ตอนที่ 761 ปากร้ายไม่มีคำพูดน่าฟัง
ช่วงนี้นายหญิงฉินผู้เฒ่าจิตใจเบิกบานเพราะเรื่องข่าวดี เนื่องจากฉินเหมยเหนียงได้ส่งจดหมายมาบอกถึงข่าวในเมืองหลวง ตาเฒ่าอาจจะสามารถกลับมาจากสถานที่ที่มีแต่ฝุ่นควันอย่างซีเป่ยได้
ไม่เพียงแต่นาง ทุกคนในตระกูลฉินล้วนดีใจเป็นอย่างมาก นี่หมายความว่าพวกเขาจะสามารถกลับไปสู่วันที่ถูกล้อมรอบไปด้วยบริวารคนรับใช้ และกลับสู่เขตเมืองหลวงได้หรือไม่
ดังนั้นฉินหลิวซีจึงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังมาแต่ไกลจากเรือนของนายหญิงผู้เฒ่า
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เสียงหัวเราะพลันเงียบลง
“ตายจริง คนงานยุ่งของพวกเรากลับมาแล้ว” สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีคำนับนายหญิงผู้เฒ่า สะใภ้เซี่ย และสะใภ้กู้ เอ่ย “พึ่งมาถึงวันนี้”
ฉินหมิงเย่ว์และเด็กคนอื่นๆ คำนับฉินหลิวซี เอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่หญิงใหญ่ เกรงว่าพวกเราจะต้องกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ?”
“ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าส่งจดหมายมา บางทีท่านปู่ของเจ้าอาจจะกลับมาได้แล้ว” สะใภ้หวังเดินเข้ามาจากข้างนอก เอ่ยต่อบทสนทนาของฉินหมิงเย่ว์อย่างมีความสุข
ฉินหลิวซี “อ้อ” อย่างไม่ได้มีอารมณ์อะไรมากนัก ราวกับว่าไม่ได้แยแสเรื่องนี้
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ความดีใจบนใบหน้าของทุกคนก็จางลง นายหญิงผู้เฒ่าก็หุบยิ้มเช่นกัน
สะใภ้เซี่ยจึงเอ่ย “ข่าวดีเช่นนี้ นางหนูซีไม่ดีใจหรือ”
“คนกลับมาก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างมาก แต่นี่เพียงแค่เริ่มต้น หนทางยังอีกยาวไกล” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ
นายหญิงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว
สะใภ้เซี่ยถูจมูก “นี่เป็นข่าวดีที่หาได้ยากในช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ไยจึงต้องพูดคำพูดที่น่าหดหู่เช่นนี้” ทันใดนั้นนางก็นึกถึงความสามารถของหลานสาวผู้นี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามว่า “นางหนูซี หรือว่าเจ้าทำนายแล้วว่าเรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลง”
ทุกคนต่างใจจดใจจ่อ สายตาจ้องมองไปที่นาง คงไม่หรอกกระมัง
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแต่เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “ความคิดของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุด”
ใช่แล้ว การพูดเช่นนี้เท่ากับว่าไม่ได้พูด
นางเฉยชาเพียงนี้ หัวใจที่ร้อนรุ่มของทุกคนพลันเย็นลงในทันที ไม่ดีใจเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว
หากเป็นเมื่อก่อน ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ จะต้องจิกกัดอย่างแน่นอน จะพูดขึ้นมาซักสองสามประโยคเพื่อให้รู้ถึงการมีอยู่ แต่หลังจากที่ได้เห็นฉินหลิวซีทำพิธีใหญ่ในอารามชิงผิง พวกนางจึงไม่พูดอะไรสักคำอย่างรู้ความ
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าพวกนางเชื่อฟังขนาดนี้ ก็เลิกคิ้ว จากนั้นก็มองไปยังนายหญิงฉินผู้เฒ่าอย่างละเอียด
ฉีหวงบอกว่านางสีหน้าไม่ปกติ มีเพียงคนที่รู้แพทย์แผนจีนอยู่บ้างเท่านั้นจึงจะมองออก
นายหญิงผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ สีหน้าแดงระเรื่อ ไหนเลยจะมองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่สีแดงระเรื่อนั้นกลับเป็นสีแดงที่ค่อนข้างผิดปกติ เป็นอาการแก้มแดงที่เกิดจากความตื่นเต้นหลังดีใจเป็นอย่างมาก แต่ริมฝีปากกลับมีสีม่วงคล้ำเล็กน้อย หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามือของนางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เป็นครั้งคราว
ด้วยเหตุนี้ หมอคนไหนกล้าบอกว่านายหญิงผู้เฒ่าร่างกายแข็งแรง คนที่กล้าพูดล้วนเป็นหมอเถื่อน
ซ้ำนายหญิงผู้เฒ่ายังเคยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง ตอนนี้รักษาดีขึ้นแล้วแต่ก็ไม่ได้หายขาด อย่างไรเสียรากฐานก็ยังอ่อนแออยู่ ร่างกายเช่นนี้ สิ่งที่ห้ามที่สุดคืออย่าดีใจหรือเสียใจมากเกินไป หากไม่ระวังก็ง่ายที่จะพุ่งสูงแล้วลงมาไม่ได้
สะใภ้หวังเป็นผู้ดูแลเรือนที่รู้จักสังเกตสีหน้าและท่าทีสงบนิ่ง เมื่อเห็นฉินหลิวซีมองสำรวจนายหญิงผู้เฒ่านิ่งๆ ก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่สบายใจเล็กน้อย
คงไม่ได้เป็นเพราะนายหญิงผู้เฒ่ามีบางอย่างผิดปกติหรอกกระมัง
“คราวนี้ซีเอ๋อร์ออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน ไม่ได้จับชีพจรให้กับท่านแม่นานแล้ว ไม่สู้ให้นางจับชีพจรให้ท่าน แล้วพวกเราค่อยไปกินอาหารเย็นด้วยกัน” สะใภ้หวังเอ่ยพลางมองนายหญิงผู้เฒ่า
จิตใต้สำนึกของนายหญิงผู้เฒ่าไม่อยากจับชีพจร กลัวจะได้ยินสิ่งที่ไม่น่าฟัง แต่ฉินหลิวซีเดินมาถึงแล้ว สองนิ้ววางลงบนข้อมือ
ครั้งนี้ฉินหลิวซีจับชีพจรค่อนข้างละเอียด ใช้เวลานานกว่าเดิม มือทั้งสองข้างจับชีพจรทั้งคู่ ทั้งยังดูสีลิ้น ดูเล็บมือ ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“ข้าเคยบอกแล้วว่าร่างกายนายหญิงผู้เฒ่าเคยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง ห้ามคิดมาก แล้วก็ห้ามดีใจหรือเสียใจมากเกินไป ดูเหมือนว่าท่านจะทำไม่ได้” ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกผิดเล็กน้อย ริมฝีปากที่มีรอยเหี่ยวย่นขยับเบาๆ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
นางก็พูดได้เพราะไม่ได้เจอกับตัวเอง มีนายหญิงผู้เฒ่าคนไหนบ้างที่เมื่ออายุเยอะแล้ว เท้าก้าวเข้าไปในโลงศพแล้วหนึ่งข้าง พึ่งจะเริ่มประสบกับความโชคร้าย สามีและลูกหลานที่เป็นบุรุษล้วนถูกเนรเทศไปนอนกลางดินกินกลางทราย แล้วจะให้นางปล่อยวางได้อย่างไร ทำใจได้อย่างไร วางใจได้อย่างไร
เมื่อเข็มแทงเข้าเนื้อจึงจะรู้สึกเจ็บ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ ไม่ควรกังวล แต่นางก็ทำไม่ได้ บุรุษในจวนไม่ได้กลับมาหนึ่งวัน นางก็วางใจไม่ได้หนึ่งวัน
“ช่วงนี้มีอาการใจสั่นหรือแน่นหน้าอกเป็นครั้งคราวหรือไม่”
เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ใจเต้นรัว กุมหน้าอกในทันที
หลายวันมานี้นางมีอาการแน่นหน้าอกและใจสั่นเป็นครั้งคราวจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากนอนในตอนกลางคืนก็จะตกใจตื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย
สะใภ้หวังตกใจ ถามติงหมัวหมัวว่า “ท่านแม่มีอาการใจสั่น เหตุใดหมัวหมัวไม่บอก”
“เป็นข้าที่ไม่ให้บอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “เจ้าต้องยุ่งอยู่กับกิจการร้านค้า ในเรือนก็เป็นเช่นนี้ ดื่มน้ำสักหน่อยก็ดีขึ้น ข้าก็เลยไม่ให้บอก”
“ท่านแม่ อาการใจสั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ท่านปิดบังได้อย่างไร” สะใภ้หวังกังวลเล็กน้อย
นายหญิงผู้เฒ่าดื้อรั้นขึ้นมา “ตื่นตระหนกทำไม ไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก หากตายขึ้นมาจริงๆ พวกเจ้าก็แค่ฝัง”
“ท่านแม่”
“ท่านย่า”
ทุกคนตื่นตระหนก
ฉินหลิวซีได้เอ่ยขึ้นมาในเวลานี้ว่า “เช่นนี้หมายความว่าท่านไม่อยากเห็นวันที่ท่านปู่และคนอื่นๆ กลับมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่เขียนใบสั่งยาแล้ว”
นายหญิงผู้เฒ่าสำลัก โมโหเป็นอย่างมาก นางรู้ดีอยู่แล้วว่าหลานสาวผู้นี้ปากร้าย มีแต่คำพูดที่ไม่น่าฟังออกมา
สะใภ้หวังดุ “ซีเอ๋อร์ ท่านย่าของเจ้ามีอารมณ์เป็นเด็ก เจ้าหยอกล้อนางเล่น แต่จะทำเช่นนั้นไม่ได้ ควรเขียนใบสั่งยาก็เขียน”
ฉินหลิวซีลดสายตาลง “คนไข้ไม่ให้ความร่วมมือ ดื่มยามากแค่ไหนก็ไม่ได้ผล ซ้ำยังขม แล้วจะทำไปทำไม”
นายหญิงผู้เฒ่าสบถ หันหน้าหนีไม่เอ่ยอะไร โกรธแล้ว
ทุกคนไม่กล้าเอ่ยปาก
สะใภ้กู้สะกิดฉินหมิงเป่าอย่างเงียบๆ คนถูกสะกิดวิ่งไปตรงหน้าฉินหลิวซีอย่างรู้ความ ดึงมือนางพลางเอ่ยว่า “พี่หญิงใหญ่ ข้าจะให้ความร่วมมือเจ้าค่ะ ท่านให้ลูกกวาดหวานๆ แก่ข้าสักหน่อยเถิด ลูกกวาดน้ำผึ้งสาลี่หิมะป้อเหอ[1]ชุ่มคอเป็นอย่างมาก ข้าอยากกินอีกเจ้าค่ะ”
ไหนเลยฉินหลิวซีจะไม่เห็นความตั้งใจของนาง เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปเถิด ไปเอาที่เรือนของพี่หญิงใหญ่”
นางจับมือฉินหมิงเป่า เอ่ยลาแล้วจากไป สะใภ้หวังจึงเอ่ย “ข้าจะไปดูว่าอาหารเย็นพร้อมแล้วหรือไม่”
เมื่อสะใภ้กู้เห็นว่าพวกนางไปกันหมดแล้ว จึงเอ่ยกับนายหญิงผู้เฒ่าว่า “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์เป็นคนปากร้ายใจดี ท่านอย่าโทษนางเลย นางก็เพียงร้อนใจที่ท่านไม่หวงแหนร่างกายของตัวเอง ตอนนี้มีข่าวดีจากเมืองหลวง ท่านก็ควรจะวางใจได้แล้ว ดูแลร่างกาย รอครอบครัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง”
นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ย “ในใจข้ารู้ดี เจ้าตั้งใจอบรมเลี้ยงดูผิงอันสองพี่น้องก็พอแล้ว”
สะใภ้กู้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ตรงทางเดิน สะใภ้หวังตามฉินหลิวซีมา จะดีจะร้ายก็ต้องเอ่ย “ท่านย่าของเจ้าก็อารมณ์เช่นนี้ ควรเขียนใบสั่งยาอย่างไรก็เขียน จะเมินเฉยไม่ได้”
“เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีก็แค่เอ่ยไปอย่างนั้น นางเขียนใบสั่งยา แต่จะดีขึ้นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของนายหญิงผู้เฒ่าเอง ยังคงยืนยันคำเดิมว่าทุกคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง
สะใภ้หวังกัดฟัน ถามเสียงเบาว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้าบอกมาตามตรง ท่านย่าของเจ้าจะรอถึงวันที่ครอบครัวกลับมารวมตัวกันได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ตราบใดที่ไม่ทำสิ่งที่ห้าม ก็จะอยู่ถึง”
หมายความว่าหากนางทำเท่ากับรนหาที่ตาย!
[1] ป้อเหอ ใบมิ้นต์