บทที่ 815 ไม้ตาย
หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนมาคู่กัน ก็เหมือนกับการเทน้ำลงไปในน้ำมันเดือดๆ หรือไม่ก็การเทน้ำแข็งลงไปในกองไฟที่ลุกโชน
ทุกอย่างเงียบสงัดทันใด บรรยากาศชะงักนิ่ง แต่ความรู้สึกในใจกลับเป็นปั่นป่วนกันแล้ว
ทางฝั่งพรรคฟ้าดิน
‘มาแล้วๆ เทพบุตรกับหยางเชียนฮ่วนวางแผนกันมานาน ไม่ทำให้ข้าผิดหวังโดยแท้ แต่การพัดลมโหมไฟแบบนี้ดีนัก สวี่หนิงเยี่ยนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไม่กลัวเขามาคิดบัญชีย้อนหลังหรืออย่างไร?’ จิตวิญญาณของฉู่หยวนเจิ่นสั่นไหว กล้ามเนื้อที่เอวและหลังตึงเครียด พลันเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ในปีนั้นขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าฉู่จ้วงหยวนชอบเรื่องซุบซิบ แต่จริงๆ แล้วสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์และต่างก็มีสถานะไม่ธรรมดาเลย
การได้เห็นพวกนางวางอุบายต่อสู้กันทั้งอย่างเปิดเผยและแบบลับๆ นั้น น่าตื่นเต้นพอๆ กับได้ชมการต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นหนึ่งทีเดียว
อีกอย่าง สวี่หนิงเยี่ยนเองเป็นพวกเจ้าเล่ห์หลบใน สมาชิกในพรรคฟ้าดินแต่ละคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้เถรตรงและจริงจัง แต่ผลกลับถูกเขาชี้นำทั้งแบบโจ่งแจ้งและแบบลับๆ อยู่ได้ จนทุกคนต่างก็มีเรื่องน่าอายที่สุดจะทานทน
ตอนนี้เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในความยุ่งยากว้าวุ่นใจ ฉู่หยวนเจิ่นก็มีความสุขไปด้วย
ไต้ซือเหิงหย่วนขมวดคิ้วและเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่ใต้เท้าสวี่เผชิญในตอนนี้
‘ใต้เท้าสวี่ผิดอะไร ใต้เท้าสวี่เป็นแค่ชายหนุ่มกลัดมันเท่านั้น ผู้ที่ผิดคือหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่ต่างหาก’
เห็นได้ชัดว่าอาซูหลัวไม่เคยพบเจอกับ ‘เรื่องราว’ ที่น่าสนใจเช่นนี้มาก่อน จึงชมดูอย่างกระตือรือร้นพลางคิดว่าบางครั้งการหลบหนีเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ก็มีข้อดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายขนาดนี้
เพื่อคำว่า ‘รูป’ จึงทำให้ตัวเองต้องอับอายขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ
รูป เพียงส่งผลต่อความเร็วในการออกหมัดของเขาเท่านั้น
นักบวชเต๋าจินเหลียนดื่มสุราจากขวดเหล้าเล็กเสียงดังอึกอัก บนใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ท่าทางพึงพอใจ
เหมียวโหย่วฟางผู้เป็นคนสนิทก้มหน้ากินอาหาร แสร้งทำเป็นว่าตนและโม่ซางมาจากกลุ่มเดียวกัน
‘เวลาแบบนี้ กลัวก็แต่ฆ้องเงินสวี่จะชักดาบออกมาเท่านั้น ใครขวางคนนั้นตาย’
‘สองคนนี้จงใจทำให้หนิงเยี่ยนตกที่นั่งลำบาก…’ จีไป๋ฉิงขมวดคิ้วและมองหลี่หลิงซู่กับหยางเชียนฮ่วนร่วมมือกันรังแกลูกชายตนเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
‘พี่ใหญ่กำลังเจอกรรมตามสนองจนไม่อาจเอ่ยวาจาได้…’ สวี่เอ้อร์หลางและพวกอาจารย์ชนแก้วกันจากระยะไกลภายใต้ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ในหมู่ผู้คนในที่นั้น นอกจากอาสะใภ้ น้องๆ อย่างลี่น่า หลิงอิน ไป๋จี และฉู่ไฉ่เวยที่ตอบสนองช้าเพราะเหตุผลพิเศษแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่รอคอยการตอบสนองของสวี่หนิงเยี่ยนและรอดูปฏิกิริยาของผู้หญิงโต๊ะนั้นกันเงียบๆ
ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ สวี่หลิงอินนั่งอยู่บนตักของอาสะใภ้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมอยู่ในชามข้าว
โต๊ะของนางมีสุราอาหารไม่จำกัด กินหมดก็เติมเข้ามาตลอด ทำให้ฉู่ไฉ่เวยและลี่น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคิดจะกินอาหารบนโต๊ะให้ได้พอประมาณแล้วค่อยเหยียบย่างไปที่โต๊ะทางนั้น
‘ปัง!’
เสียงตบโต๊ะดังลั่น มู่หนานจือในชุดคลุมสีขาวพุ่งออกมาแล้วมองหลี่หลิงซู่ด้วยสายตาโมโหแล้วเอ่ยตำหนิว่า
“เจ้ากล้าให้ร้ายว่าราชครูว่าเป็นสตรีที่รู้จักแต่แต่งหน้าแต่งตัวอย่างนั้นหรือ หลี่หลิงซู่ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง “
นอกจากสวี่ชีอันแล้ว คนอื่นล้วนไม่คาดคิดว่าคนที่ออกมาโจมตีคนแรกกลับเป็นหญิงสาวที่ดูธรรมดาๆ คนหนึ่ง
‘ร้ายกาจนัก…’ แขกเหรื่อหลายโต๊ะพากันเหลือบมองมู่หนานจือแล้วพึมพำด้วยความตกตะลึง
ผู้ที่นั่งอยู่นั้น ใครไม่รู้บ้างล่ะว่าราชครูคือคู่บำเพ็ญของสวี่หนิงเยี่ยน สตรีผู้นี้กล่าวเช่นนี้เท่ากับนำท่านราชครูไปย่างบนเตาไฟแท้ๆ
ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นหนึ่งสู่เทพเซียนเดินดิน แต่คู่บำเพ็ญกลับแต่งกับสตรีคนอื่น หากนางไม่แสดงจุดยืนออกมาแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
หากนางฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องใหญ่และทำลายงานอภิเษก ในหมู่สตรีกว่าครึ่งบนโต๊ะนี้คงจะดีใจตายเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมีเหล่าพี่สาวน้องสาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในหมู่คนบนโต๊ะนี้ มีเพียงหนานจือเท่านั้นที่กล้ากล่าวหาราชครู…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ
ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า
“คนผู้นี้คือ?”
“นี่คือท่านป้ามู่ พี่สาวร่วมสาบานของอาสะใภ้ของข้า” สวี่ชีอันเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วทันใดและกำหนดตัวตนเพื่อปกปิดให้กับเทพดอกไม้
“ท่าทางท่านป้ามู่ดูน่าคบหาและเรียบง่ายมากจริงๆ ข้าขอคำนับหนึ่งแก้ว”
‘น่าคบหาและเรียบง่าย’ คำนี้กัดฟันพูดอย่างหนักมาก
มู่หนานจือสูดลมหายใจแล้วเหลือบมองครอบครัวบ้านสกุลสวี่ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา
“ไม่ต้องเกรงใจ เด็กดี”
เทพดอกไม้ผู้ทรงสง่า อดีตพระชายาผู้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี หลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างความอับอายและการปลดกำไลข้อมือแล้ว รอบนี้นางจึงเลือกอดทนต่อไป
‘ไม่อาจให้ราชครูโจมตีได้…’ พวกหลี่เมี่ยวเจินต่างพากันผิดหวัง
พวกนางล้วนอยากให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันเอง แต่สองคนนั้นกลับไม่ยอมเป็นปืนเป็นหอกให้เลย
หลังจากดื่มไปสองสามรอบ หลี่เมี่ยวเจินก็กระแอมไอเสียงดังจนดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของฆ้องเงินสวี่ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย อีกทั้งเมี่ยวเจินก็ได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้”
ไม่จำเป็นหรอก…สวี่ชีอันรู้สึกระแวดระวังจากสัญชาตญาณ
หลี่เมี่ยวเจินก้มหน้าแล้วปลดถุงหอมที่เอวออกมา จากนั้นเปิดออกเบาๆ ควันสีเขียวลอยออกมาจากในนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่จะกลายเป็นสตรีงามทรงเสน่ห์ล่มบ้านล่มเมืองผู้มีผมสีดำชุดสีขาวภายใต้สายตาของทุกคน
ความงามของนางล้ำเลิศไม่สามัญ มีเสน่ห์แต่ไม่ได้ยั่วยวน ทั่วทั้งสรรพางค์กายล้วนมีกลิ่นอายทำให้คนมัวเมา ทำให้บุรุษในที่นั้นต่างตื่นตะลึง
“นี่คือพี่สาวของข้า ซูซู นางเติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เด็กๆ จนใจที่พี่สาวเป็นหญิงงามอาภัพ จึงกลายเป็นวิญญาณโดดเดี่ยว”
เมื่อหลี่เมี่ยวเจินเอ่ยถึงตรงนี้ สวี่หลิงอินที่จมอยู่ในโลกตัวเองก็เงยหน้าขึ้นแล้วเลียปากมันๆ พร้อมมองซูซูด้วยสายตาคาดหวัง
หลังจากอธิบายตัวตนของซูซูคร่าวๆ หลี่เมี่ยวเจินก็เอ่ยพูด
“นางกับฆ้องเงินสวี่ผ่านอุปสรรคความยากลำบากมาด้วยกันและได้ให้คำสาบานชั่วนิรันดร์แก่กันและกัน ดังนั้นฆ้องเงินสวี่ก็ควรรับนางเป็นภรรยา แต่น่าเสียดาย แม้จะผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่กลับไม่อาจร่วมแบ่งปันความสุขความมั่งคั่งได้ ฆ้องเงินสวี่ก้าวหน้าอย่างราบรื่น หลังจากขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วก็ไม่เคยมาหานางอีกเลย ซูซูต้องใช้น้ำตาล้างหน้าทุกวัน น่าหดหู่ใจยิ่งนัก เมี่ยวเจินผู้เป็นน้องสาวจะทนไหวได้อย่างไร วันนี้โอกาสดีมีงานมงคลสมรส จึงอยากจะขอถามฆ้องเงินสวี่สักหน่อยว่า ยังจำคำสัญญาเมื่อครานั้นได้อยู่หรือไม่”
ซูซูให้ความร่วมมือโดยแสดงท่าทีร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
“เจ้ามันคนใจร้าย ตอนอยู่ที่อวิ๋นโจวในครานั้นพูดเสียดิบดีว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน…”
‘สมกับที่เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ตรงไปตรงมายิ่งนัก…’ พวกเว่ยเยวียนและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอวิ๋นลู่ยกแก้วขึ้นดื่มเงียบๆ
ลื่นคอเสียจริง
หลี่หลิงซู่มองไปยังสวี่ชีอันด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ซูซูก็เป็นพี่สาวของข้าเช่นกัน เจ้า เจ้ากลับลงมือกับพี่สาวของข้าด้วยรึ? แถมยังได้แล้วเขี่ยทิ้งด้วย?”
หยางเชียนฮ่วนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มอบแผ่นหลังให้กับทุกคน จากนั้นตะโกนเสียงดัง
“สวี่หนิงเยี่ยน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้”
ข้าเกือบลืมเจ้าอนุตัวน้อยไปแล้ว! สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ เขารู้ว่าคนพวกนี้จะต้องเล่นลูกไม้แน่ เพราะความเคียดแค้นคับข้องในใจจะต้องถูกระบาย ไม่มีทางทำหน้านิ่งแล้วดื่มอยู่อย่างเดียวหรอก
จะมีเรื่องง่ายๆ เช่นนั้นที่ไหนกัน
สวี่ชีอันไม่เลิ่กลั่กสักนิด ขณะกำลังจะตอบกลับก็ได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยทางโต๊ะนั้นเอ่ยพูดขึ้นมาว่า
“ท่านนักบวชเต๋าหลี่กล่าวหนักไปแล้ว คนไม่รู้จะคิดว่าพี่ใหญ่ของข้าจะแต่งแม่นางซูซูเป็นภรรยาเอาได้ คนทั้งโลกล้วนรู้ว่าคำสัญญาของพี่ใหญ่นั้นมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง ในเมื่อรับปากแล้วก็จะต้องทำให้ได้แน่นอน เดี๋ยวรอให้งานอภิเษกจบลง ท่านแม่ ท่านก็เป็นประธานหาเกี้ยวมารับแม่นางซูซูเข้าประตูนะเจ้าคะ แต่งภรรยารับอนุ อย่างไรก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง”
หลี่เมี่ยวเจินชะงักไป ฉับพลันก็เกิดภาพลวงขึ้นมาว่า ‘ข้านี่ช่างทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่’ และ ‘ข้ากำลังก่อเรื่องโดยไร้เหตุผลอยู่แท้ๆ’
‘ไม่ นั่นไม่ใช่ภาพลวง แต่เป็นคำพูดเหน็บแนมของสวี่หลิงเยวี่ยที่ดึงดูดให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้…ในวันอภิเษกสมรส อนุอย่างเจ้าจะสร้างเรื่องอะไรนัก? แข็งข้อเช่นนี้ เจ้าอยากเป็นอนุหรือว่านายหญิงล่ะ?’
‘นี่ นี่ดูคล้ายจะมีเหตุผลอยู่นะ น้องสาวคนนี้ของสวี่หนิงเยี่ยนกลับมีฝีปากคมกริบเช่นนี้ด้วย?’ หยางเชียนฮ่วนในสมองครุ่นคิดแผนการอย่างหนัก ทั้งยังเริ่มวิตกกังวลเล็กน้อย
หลี่หลิงซู่นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างจนปัญญา แผนการนี้ของเมี่ยวเจินอย่างมากก็ทำให้ชื่อเสียงดีงามของเจ้าโจรสุนัขสวี่หนิงเยี่ยนแปดเปื้อนหมึกดำเล็กน้อยเท่านั้น แต่ปัญหาก็คือ คนเขาก็เป็นของประเภทนี้อยู่แล้วด้วย
สิ่งสำคัญคือ วิญญาณผีตนหนึ่งจะเป็นภัยคุกคามอะไรได้?
แม้แต่กายเนื้อก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ…
ดูท่านราชครู พระชายา และฝ่าบาทสิ แต่ละคนไม่เห็นจะมีปฏิกิริยาอะไรเลย
สวี่ชีอันมองไปยังสวี่หลิงเยวี่ยด้วยสายตาชื่นชม พลางกล่าวในใจว่าสมแล้วที่เรียกตัวเองว่าเป็นน้องสาวผู้รักพี่ชายมากที่สุด
เขาหันมองไปทางหวางซือมู่ทันที ไม่ดีเลย น้องสะใภ้คนนี้เอาแต่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียว ไม่คิดจะลุกขึ้นมาขวางมีดให้เลยสักนิด ข้าต้องกระตุ้นนางสักหน่อยแล้ว
สวี่ชีอันกระแอมไอแล้วยิ้มออกมา
“เจ้าสาวคนใหม่ไม่สะดวกออกมารับแขก ดังนั้นข้าจึงจะให้ซือมู่มาเป็นนั่งเป็นประธานแทนหลินอัน ซือมู่ทั้งเป็นน้องสะใภ้ของหลินอันและยังเป็นเพื่อนสนิทของนางด้วย ถ้าให้เป็นตัวแทนหลินอันก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด เอ้อร์หลาง เจ้าว่าใช่หรือไม่”
หวางซือมู่ชะงักไป ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยสักนิด
‘เอ้อร์หลาง เอ้อร์หลาง พี่ใหญ่ของเจ้าจะทำร้ายข้าแล้ว…’ นางไปยังสวี่ซินเหนียนพร้อมสายตาขอความช่วยเหลือ
‘พี่ใหญ่ก็เป็นพวกเจ้าเล่ห์เช่นนี้นี่แหละ ข้าก็จนปัญญา…’ สวี่ซินเหนียนส่งสายตาตอบกลับไป
จีไป๋ฉิงผู้เป็นมารดาแท้ๆ ใจสั่นไหวไป จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นตัวแทนของเจ้าสาว เช่นนั้นมาดื่มอวยพรแก่ทุกคนสักหนึ่งจอกร่วมกับเอ้อร์หลางสิ เสี่ยวหรู เจ้าว่าใช่หรือไม่”
สวี่หนิงเยี่ยนนั้นเป็นเจ้าบ่าวมือใหม่และตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาดื่มเหล้าเคารพแขกเหรื่อ โดยปกติทั่วไปแล้ว ต้องรอจนกว่าทุกคนกินจนใกล้จะอิ่มและมึนเมาได้ที่แล้วจึงค่อยเอ่ยเคารพ
อาสะใภ้ไม่ได้รู้สึกว่าลูกชายและลูกสะใภ้ถูก ‘คิดบัญชี’ อยู่เลย นางจึงพยักหน้าให้ทันที
“พี่สะใภ้กล่าวได้มีเหตุผล”
สวี่เอ้อร์หลางถอนหายใจยาวเหยียด
เขารู้จักมารดาดีที่สุดแล้ว แต่ในสายตาของหวางซือมู่ ว่าที่แม่ย่ากำลังบอกใบ้ให้นางแบกรับความกดดันแทนพี่ใหญ่สวี่ชีอัน ถึงขั้นยังมีความคิดที่จะสั่งสอนนางอยู่ด้วยซ้ำ…นั่นก็เพื่อดูว่านางจะสามารถควบคุมอนุภรรยาพวกนี้และแขกเหรื่อที่มาสร้างปัญหาได้หรือไม่
พวกแรกนั้นได้แก่ผู้ที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับพี่ใหญ่อย่างพวกท่านราชครูและจงหลี หรือสตรีที่ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเหล่านั้น ส่วนพวกหลังนั้นคือหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่
การทำให้สถานการณ์สงบนั้น แต่ไหนแต่ไรก็เป็นความสามารถที่สะใภ้ควรมีอยู่แล้ว
หวางซือมู่เหลือบมองเหล่าสตรีที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ในใจเริ่มขึงขังขึ้น
แม่ย่าในอนาคตได้ตั้งความหวังไว้กับนางแล้ว
ด้วยการเสียสละจากสวี่เอ้อร์หลางและหวางซือมู่ที่เดินวนไปเคารพสุรา จนเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปก็ได้ขจัดบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคมหอกเงาดาบเมื่อสักครู่ได้แล้ว
สำหรับเจ้าบ่าวคนหนึ่ง ทุกนาทีที่เคลื่อนผ่านไป ล้วนเป็นการก้าวเข้าใกล้ชัยชนะอีกหนึ่งก้าว
ตอนนี้เอง ฮว๋ายชิ่งก็แย้มยิ้มนิ่งๆ แล้วเอ่ยว่า
“เราก็ได้เตรียมของขวัญมาให้ฆ้องเงินสวี่เช่นกัน”
บรรยากาศครึกครื้นค่อยๆ นิ่งงันลง ทุกคนหยุดพูดคุยกันโดยไม่รู้ตัวแล้วรอคอยด้วยความเงียบสงบ
หนึ่งก็เพราะฐานะของฮว๋ายชิ่งผู้เป็นจักรพรรดินี เมื่อนางเอ่ยพูด เหล่าขุนนางย่อมต้องนิ่งฟังเงียบๆ
และอย่างที่สองคือ คนสนิทล้วนรู้ดีว่าจักรพรรดินีองค์นี้มีจิตใจล้ำลึกวิธีการสูงส่ง ‘ของขวัญ’ ที่นางกล่าวมานั้น จะต้องน่าสนใจกว่าของหลี่เมี่ยวเจินเป็นแน่
หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนถูมือรอคอยเงียบๆ
“ฝ่าบาท ไม่ต้องเกรงใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
สวี่ชีอันส่ายหน้าเบาๆ หวังว่าผู้ที่เข้าใจจิตใจคนอย่างฮว๋ายชิ่งจะเข้าใจความหมายของเขาที่ขอให้รามือบ้าง
ฮว๋ายชิ่งไม่เข้าใจเลยสักนิด นางยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง
“ฆ้องเงินสวี่ต่างหากที่อย่าได้เกรงใจ!”
พูดพลางก็เรียกนางข้าหลวงที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาเอ่ยสั่งหนึ่งประโยค
นางข้าหลวงรับคำแล้วถอยไป ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา
คนกลุ่มนี้สวมกระโปรงผ้าโปร่งบางๆ เย้ายวนมีเสน่ห์ยิ่งนัก…นางจิ้งจอก
มีนางจิ้งจอกทั้งหมดสิบแปดนาง ความงามแตกต่างกันหลายแบบ บ้างก็เย้ายวน บ้างก็ใสบริสุทธิ์ บ้างก็เย็นชา บ้างก็หยิ่งยโส อีกทั้งรูปลักษณ์หน้าตาก็ชั้นเลิศกันทั้งนั้น
โดยเฉพาะสตรีในชุดสีดำที่เดินนำมา ใบหน้ารูปผลแตง ดวงตาทรงเสน่ห์ยั่วยวนชวนหวั่นไหว แม้ว่าภายในห้องโถงจะมีหญิงงามมากมายแล้ว แต่นางก็ยังไม่ถูกรัศมีเหล่านั้นกลบไป
ฮว๋ายชิ่งยิ้ม
“อาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้รู้เรื่องพิธีสมรสของฆ้องเงินสวี่ จึงตั้งใจมอบหญิงงามชาวจิ้งจอกมาให้สิบแปดนางเพื่อแสดงความจริงใจ หวังว่าอาณาจักรหมื่นปีศาจและต้าฟ่งจะเป็นพันธมิตรกันอย่างยาวนาน และคอยดูแลช่วยเหลือกันและกัน”
เย่จีกล่าวเสียงหวาน
“สวี่หลาง บ่าวคิดถึงท่านยิ่งนักเจ้าค่ะ”
‘นี่มีชู้มาตั้งแต่ต้นแล้วหรือ?!’ แขกเหรื่อหลายโต๊ะต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด
สีหน้าของมู่หนานจือดำคล้ำ
ใบหน้างามของลั่วอวี้เหิงราวกับปกคลุมด้วยน้ำแข็ง
จงหลีเงยหน้าขึ้นแล้วมองพินิจดูเหล่านางจิ้งจอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หลี่เมี่ยวเจินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ซูซูขมวดคิ้วมุ่น
ฉู่ไฉ่เวยถือขาหมูพลางตาโตอ้าปากค้าง
สวี่หลิงเยวี่ยที่รักพี่ชายมาแต่ไหนแต่ไรก็เริ่มมีบรรยากาศอันตรายขึ้นมาแล้ว
แม้แต่อาสะใภ้และจีไป๋ฉิงก็รู้สึกว่าหลานชาย (ลูกชาย) เจ้าชู้เกินเลยไปหน่อย
สวี่หยวนไหวเหลือบมองพี่สาว คนความรู้สึกช้าอย่างเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าบรรยากาศผิดปกติ
หนานกงเชี่ยนโหรวเหลือบมองสวี่ชีอันอย่างตกตะลึง อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
‘ไปฟังเพลงที่หอคณิกาไม่ดีหรือ? คณิกาที่สำนักสังคีตไม่งามหรือ? ถึงต้องไปยั่วยุสตรีพวกนี้สุ่มสี่สุ่มห้า…หรือเพราะเจ้าบอกว่าตัวเองชอบหอคณิกา เลยจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหอคณิกาอย่างนั้นหรือ?’ ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างก็ร้อนใจแทนเพื่อน แต่จนใจที่ระดับยังอ่อนด้อย จึงทำได้เพียงแค่ดูเรื่องสนุกเท่านั้น
‘นางจิ้งจอกมากมายขนาดนี้ ข้ายังไม่เคยลองสร้างเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย…’ ซ่งชิงดวงตาสว่างไสว
‘แต่งสตรีคนเดียวดีกว่าเป็นไหนๆ…’ อารองสวี่เหลือบมองอาสะใภ้และแอบพูดเสริมอยู่ในใจ
‘ทั้งยังแต่งคนที่ทึ่มทื่อสักหน่อยถึงจะดี’
‘คืนนี้องค์หญิงหลินอันคงได้โมโหไฟลุกแน่…’ หวางซือมู่คิดถึงเพื่อนสนิทของตน
‘พี่ใหญ่ ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้แล้ว…’ สวี่เอ้อร์หลางก้มหน้าดื่มสุรา ไม่ยอมให้ตนเองยิ้มออกมาเด็ดขาด
‘สุภาพชนควรมีเสน่ห์แต่ไม่ควรเจ้าชู้ประตูดิน เดี๋ยวต้องใช้หนิงเยี่ยนเป็นตัวอย่างเพื่อเตือนบัณฑิตในสำนักศึกษาด้วย จากนั้นนำเอาไปใส่ในตำราเรียนเพื่อใช้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี…’ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ต่างลอบตัดสินใจเงียบๆ
เว่ยเยวียน จ้าวโส่ว นักบวชเต๋าจินเหลียน อาซูหลัว ฉู่หยวนเจิ่น และพวกเพื่อนร่วมงานทั้งหลายต่างยกจอกสุราดื่มกันคนละอึก
ดื่ม!
………………………………………………………….