ตอนที่ 760 ปีศาจโสมน้อย ‘ไม่เคยรอดพ้นจากเงื้อมมือสังหารของจอมโจรซีได้เลย’
หลังจากที่หลานซิ่งจากไป ฉินหลิวซีก็ถูกเว่ยเสียผลักเข้าไปรักษาตัวในห้องเต๋า เพราะว่าตั้งแต่ที่รู้จักกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าฉินหลิวซีหน้าซีดขาวขนาดนี้ ขาวยิ่งกว่าตอนที่เขาทาแป้งเสียอีก น่าเกลียดจริงๆ
ฉินหลิวซีกินผลหลิงกั่วไปสองผล โคจรมหาจักรวาลหนึ่งรอบ จากนั้นจึงได้จิบชาโสมที่ลูกศิษย์ชงให้ด้วยตัวเองอย่างสบายใจ ก่อนจะถอนหายใจ
มีคนดูแลนั้นดีทีเดียว!
เว่ยเสียเอ่ยว่า “จะไปหาเจ้านั่นจริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “ข้าเคยพูดโกหกด้วยหรือ เดิมทีเขาก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของอารามชิงผิงของพวกเรา หากไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็แล้วไป แต่เมื่อรู้แล้วก็ย่อมนั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่สนใจไม่ได้ หากข้าไม่จัดการ อาจารย์ก็จะจัดการเอง”
หากเทียบกับตัวเองแล้วชื่อเจินจื่อยิ่งเป็นความยึดติดของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนมากกว่า ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าสามารถจัดการคนทรยศผู้นี้จนต้องหนีหัวซุกหัวซุน แต่นั่นก็เป็นเมื่อก่อน ยามนี้หากทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ตาเฒ่าไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน
ประการแรกเป็นเพราะตบะของเขาถดถอย การต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อหลายปีก่อนทำให้เขาเสียหายไปถึงรากฐาน แม้ว่าฉินหลิวซีจะช่วยปรับสภาพให้เขามาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้
ประการที่สอง เขาเองก็อายุมากแล้ว
แต่ไพ่ตายของชื่อเจินจื่อนั้นคือกระดูกพุทธะหนึ่งชิ้น หากเป็นอย่างที่คาดเดาเอาไว้ แม้กระดูกพุทธะถูกซื่อหลัวเอากลับไป แต่ถ้าเขากลายเป็นลูกสมุนของอีกฝ่าย ก็คงจะได้รับพลังของซื่อหลัวหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น นางกับอาจารย์ก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนทรยศผู้นี้
ฉินหลิวซีไม่กล้าเดิมพัน
เว่ยเสียรู้จักกับนางมาได้ช่วงระยะหนึ่งแล้ว ย่อมรู้ว่าสิ่งที่นางตัดสินใจแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉินหลิวซีจึงพาศิษย์ทั้งสองกลับบ้าน ทันทีที่เข้าประตูด้านข้างมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากเรือนเล็กของตัวเอง
“เป็นอาจารย์อาน้อย”
เถิงเจาเองก็ตามไปด้วย
เมื่อเดินเข้าไปในประตูลาน เห็นฉินหมิงฉุนหัวเราะพลางหยิบน้ำตาลปั้นหนึ่งไม้ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้วั่งชวน แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้เถิงเจาอีกหนึ่งไม้
ส่วนปีศาจโสมน้อยก็นั่งอยู่บนไหล่เขา
เถิงเจา “…”
เขาอายุเกินที่จะกินขนมน้ำตาลแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำตาลปั้น
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นว่าเขาไม่รับ จึงแสร้งทำเป็นผู้ใหญ่แล้วเอ่ยว่า “เจาเจาไม่ต้องดีใจจนเกินไป ก็แค่น้ำตาลปั้นหนึ่งไม้เท่านั้น เป็นเงินไม่กี่ตำลึง แต่ว่าร้านนี้ปั้นมาอย่างดี ซ้ำยังสามารถเก็บไว้ได้ครึ่งเดือนก็ไม่ละลาย ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว สามารถเก็บไว้ได้นานอีกเล็กน้อย อีกอย่างในน้ำตาลมีกลิ่นดอกกุ้ยฮวา รสชาติก็พอใช้ได้”
วั่งชวนแกะห่อน้ำตาลปั้นแล้วเลีย นางยิ้มหวานไปถึงดวงตา
เถิงเจาก้มลงมองน้ำตาลปั้นในมือ จากนั้นก็มองฉินหมิงฉุนที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าเขา พูดไม่ออกเล็กน้อย
ฉินหลิวซียิ้มหน้าบานในใจ
“พี่หญิงใหญ่”
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นนางก็ดวงตาเป็นประกาย เขาเดินมาหา ยกมือขึ้นโค้งคำนับ
ปีศาจโสมน้อยไหลลงมาจากไหล่ของเขาแล้วกำลังจะหนีไป แต่ถูกมือของฉินหลิวซีคว้าเส้นใยรากเอาไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นผลโสมแดงหนึ่งผลก็หายไป
“…”
ตั้งแต่เป็นโสมมา ไม่เคยรอดพ้นจากเงื้อมมือสังหารของจอมโจรซีได้เลย!
ฉินหลิวซีเด็ดผลออกมา มองดูพลางเอ่ย “ดูเหมือนว่าปีนี้เจ้าได้ซึมซับแสงจันทร์ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ไปไม่น้อย แล้วก็ไม่ได้แอบขี้เกียจฝึกบำเพ็ญ ตบะเพิ่มขึ้นแล้ว
เดิมทีปีศาจโสมน้อยยังรู้สึกปวดใจกับผลโสมของตัวเอง แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ก็สะบัดใบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เอ่ยว่า “ในคืนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ มีพระจันทร์เต็มดวงซึ่งมีดาวเจ็ดดวงรายล้อมที่หาได้ยากยิ่งนัก แสงจันทร์ราวกับแสงเงินบริสุทธิ์และเข้มข้น ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นจึงเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของป่าวั่นไหวเพื่อดูดซับแสงจันทร์โดยเฉพาะ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถกลายร่างได้แล้ว”
“ยังไม่ถึงเวลา” ฉินหลิวซีส่ายหน้า “โอกาสยังมาไม่ถึง อย่าเร่งรีบที่จะแสวงหาความสำเร็จ”
ปีศาจโสมน้อยอุทานด้วยความหมดหวัง ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย ใบลู่ลง “ยังไม่ถึงอีกหรือ”
“หากเจ้าฝืนเลื่อนขั้นกลายร่างโดยที่โอกาสยังมาไม่ถึง ก็มีแต่จะพลาดโอกาสเท่านั้น ได้ไม่คุ้มเสีย การฝึกบำเพ็ญไม่ควรใจร้อน” ฉินหลิวซีแตะไปที่กลางลำตัวของมัน เอ่ยว่า “ยอมอดทนรออย่างมั่นคงดีกว่าไปเร่งรีบ มิเช่นนั้นหากสูญเสียตบะที่บำเพ็ญมาพันปี เจ้าจะได้ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา”
ปีศาจโสมน้อยเหี่ยวเฉา
ฉินหมิงฉุนดึงมันขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “โสมน้อยอย่าเศร้าไปเลย ฟังคำเอ่ยของพี่หญิงใหญ่ไม่ผิดแน่นอน ตอนนี้เจ้าสามารถพูดได้ ตั้งแต่หัวจรดหาง มีสิ่งใดบ้างที่ไม่เหมือนคน ท่านอาจารย์บอกว่าสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงก็คือการรักษารูปลักษณ์และธรรมชาติเดิมไว้”
คำพูดแต่ละคำก็มีความก้าวหน้าขึ้นแล้ว แต่ว่า…
“เจ้าบอกเรื่องปีศาจโสมน้อยกับอาจารย์เจ้าหรือ” ฉินหลิวซีหรี่ตา
ฉินหมิงฉุนรีบส่ายหน้า “ข้าเปล่านะ หากไปอุกอาจพูดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ หากเชื่อขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นศีรษะของตระกูลเราก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว จะพูดออกไปได้อย่างไร เรื่องในเรือนของท่านนี้ข้าไม่เคยพูดออกไปเลยแม้แต่คำเดียวขอรับ ปิดปากแน่นจะตายไป”
เมื่อฉินหลิวซีเห็นท่าทางร้อนใจของเขาก็ยกมุมปาก แม้ว่าฉินหมิงฉุนจะอายุยังน้อย แต่เขาก็เข้มงวดกับคำพูด ไม่ได้บอกกับคนนอกเรื่องปีศาจโสมน้อยและจิ้งจอก สิ่งนี้ทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย
แต่เพื่อความปลอดภัย ตอนนั้นนางได้แอบร่ายอาคมสกัดคำพูดใส่เขา ตราบใดที่พูดถึงเรื่องโสมและจิ้งจอกกลายเป็นปีศาจ เขาก็จะเป็นใบ้พูดไม่ออก
โชคดีที่เด็กคนนี้ปากหนัก ไม่เคยเปิดเผยอะไรเลย
ฉินหลิวซีหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา ถือโอกาสสั่งสอนว่า “รู้ถึงผลที่จะตามมาก็ดี เรื่องในตระกูลตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเอ่ยข้างนอก หากเอ่ยเรื่องดีๆ ออกไป คนอื่นก็จะอิจฉาริษยาเจ้า แอบใส่ร้ายลอบวางแผนทำร้ายเจ้าอย่างลับๆ คนเรามักจะอิจฉาผู้ที่ดีกว่าตัวเอง และดูหมิ่นผู้ที่ด้อยกว่าตัวเอง และเมื่อเอ่ยเรื่องไม่ดีออกไป แม้ว่าต่อหน้าพวกเขาจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่จะมีคนจำนวนมากแอบหัวเราะเยาะเจ้า ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ย เจ้าปากหนักเป็นเรื่องดี สามารถแสดงให้เห็นถึงนิสัยของเจ้า เมื่อเป็นเพื่อนกับเจ้า รู้ว่าเจ้าเก็บความลับ ก็จะวางใจบอกความลับแก่เจ้า ดังนั้นตั๋วเงินนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัล เก็บไว้เป็นเงินส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง”
ฉินหมิงฉุนถูกนางเอ่ยชมจนยืดอกน้อยๆ ด้วยความภาคภูมิใจ เนื้อตัวแดงก่ำ ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
พี่หญิงใหญ่ชมเขาแล้ว ไม่เพียงแต่ชม ซ้ำยังมีตั๋วเงินเป็นรางวัล เขารับมาดูก็เบิกตาโต ยิ้มเหมือนเด็กโง่ “จะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านให้เยอะเกินไปแล้ว”
“ไม่เอาก็คืนให้ข้า”
ฉินหมิงฉุนรีบยัดใส่ในกระเป๋าทันที โค้งคำนับ “เสี่ยวอู่ขอบคุณพี่หญิงใหญ่สำหรับรางวัลขอรับ”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ ถามอีกว่า “ไม่ได้มีเทศกาลวันหยุดอะไร เหตุใดเจ้าจึงกลับมา สำนักศึกษาหยุดพักผ่อนหรือ”
ฉินหมิงฉุนยังนึกถึงเรื่องที่ตัวเองรับปากไว้ ก่อนจะเอ่ยตอบ “เป็นวันหยุดขอรับ แต่ก็มีอีกหนึ่งเรื่อง อยากจะขอให้พี่หญิงใหญ่ช่วยขอรับ”
“อ้อ เรื่องอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีค่อนข้างสงสัยเล็กน้อย น้องชายผู้นี้ แม้ว่าในวันปกติจะไม่ค่อยได้เจอ แต่ก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากนาง
ฉินหมิงฉุนเอ่ย “เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ข้าสนิทด้วยผู้หนึ่ง มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในเรือน ข้าอยากจะขอให้พี่หญิงใหญ่ช่วยดูว่าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่ขอรับ”
“ในเมื่อเป็นสหายสนิทของเจ้า ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปดูกับเจ้า”
ใบหน้าของฉินหมิงฉุนเต็มไปด้วยความดีใจ เอ่ย “ข้าจะให้คนส่งจดหมายไปหาเขาเดี๋ยวนี้”
ฉีหวงเดินเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่าพวกเขาพากันยืนคุยกันอยู่ที่ลาน จึงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เห็นท่านส่งจดหมายมาบอกว่าจะกลับมาถึงจวนเมื่อวานนี้ เหตุใดจึงได้ช้าไปหนึ่งวันเจ้าคะ”
“มีเรื่องเล็กน้อยทำให้ล่าช้า” ฉินหลิวซีมองดูของที่นางถืออยู่ในมือ เอ่ยถาม “มาจากเรือนหลักหรือ”
ฉีหวงเอ่ยตอบ “ในจวนให้คนทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ นายหญิงใหญ่ให้ข้าไปนำกลับมา จริงสิ ท่านไปดูนายหญิงผู้เฒ่าสักหน่อยเถิด บ่าวเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยปกตินักเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว