บทที่ 363 จวนชิง-1
สายลมประจิมหนาวสะท้าน
พัดน้ำในสระกระเพื่อมเป็นริ้ว
ดอกเบญจมาศปลูกไว้เต็มริมสระน้ำ ทว่ายังไม่ถึงฤดูผลิบาน
เพียงแต่ถูกลมพัดจนลู่ลงกระทั่งเหี่ยวเฉา
ริมสระน้ำมีหออยู่หนึ่งหลัง ชื่อหอมีเพียงอักษร ‘ชิง’ หนึ่งตัว
จวนชิงเป็นที่จวนส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในรัฐหงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
หอแห่งนี้เป็นหอหลักของจวนชิง
จวนชิงตั้งอยู่ด้านตะวันออกของหัวเมืองรัฐหง ครอบครองพื้นที่เกือบหนึ่งพันไร่
ด้านข้างมีป่าอยู่แห่งหนึ่งเรียกว่าทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด ได้ชื่อมาจากการที่ต้นไม้ทุกต้นในป่านี้เป็นต้นเฟิง (เมเปิล)
เมื่อสารทฤดูมาถึง ทุกอย่างจะกลายเป็นทะเลสีชาดทั้งผืน
เดิมทีป่าผืนนี้ไม่ได้เป็นของจวนชิง
แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน จวนชิงใช้เงินมหาศาลเปลี่ยนเส้นทางน้ำในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นฉากยิ่งใหญ่ในรัฐหง
ยามนั้น จวนชิงได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามเมื่อสุขสุดขีดย่อมพบเจอเรื่องเศร้าใจ หลักการที่ว่ารุ่งเรืองสุดขีดภายหลังถดถอยนั้นล้วนเป็นเหมือนกันทุกแห่งไม่ว่าที่ใด
จวนชิงก็ไม่อาจกลายเป็นข้อยกเว้นนี้ได้
บรรพบุรุษของจวนชิงเคยอาศัยอย่างสันโดษบนภูเขารัฐหงเป็นเวลาถึงยี่สิบปี
เพียงเพื่อฝึกฝนวิชาดาบ
นี่เป็นการชักดาบครั้งแรก
บรรพบุรุษผู้นี้ถูกขนานนามในภายหลังว่า ‘คลั่งดาบ’
ดาบต่างหากที่เป็นราชาแห่งอาวุธอันเที่ยงตรงและสง่างาม
แต่มือดาบมักจะถูกผู้ฝึกกระบี่ปรามาสมาโดยตลอด ทว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจเข้าใจและทนยอมรับไม่ได้
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก บรรพบุรุษจวนชิงผู้นี้ก็ค้นพบสาเหตุ
นั่นเป็นเพราะเมื่อเทียบกับกระบี่แล้ว ดาบนั้นหนาและหนักเกินไป
เสถียรภาพเกินพอแต่คล่องแคล่วไม่มากพอ
กระบี่ยาวเบาบาง ใช้งานได้หลากหลาย
วิชากระบี่พิถีพิถันกับการพลิกแพลงแปลกประหลาด
ทว่าวิชาดาบใหญ่โตอาจหาญ
ภายใต้การฝึกฝนวิถียุทธ์ระดับเดียวกัน เลี่ยงไม่ได้ที่มือดาบจะถูกผู้ฝึกกระบี่อาศัยช่องโหว่ กายดับสิ้นและวิถีดับไป
ทั้งนี้เคยมีคนคิดเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของดาบอีกด้วย
ทว่าไร้ข้อยกเว้นใดๆ ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนดาบให้กลายเป็นเหมือนกระบี่
ในสายตาของบรรพบุรุษจวนชิงผู้นี้ นี่เป็นลูกไม้ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
เขาเพียงหมายจะสร้างทักษะวิชาดาบรูปแบบใหม่เท่านั้น
เพื่อทำลายวิชากระบี่ที่สงวนตำแหน่งการฝึกฝนวิถียุทธ์
แต่น่าเสียดายก่อนที่เขาจะทำลายมันได้ จวนชิงกลับล่มสลายเพราะบรรพบุรุษผู้นี้ถูกศัตรูลอบสังหารเสียก่อน
คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษผู้นี้ก็เป็นผู้ที่โหดเหี้ยมเช่นกัน…
เพื่อล้างแค้นให้บิดาของตนจึงยอมสละทั้งจวนชิง
ตนเพียงนำดาบวิ่งฝ่าเข้าไปในภูเขาและเริ่มตั้งใจฝึกฝน
แต่ยามนั้นบรรพบุรุษผู้นี้ยังขาดระดับพลังและด้อยประสบการณ์ในยุทธภพมากเกินไป
แต่ก็เหมือนกับสุนัขกัดหนามเม่น ไม่มีทางกัดได้
ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เขาวางแผนอย่างอุตสาหะกลับพบว่าหากตนสามารถล้างแค้นได้มีเพียงโอกาสเดียว ก็เพียงพอให้ตนโจมตีหนึ่งครั้ง
เขาจึงตัดสินใจทำตามความคิดและหาทางออก
เริ่มฝึกฝนหวดดาบอย่างหนัก
บรรพบุรุษผู้นี้ฝึกดาบบนภูเขาทุกวัน ไม่หวั่นกระทั่งสายลมและหิมะ
ใช้ใบไม้ร่วงหล่นจากต้นไม้เป็นคู่ต่อสู้
และในทุกวันจะใช้ดาบโจมตีเพียงสามหน
แบ่งออกเป็นยามอาทิตย์ขึ้น ยามเที่ยงวันและยามอาทิตย์อัสดง
เวลาที่เหลือล้วนปรับสภาวะอินหยางสองขั้วในร่างกายตน
แต่แม้จะทุ่มฝึกฝนสุดตัวเช่นนี้ บรรพบุรุษผู้นี้ก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะศัตรูได้
ทว่าวิชาดาบของเขาก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
นับตั้งแต่เริ่มฟันดาบสามารถทำลายได้เพียงใบไม้หนึ่งใบ
จนกระทั่งถึงตอนนี้สามารถฟันดาบทำลายใบไม้ได้สิบสามใบ
ความก้าวหน้าของใบไม้สิบสองใบนี้เพียงอย่างเดียวเขาใช้เวลาร่วมห้าปี
แม้ว่าผลลัพธ์จะชัดเจน แต่ความก้าวหน้าที่เชื่องช้าเช่นนี้ ทำให้บรรพบุรุษผู้นี้วิตกกังวล
ค่ำคืนวันหนึ่ง
แสงจันทร์ปกคลุมร่างเขาที่นั่งเงียบๆ ริมหน้าผา
ทันใดนั้นจึงมองเห็นเงาตนเอง
จู่ๆ เขาก็ชักดาบฟันเงาตนเอง
ร่างกายโอนเอน ทำให้เงาพลอยวูบไหวตามจึงมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่สิ่งนี้จุดประกายความคิดครั้งใหญ่ให้แก่เขา
จะเกิดอันใดขึ้นหากความคมดาบนี้คมเสียจนแม้แต่เงาของตนก็ยังตอบสนองไม่ทันเล่า
ผู้ใดในใต้หล้าจะสามารถหลบเลี่ยงดาบนี้ได้
ครั้นค้นพบประเด็นสำคัญนี้แล้ว บรรพบุรุษจวนชิงผู้นี้พลันรู้สึกสุขใจอย่างยิ่ง
จึงเริ่มฟันดาบทั้งวันทั้งคืน
แต่เขาชอบเวลาพลบค่ำเป็นพิเศษ
หันหลังให้กับอาทิตย์อัสดง
เงาของเขาทอดยาวมาก
ยิ่งเงายาวและใหญ่มากขึ้นเท่าใด ระดับความยากที่เขาจะฟันก็จะยิ่งยากตาม
ยามเที่ยงวันเงาจะสั้นที่สุด
การเคลื่อนไหวย่อมไม่ชัดเจน
แต่เมื่อยามพระอาทิตย์ตกดินมันจะขยายใหญ่หลายเท่าและเผยให้เห็นทุกส่วน
ดาบสุดท้ายที่บรรพบุรุษจวนชิงผู้นี้ฟันออกไปก่อนการแก้แค้น จริงๆ แล้วมันไม่สมบูรณ์แบบ
เงาของตนยังคงเคลื่อนไหวอยู่
คมดาบของเขา ตำแหน่งที่เขาฟันต่ำกว่าช่วงลำคอเล็กน้อยประมาณสองชุ่น
แต่เขาถอนดาบออกอย่างพึงพอใจและเตรียมจากไป
เพราะโอกาสล้างแค้นมาถึงแล้ว
ครั้งต่อไปที่เขาจะฟันดาบนั้น มันจะเป็นดาบที่สุดยอดในชีวิตนี้ของเขาก็ว่าได้
ไม่อาจเสียโอกาสนี้ไปอย่างง่ายดาย
ในคืนนั้น เขาแอบย่องเข้าไปในจวนชิง
มองเห็นเรือนที่เคยเป็นของตน ตอนนี้ทุกสิ่งตกไปอยู่ในมือของคนนอกแล้ว ทว่าเขาไม่รู้สึกหดหู่ใดๆ
ยามนี้ในใจเขามีเพียงดาบเล่มเดียว
ฟันดาบเพียงครั้ง หากไม่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินก็จะสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง
ทว่าศัตรูของบรรพบุรุษผู้นี้กลับมองว่าเขาเป็นเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น
กระทั่งถึงกับเย้ยหยันว่าเขาเป็นคนเถื่อนอาศัยอยู่บนภูเขายี่สิบปีแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังไม่ถูกหมาป่ากิน
ทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าครึ่งจั้ง
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเย้ยหยันบรรพบุรุษจวนชิงผู้นี้อย่างไร เขาล้วนไม่ปริปากเอ่ยวาจาใด
เขารอจนกระทั่งมือของอีกฝ่ายวางอยู่บนด้ามดาบ
ทันใดนั้นเขาจึงชักดาบโจมตีออกไปในพริบตา
คนผู้นั้นไม่เคยพบเจอดาบที่รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเคลื่อนไหวชักดาบจะสามารถรวมเป็นหนึ่งกับการสังหารได้
อย่างไรก็ตาม ศีรษะของเขาก็หลุดออกไปเช่นนี้
คนที่เหลือในจวนชิงเห็นประมุขตระกูลของตนถูกสังหาร
ทันทีที่ผู้มีอำนาจหมดไป ผู้ใต้บังคับบัญชาพลันกระจัดกระจายทยอยหลบหนีไป
จวนชิงจึงกลับคืนสู่มือของเขาเช่นนี้
หลังจากฟันดาบนี้แล้ว ในจวนชิงก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นบรรพบุรุษผู้นี้ฟันดาบอีก
เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสดาบด้วยซ้ำ
สามปีต่อมา จวนชิงค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความคึกคักและรุ่งเรืองดังเช่นอดีต
บรรพบุรุษผู้นี้แต่งภรรยาและมีบุตรในช่วงสามปีนี้ และสืบสานสายตระกูลต่อไป
ก่อนความตายมาเยือน เขายื่นแผ่นกระดาษบางๆ ให้บุตรชายของตน
บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ดาบตัดเงา’
นั่นเป็นบันทึกจากการตกผลึกในวิชาดาบที่เขาฝึกฝนอย่างอุตสาหะมาตลอดยี่สิบปี
เพราะบรรพบุรุษผู้นี้รู้ดีแก่ใจว่า หากเขาฝึกฝนเพียงดาบเดียว จะทำให้อินหยางสองขั้วและหลอดเลือดหัวใจเสียหายหนักเกินไป
ด้วยเหตุนี้หลังจากฟันดาบ เขาอาจจะตายไปพร้อมกับศัตรูก็ว่าได้
จึงเป็นเหตุผลที่เปลี่ยนจากหนึ่งดาบเป็นสามดาบ
แม้ว่าหลังจากนี้ พลังอำนาจวิชาดาบจะอ่อนลงไปมากก็ตาม แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดในใต้หล้า
ผู้คนต้องไล่ตามจุดสุดยอดในสถานการณ์ที่สุดโต่ง
แต่เมื่อใดที่มีการผูกมัดและความรู้สึกเข้ามาร่วม
การไล่ตามจุดสุดยอดก็จะกลายเป็นความไร้ความรู้สึก
ไร้ความรู้สึก ไร้วัตถุ ไร้ตนตัว ไร้ดาบ
ว่างเปล่าสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง
เช่นนั้นแล้วชีวิตจะมีความหมายใด
เขาใช้เวลายี่สิบปีเพื่อช่วงชิงจวนชิงกลับคืนมาได้แล้วจะมีความหมายใดเล่า
ฉะนั้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา
จวนชิงไม่เพียงแต่รุ่งเรืองไม่ตกอับเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับค่อยๆ กลายเป็นพรรคดาบอันดับหนึ่งในรัฐหงอีกด้วย
คนนอกต่างกล่าวว่ามือดาบจวนชิงใช้วิชามารเป็น
ดาบที่พวกเขาใช้ล้วนถูกสาปมาก่อนและสามารถตัดสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้คนได้เพียงดาบเดียว
ยิ่งกว่านั้นมีคนกล่าวว่า เหล่ามือดาบในจวนชิงเดิมไม่ใช่มนุษย์
ไม่เช่นนั้นจะสามารถตัดเงาของตนเองได้อย่างไร
ข่าวลือให้ร้ายเหล่านี้เป็นเพียงความอิจฉาริษยาเท่านั้น
สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ‘ดาบตัดเงา’ ที่มีเพียงสามดาบสืบทอดมาแล้วสิบห้าชั่วอายุคนอย่างต่อเนื่อง
ประมุขตระกูลจวนชิงรุ่นปัจจุบันมีนามว่าชิงหราน
ครั้นเยาว์วัยยังเป็นมือดาบเลื่องชื่อในรัฐหงอีกด้วย
แม้จะอยู่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็ยังสามารถอยู่ในห้าอันดับแรก
ทว่าตระกูลหนึ่งไม่สามารถพึ่งพาอาศัยจากคนเพียงคนเดียวได้
ความตกต่ำของจวนชิงเริ่มต้นขึ้นตามการผงาดขึ้นของชิงหราน
ในเมื่อเป็นตระกูลหนึ่งก็ต้องมีผู้อาวุโสและคนรุ่นหลัง
ย่อมต้องมีทั้งบุรุษและสตรี
ชิงหรานมีภรรยาสองคน
ล้วนแต่เป็นแซ่จง
ในสมัยนั้นผู้คนใช้แซ่จงนำหน้าเพื่อแบ่งแยกความแตกต่าง
นางต้าจงเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเถ้าแก่เนี้ยและนายท่านจิน
หลังจากนางต้าจงเสียชีวิตลง
นายท่านจินจึงเปลี่ยนจากแซ่ ‘ชิง’ เป็น ‘จิน’