ตอนที่ 520 สรรพสิ่งเหมือนเดิม คนเปลี่ยนไป
เว่ยหานนั่งบนม้า มองขันทีด้วยสายตาเย็นชา “ราชโองการที่กงกงอ่านเมื่อครู่นี้ ข้าตั้งใจฟังแล้ว ไม่ได้บอกว่าห้ามข้าพาทหารกลับไป”
ขันทีถูกดวงตาดำเข้มคู่นั้นมองก็เสียวสันหลังวาบ ฝืนบังคับตนเองพูดว่า “แต่ก็ไม่ได้อนุญาตให้ท่านอ๋องพาทหารกลับไปขอรับ อีกอย่างที่นี่ยังต้องสู้รบ ท่านอ๋องพาคนกลับไปมากมายเช่นนี้แล้วส่งผลกระทบต่อสถานการณ์สู้รบจะทำอย่างไร”
สายตาของเว่ยหานมองข้ามขันทีไปหยุดบนใบหน้าของแม่ทัพสวีและพูดเสียงใสว่า “บัดนี้ศัตรูล้มตายไปกว่าครึ่ง การสู้รบมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ข้าเชื่อว่าแม่ทัพสวีสามารถนำชัยชนะกลับไปได้แน่นอน”
แม่ทัพสวีกำหมัดประสานมือ “ท่านอ๋องลำบากแล้ว”
ขันทีกลับโมโห “ท่านอ๋อง ท่านกล้ารับรองว่าจะชนะหรือ”
ไคหยางอ๋องไม่เห็นเขาซึ่งเป็นผู้ดูแลกองทัพคนนี้ในสายตาเลย!
เว่ยหานขมวดคิ้วมองขันที
ขันทีผู้ดูแลกองทัพเป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำมาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงคิดอย่างไรถึงเดินหมากได้ห่วยแตกเช่นนี้
เว่ยหานจ้องขันที ถามเสียงเย็นชาว่า “ข้าถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง กงกงกลับให้ข้ารับรองชัยชนะหลังจากที่พวกท่านรับช่วงต่อ แบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
ขันทีชะงักงัน
หากเขาพยักหน้า ไคหยางอ๋องจะชักดาบออกมาตัดศีรษะเขาทันทีหรือไม่นะ
“อีกอย่าง ทหารพันกว่านายที่ข้าพากลับไปเป็นองครักษ์ใกล้ชิดของข้า ไม่ใช่ทหารที่ระดมมาครั้งนี้ตั้งแต่แรก” เว่ยหานพูดจบแล้วก็ไม่อยากเสียเวลาอีกจึงตะโกนขึ้นว่า “ออกเดินทาง!”
มองดูเว่ยหานนำกองกำลังทหารของตนจากไป ขันทีก็เพิ่งรู้สึกตัว “จบกัน ไคหยางอ๋องไม่ได้กำชับอะไรไว้เลย กลับไปเสียอย่างนี้น่ะหรือ”
แม่ทัพสวีและนายพลที่เหลือสบตากันอย่างหมดหนทาง ไม่ได้พูดอะไร
มีผู้ดูแลกองทัพเช่นนี้อยู่ ทำลายสถานการณ์ดีๆ ไปเสียหมด
ขันทีผู้ดูแลกองทัพเป็นตัวแทนของฝ่าบาท หากเจอกับเรื่องใหญ่ต้องตัดสินใจ แม้แต่แม่ทัพสูงสุดก็ยังต้องฟังผู้ดูแลกองทัพ
ฟังเสียงพร่ำบ่นไม่หยุดของขันที ทั้งสามก็รู้สึกกังวลในอนาคตขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เว่ยหานนำทหารส่วนตัวเร่งเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง เมื่อเดินทางไปได้หลายวันก็ถือโอกาสสั่งสือหั่วตอนตั้งค่ายพักแรมว่า “เจ้าพาคนจำนวนหนึ่งไปทางเหนือ รอฟังคำสั่งทุกเมื่อ”
ทางเหนือถึงจะเป็นสถานที่ปักหลักของเขา ที่นั่นมีทหารที่เขาคุ้นเคยและภักดีต่อเขา
สือหั่วกำหมัดประสานมือขานตอบ
“นายท่าน กินข้าวเถอะ” องครักษ์นายหนึ่งยกอาหารเข้ามา ยิ้มพูดว่า “วันนี้มีแกงเนื้อขอรับ”
ในหม้อดินมีกระดูกอยู่ชิ้นหนึ่ง น้ำแกงโรยด้วยต้นหอม ดูไปแล้วแม้จะธรรมดา แต่ระหว่างทางได้ดื่มน้ำแกงเนื้อแบบนี้ถือว่าหายากนัก
เว่ยหานส่งสัญญาณให้องครักษ์วางอาหารลง เขายกหม้อดินขึ้นมากินกับหมัวหมัว
แม้จะจากเมืองหลวงมาหลายวัน แต่ราวกับว่ากระเพาะอาหารจะเลิกนิสัยเลือกกินไม่ได้ ทว่าเลือกกินก็ส่วนเลือกกิน ถึงอย่างไรก็ต้องกินให้อิ่มท้อง
ทว่าคิดจะคุ้นชินนั้นเป็นไปไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้กินข้าวก็จะยิ่งคิดถึงเมืองหลวง คิดถึงคนผู้นั้น
เมืองหลวงในบัดนี้กำลังโกลาหลเพราะข่าวแม่ทัพใหญ่ลั่วพาทั้งครอบครัวหนีออกจากเมืองหลวง
เสนาบดีจ้าวเดินออกจากที่ว่าการ เดินไปถึงถนนชิงซิ่งโดยไม่รู้ตัวจนมาถึงข้างหน้าประตูมีหอสุรา
ประตูใหญ่ของหอสุราถูกลงกลอน ดูเงียบเหงากว่าเดิมในยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน มีเพียงธงสุราสีเขียวหน้าประตูที่ยังคงต้อนรับและพริ้วไหวไปกับสายลม คงจะเป็นเพราะคนของหอสุราจากไปอย่างเร่งรีบจนลืมเก็บมัน
เสนาบดีจ้าวอดถอนหายใจไม่ได้ พึมพำเสียงเบาว่า “อยู่ดีๆ แท้ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้เล่า”
มีคนยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
เสนาบดีจ้าวหันไปมองก็พบว่าเป็นหลินเถิง
“เหตุใดเจ้าจึงมาเหมือนกันเล่า”
หลินเถิงสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนใต้เท้าขอรับ”
เสนาบดีจ้าวกระตุกมุมปาก ทอดถอนใจ “จากนี้ไปจะไม่ได้กินอาหารของมีหอสุราแล้ว”
หลินเถิงทุกข์ใจ แต่ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าใดๆ เขาพูดปลอบโยนว่า “เช่นนั้นกระเป๋าเงินของใต้เท้าก็คงจะตุงแล้ว”
เสนาบดีจ้าวไม่ได้รู้สึกถูกปลอบแม้แต่น้อย เขาเป่าเคราแล้วพูดว่า “ข้าอายุปูนนี้แล้ว แขวนกระเป๋าเงินหนักๆ ไปทำไมกัน”
เขาขาดแคลนเงินหรืออย่างไร เขาขาดแคลนของกินอร่อยๆ ต่างหาก!
“หลินเถิงเอ๋ย ช่วงนี้เจ้าไปมาหาสู่กับคุณหนูลั่วเป็นประจำมิใช่หรือ ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยหรือ”
หลินเถิงมองเสนาบดีจ้าวอย่างลึกซึ้ง
เสนาบดีจ้าวถูกมองจนงงงัน “ข้าถามเจ้านะ เจ้ามองข้าทำไมกัน”
หลินเถิงเงียบไปครู่หนึ่ง ถามอย่างสงบว่า “วันนั้นใต้เท้าไปหาซุนซื่อหลาง ไม่ได้คำตอบอะไรจากเขาเลยจริงๆ หรือขอรับ”
เสนาบดีจ้าวหนังตากระตุก
เจ้าหมอนี่ถามเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
ยืนอยู่หน้าประตูหอสุราที่มีธงสุราโบกพัด หลินเถิงไม่อยากปิดบังอะไรอีก “คดีสตรีหายตัวไปที่ข้าน้อยสืบสวนในช่วงนี้ ข้าน้อยรู้แล้วว่าใครเป็นคนทำ”
“ใคร”
“แม่ทัพใหญ่ลั่ว”
เสนาบดีจ้าวตกใจ
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่หลินเถิงถามเขาว่าได้คำตอบอะไรจากซุนซื่อหลางหรือไม่ เขาก็มีลางสังหรณ์ในใจแล้ว
ซุนซื่อหลางเคยบอกว่าผู้ที่ยืมดูทะเบียนราษฎรคือแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เพียงแต่ว่าเมื่อหลินเถิงพูดออกมา เขายังคงรู้สึกตกตะลึงมากอยู่ดี
หลินเถิงไม่ได้ปล่อยให้เสนาบดีจ้าวมีเวลาย่อยข้อมูลนานนัก เขาพูดต่อไปว่า “ฝ่าบาทเป็นคนสั่งให้แม่ทัพใหญ่ลั่วทำเช่นนี้…”
เสนาบดีจ้าวปิดปากหลินเถิงไว้ทันที เขาโมโหแทบตาย “เจ้าเด็กโง่ บ้าไปแล้วหรือไง”
หลินเถิงสีหน้าสงบ ปล่อยให้เสนาบดีจ้าวปิดปากไว้
เสนาบดีจ้าวค่อยๆ วางมือลง เตือนเสียงเบาว่า “ห้ามพูดจาเหลวไหล!”
หลินเถิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ใต้เท้าถามข้าน้อยว่าคุณหนูลั่วมีอะไรผิดปกติหรือไม่มิใช่หรือ ฝ่าบาททรงบัญชาให้แม่ทัพใหญ่ลั่วสังหารสตรีในเมืองหลวงที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน คุณหนูลั่วเกิดตรงกับวันนั้นพอดี”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง มองหอสุราที่ปิดประตูแน่นแล้วพูดว่า “คงเป็นเพราะเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงพาครอบครัวหนีตาย”
เสนาบดีจ้าวสีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม “พอแล้ว ห้ามพูดอีก!”
“ขอรับ ไม่พูดแล้ว” หลินเถิงก้มหน้าลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เห็นเขาเป็นเช่นนี้ เสนาบดีจ้าวก็อดถอนหายใจไม่ได้ “อย่ายืนเหม่ออยู่ตรงนี้ รีบกลับบ้านกินข้าวเถอะ”
“ใต้เท้าไปก่อนเถอะ ข้าน้อยยังไม่หิว”
“ได้” เสนาบดีจ้าวเองก็รู้สึกแย่มาก เขาเดินจากไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลินเถิงยืนอยู่ที่เดิมนานแสนนาน เขาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไปแล้วก็ดี”
เขาหันหลังกลับไปเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“คุณหนูรองหวัง” หลินเถิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
คุณหนูรองหวังเดินขึ้นมา ย่อเข่าให้หลินเถิงเล็กน้อย “ใต้เท้าหลิน”
“ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว เหตุใดคุณหนูรองหวังจึงอยู่ที่นี่”
คุณหนูรองหวังเม้มปากเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “เดินมาที่นี่อย่างไม่รู้ตัวเจ้าค่ะ”
หลินเถิงเงียบ
เขาเองก็เช่นกัน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง คุณหนูรองหวังก็ถามว่า “ใต้เท้าหลิน พี่หญิงข้า…มีข่าวหรือยัง”
หลินเถิงส่ายศีรษะ “ขออภัยด้วย”
ดวงตาของคุณหนูรองหวังมืดมนลง ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “หากมีข่าวของพี่หญิงข้าแล้ว ใต้เท้าหลินต้องบอกข้านะเจ้าคะ”
“ขอรับ”
“ลาก่อนเจ้าค่ะ” คุณหนูรองหวังหันหลังเดินกลับไป น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ
ครอบครัวจะย้ายออกจากเมืองหลวงเร็วๆ นี้แล้ว หรือว่านางจะไม่ทราบข่าวของพี่หญิงตลอดไปแล้วหรือ
ฟ้ามืดลงแล้ว หอสุราและโรงน้ำชารอบๆ ยังคงคึกคักดังเดิม มีเพียงหอสุราตรงหน้าที่ไร้แสงสว่าง
หลินเถิงเดินออกจากถนนชิงซิ่งไปเงียบๆ