่ต้าไป๋
“แกว๊ก!” ต้าไป๋ยืดคอพุ่งเข้าไปแล้วอ้าปากกัด
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รีบหลีกหนี
หลังจากความวุ่นวายครู่หนึ่ง สือเยี่ยนก็ส่งสัญญาณให้ฟู่เสวี่ยมาพาต้าไป๋ไป ยิ้มอย่างขออภัยให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ “ห่านเฝ้าบ้านนี่ดุมากจริงๆ ประเดี๋ยวข้าจะขังมันไว้ในจวนอ๋อง”
ขณะที่พูดเช่นนี้ เขาก็ส่งสายตาให้ผู้ดูแลหญิง
ผู้ดูแลหญิงฉลาดยิ่งนัก นางหยิบกุญแจมาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งให้
สือเยี่ยนยัดตั๋วเงินปึกหนึ่งให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ “ปล่อยให้สหายมาเสียเที่ยว ลำบากแล้ว”
ชื่อของไคหยางอ๋องและจำนวนเงินทำให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตัดสินใจหลับตาข้างหนึ่ง “แค่กๆ ไม่ว่าอย่างไร หอสุราแห่งนี้ก็เปิดไม่ได้แล้ว”
สือเยี่ยนยิ้ม “เรื่องนี้สหายมิต้องบอก อยากจะเปิดต่อก็ไม่มีแม่ครัวหรอก”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยัดเงินลงไปในอก “ไป”
มองส่งเจ้าหน้าที่จากไป สือเยี่ยนก็พูดเสียงราบเรียบว่า “เราก็ไปกันเถอะ”
ผู้ดูแลหญิงเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ “สือซานหั่ว ข้าและฟู่เสวี่ยต้องไปจวนอ๋องจริงๆหรือ”
“จริงแท้แน่นอน เดิมคุณหนูลั่ววานให้ข้าเป็นคนจัดการอยู่แล้ว” เมื่อคิดถึงจดหมายฉบับนั้น สือเยี่ยนก็รู้สึกอึดอัดใจ
รสชาติของการถูกทิ้งนั้นแย่จริงๆ
คุณหนูลั่วไร้ความรู้สึกต่อนายท่านก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ให้อาซิ่วอยู่ต่อสิ
ทั้งสี่คนและห่านตัวหนึ่งออกจากหอสุรา ผู้ดูแลหญิงมองสือเยี่ยนแล้วปิดประตูลงกลอนหอสุราเงียบๆ นางอดตาแดงไม่ได้
ฟู่เสวี่ยพูดปลอบเสียงเบา “ผู้ดูแล ท่านอย่าเสียใจไปเลย หอสุราต้องกลับมาเปิดอีกครั้งแน่นอน”
ผู้ดูแลหญิงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา ยิ้มให้ฟู่เสวี่ย “อืม ถึงครานั้นต้าไป๋ของเรายังต้องเฝ้าร้านด้วย”
ต้าไป๋ “แกว๊ก?”
มีหอสุราปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ ทุกคนกลับจวนไคหยางอ๋องด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
สือเยี่ยนเขียนจดหมายเป็นสิ่งแรก สืออี้ออกจากเมืองหลวงไปตามหาที่อยู่ของลั่วเซิง
ภารกิจที่นายท่านให้พวกเขาคือปกป้องคุณหนูลั่วให้ดี บัดนี้คนกลับหายไป แม้พวกเขาจะขัดถังส้วมทั้งเมืองหลวงก็ยังไม่สามารถรายงานต่อนายท่านได้
ทว่าน่าเสียดายเว่ยหานคงไม่ได้รับจดหมายฉบับนี้ของสือเยี่ยนแล้ว
ทางใต้ในยามนี้ การสู้รบเพิ่งสิ้นสุดลง
เว่ยหานนำทัพกลับค่าย ชุดเกราะยังไม่ทันเปลี่ยนก็มีองครักษ์มารายงานว่า “นายท่าน มีผู้แทนพระองค์มาจากเมืองหลวงขอรับ”
“เชิญเข้ามา”
“คารวะท่านอ๋อง”
“ใต้เท้าทั้งสี่มิต้องมากพิธี” เว่ยหานกวาดตามองทุกคน ลอบขมวดคิ้ว
ในบรรดานายพลทั้งสาม นายพลที่มีตำแหน่งสูงสุดคือแม่ทัพสวี เขาจำได้ว่าคุณหนูใหญ่จวนฉางชุนโหวที่ได้รับการดูแลจากคุณหนูลั่วแต่งเข้าจวนสวี
อีกคนหนึ่งคือขันทีท่านหนึ่ง
เว่ยหานอดสงสัยไม่ได้ ตอนนี้เขากำลังจะได้รับชัยชนะกลับไปแล้ว ฝ่าบาททรงส่งนายพลสามนายและขันทีท่านหนึ่งมาในยามนี้ทำไมกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาที่เว่ยหานมองขันทีก็เยือกเย็นลง
ขันทียิ้มให้เว่ยหาน “ท่านอ๋อง พวกเราและแม่ทัพสวีได้รับบัญชาให้มาดูแลเรื่องที่เหลือต่อแทนท่าน ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านรีบกลับเมืองหลวง”
“กลับเมืองหลวงหรือ” เว่ยหานประหลาดใจ ใบหน้ายังคงความสงบนิ่ง “มีราชโองการหรือไม่”
ขันทีหยิบราชโองการออกมาแล้วอ่าน
เว่ยหานคุกเข่าข้างหนึ่งลงฟังจนจบแล้วลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้ ใต้เท้าทั้งสี่พักผ่อนก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เมื่อเห็นเว่ยหานจากไป ทั้งสี่ก็มองหน้ากันไปมา
ไคหยางอ๋องว่องไวและเฉียบขาดเกินไปหรือไม่
เวลาไม่ถึงสองเค่อ เว่ยหานที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกมาพบใต้เท้าทั้งสี่ “ทางนี้ฝากทุกท่านแล้ว ข้าขออำลา”
ขันทีไล่ตามไปนอกกระโจม พบว่าไคหยางอ๋องที่กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วมีทหารกลุ่มหนึ่งเดินตามก็อดร้อนรนไม่ได้ “ท่านอ๋อง ฝ่าบาททรงเรียกท่านกลับเมืองหลวง แต่ไม่ได้บอกให้ท่านพาทหารมากมายเช่นนี้กลับไปนะขอรับ”
พาคนมากมายกลับไปเช่นนี้ คนที่อยู่ก็น้อยลง เช่นนั้นเขาที่เป็นผู้ดูแลกองทัพก็ตกอยู่ในอันตรายสิ