บทที่ 306 อะไรนะ เจ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ!?
หลิงเยว่ไล่ตามอี้เหิงออกไปอย่างรวดเร็ว แต่นางเพิ่งอยู่ขอบเขตปฐมวิญญาณขั้นต้น ความเร็วจะเทียบกับขอบเขตบำเพ็ญเต๋าขั้นต้นอย่างอี้เหิงได้อย่างไร?
เมื่อเท้าหน้าออกไป เท้าหลังก็ไร้เงาเสียแล้ว!
“รองเจ้าเมืองอี้อยู่ที่ใด?” หลิงเยว่รีบคว้าคนแปลกหน้ามาสอบถาม คำตอบที่ได้รับคือ พวกเขาได้นำพาผู้คนออกจากเมืองไปยังทะเลทรายต้องห้ามแล้ว
“???”
ความเร็วของนางไม่น่าช้าถึงเพียงนี้
แต่ความจริงก็ฟ้องหลิงเยว่ว่า ความเร็วของนางช่างเชื่องช้าจนกองกำลังอีกกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองไปแล้ว นางจึงได้สติกลับมา
อวี้เจินถือชามใบหนึ่งในมือ พลางมองดูขบวนทหารชุดแดงจัดระเบียบผู้คนออกจากเมืองด้วยสีหน้าสับสน
จะบอกพวกเขาได้อย่างไรว่า แท้จริงแล้วสิ่งนั้นคือเปลวไฟสีม่วงพิสดารและเป็นสิ่งที่ดอกบัวเพลิงต้องการ หากพวกเขาไปไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับสมบัติใด ๆ กลับต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า!
“ศิษย์น้องหญิง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” ติงหลิวหลิ่วร้อนใจยิ่งนัก
“จะทำเช่นไรได้ นอกจากติดตามไปพร้อมกับแจ้งข่าว”
ท้องฟ้าในแดนเหนือกลายเป็นสีม่วง ฝุ่นทรายพัดปลิวตามกระแสลม ผู้บำเพ็ญที่ระดับการบำเพ็ญต่ำไม่อาจต้านทานกระแสลมนั้นได้
ต้นไม้ใหญ่ไหวเอนตามแรงลม บางต้นถูกถอนรากถอนโคนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากขี่ยานบินผ่านเมืองฮั่วหยาง มุ่งหน้าไปยังทะเลทรายต้องห้าม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาหาได้หวั่นเกรงต่อพายุที่โหมกระหน่ำ
“หากข้ามิได้เพิ่งออกมาจากที่นั่น ข้าคงคิดว่ามีสมบัติล้ำค่าหรือมิติลับปรากฏขึ้นเช่นกัน” ลู่เป่ยเหยียนส่ายหน้า พลางคีบเนื้อจุ่มน้ำจิ้มเข้าปาก
ว่านอวี้เฟิงส่ายหน้า
“เปลวเพลิงสีม่วงมิใช่สมบัติล้ำค่าหรือ? ทั้งยังมีดอกบัวเพลิงอีก…”
ดังนั้นทุกครั้งที่ท้องฟ้ามีปรากฏการณ์แปลกประหลาด มักมีมิติลับหรือสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้น มิเคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว!
เปลวเพลิงสีม่วงคือสิ่งที่นักกลั่นโอสถปรารถนา นักหลอมศาสตราวุธและผู้บำเพ็ญแก่นปราณอัคคีทุกคนต้องการ
ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนนี้ นานแสนนานแล้วที่ไม่มีเปลวเพลิงพิสดารไร้เจ้าของปรากฏขึ้น เพราะบรรดาผู้ใช้แก่นปราณอัคคีล้วนแต่ได้มาจากการสืบทอดทั้งสิ้น แม้กระทั่งเปลวเพลิงของชิงยวนยังตกทอดมาจากผู้นำคนก่อนของยอดเขาโอสถ
ในโลกผู้บำเพ็ญเซียน พวกข้ารู้ดีว่าผู้ครอบครองเปลวเพลิงพิสดารนั้นนับจำนวนได้ด้วยสิบนิ้วมือ และแน่นอนว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น!
จะเห็นได้ว่าเปลวเพลิงพิสดารนั้นล้ำค่าเพียงใด!
คำพูดของว่านอวี้เฟิงทำให้หลิงเยว่เข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เปลวเพลิงม่วงพิสดารและดอกบัวเพลิง ไหนเลยจะไม่ถูกนับเป็นของวิเศษล้ำค่าได้เล่า?
เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พอที่จะทำให้โลกผู้บำเพ็ญเซียนนี้แย่งชิงกันหัวร้างข้างแตก!
“แม้แต่คนของพุทธวิหารก็มา…” โม่จวินเจ๋อมองหลิงเยว่แวบหนึ่ง โดยไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด พวกเขารู้ดีว่าเป้าหมายของคนเหล่านั้นคือดอกบัวเพลิงอย่างแน่นอน!
“พวกเขารู้ได้อย่างไร?!” หลิงเยว่รู้สึกชาไปทั้งหน้า เรื่องนี้ช่างใหญ่โตนัก
“ดอกบัวเพลิงสัมผัสได้กระมัง?”
หลงหว่านโหรวขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปถาม “ศิษย์น้องหลิง ดอกบัวเพลิงนั้นมีเจ้าของแล้วหรือยัง?”
“มีแล้ว…”
หลังจากนั้นหลิงเยว่จึงบอกกล่าวเรื่องที่นางให้เลือดบริสุทธิ์ของตนเองแก่มัน
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นระบบบอกให้นางให้อาหารดอกบัวเพลิงด้วยเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้นางไม่เคยให้เลือดบริสุทธิ์ของตนเองแก่เมล็ดพืชมาก่อน เห็นทีระบบคงจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้แต่แรกแล้ว…
หลิงเยว่ไม่เคยคาดคิดว่าการต่อสู้ระหว่างดอกบัวเพลิงและเปลวเพลิงม่วงพิสดารจะวุ่นวายถึงเพียงนี้ นางคงประเมินพลังของพวกมันต่ำเกินไป
“ถึงแม้ว่าจะยอมรับเป็นเจ้าของแล้ว แต่หากมีผู้ต้องการก็ยังวิธีลบได้” ผู่ตานส่ายหัวและถอนหายใจ
“แจ้งทางสำนักเถอะ”
หลงหว่านโหรวจึงหยิบศิลาสื่อสารออกมา แล้วบอกข่าวเกี่ยวกับการปรากฏของเปลวเพลิงพิสดารที่ดินแดนทางตอนเหนือและการเกิดขึ้นของดอกบัวเพลิงแก่ชิงยวนที่อยู่ในดินแดนตะวันตก
“อะไรนะ เจ้าพูดอีกครั้งซิ?”
ผู้อาวุโสมู่ที่กำลังเฝ้าระวังม่านพลังสังหารสิบแปดชั้นก็เข้ามาแย่งศิลาสื่อสารไป แต่ชิงยวนกำศิลาสื่อสารไว้แน่น แล้วเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
หลงหว่านโหรวข่มเสียงตนเองไว้ ทำสีหน้าจริงจังและกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า “เรื่องหมอกแดงนั้นมิทราบได้ยินมาจากที่ใด รู้ว่าในทะเลทรายต้องห้ามมีเปลวเพลิงพิสดาร เมื่อต่อสู้แย่งชิงกับเปลวเพลิงพิสดาร บังเอิญถูก…”
“มิใช่ ข้าให้เจ้าทวนคำพูดสุดท้าย”
“ดอกบัวเพลิงยอมรับหลิงเยว่เป็นเจ้าของแล้ว” หลงหว่านโหรวทวนคำพูดสุดท้าย
เสียงหัวเราะของผู้อาวุโสรวมถึงชิงยวนเล็ดลอดออกมาจากศิลาสื่อสาร เลือนรางนักที่อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนจะได้ยินเสียงหัวเราะของเหล่าอาจารย์
“ดี! บอกหลิงเยว่ว่าไม่ต้องกังวล แล้วให้รออยู่ที่นั่น เดี๋ยวท่านอาจารย์จะรีบพาลูกศิษย์ไปคุ้มครองดอกบัวเพลิงเดี๋ยวนี้!”
ดอกบัวเพลิงอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น รับใช้แต่ผู้ฝึกวิถีพุทธ แต่มันกลับยอมรับหลิงเยว่เป็นเจ้าของ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่แห่ง สำนักหลานเทียนไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะได้
อยากรู้นักว่า พวกผู้ฝึกวิถีพุทธจะทำสีหน้าเช่นไรเมื่อรู้ว่าดอกบัวเพลิงมีเจ้าของแล้ว
เหล่าผู้อาวุโสปล่อยคนกลุ่มหนึ่งไปอย่างโล่งใจ ในตอนนี้ม่านพลังสังหารยังเป็นปกติดี หากพวกเขาไม่อยู่… คงจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร
“ไปแล้วรีบกลับ!”
ชิงหยวนและสยงฉีเลวี่ยรับคำบัญชาแล้ว จึงพาเหล่าผู้อาวุโสฉีกมิติจากไป
บัดนี้สนามรบโบราณเฉียนซีไร้ผู้คน สมควรใช้คำว่าร้างผู้คนยิ่งนัก นับแต่เริ่มกางม่านพลังสังหารสิบแปดชั้น ทุกสิ่งล้วนสาบสูญ บรรดาผู้บำเพ็ญต่างหลบหนีไปจนหมดสิ้น บัดนี้นอกจากปรมาจารย์ด้านการวางแผนผังและเหล่าปรมาจารย์ที่มีระดับการบำเพ็ญขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ ก็ไม่มีผู้ใดแล้ว
ทว่าบริเวณอาหารวิญญาณพิเศษกลับยังคลาคล่ำไปด้วยนักชิม
“อันใดกัน ดินแดนทางตอนเหนือมีเปลวเพลิงพิสดารปรากฏหรือ?” เหล่าศิษย์สำนักกลั่นโอสถต่างละทิ้งหม้อไห หวังให้ท่านอาจารย์ใหญ่พาพวกตนไปยังดินแดนทางตอนเหนือด้วย
แม้รู้ดีว่าเปลวเพลิงพิสดารนั้นคงมิใช่ของพวกตน ทว่าแค่ได้ยลโฉม เพิ่มพูนประสบการณ์ก็ถือว่ามิเสียทีที่ได้มาเยือน!
“มิต้องไปหรอก มันเป็นเปลวเพลิงสีม่วง”
อาจารย์ใหญ่ตอบอย่างสุขุม ทำเอาเซี่ยซิ่นรุ่ยผู้นำกลุ่มถึงกับพูดไม่ออก
“ยังไม่เห็นภาพอีกหรือ?”
กล่าวจบ อาจารย์ใหญ่ก็หยิบหินบันทึกภาพที่เพิ่งได้มา ในนั้นพลันปรากฏเป็นฉากท้องฟ้าสีม่วงในทะเลลับ
เหล่าศิษย์ต่างจ้องมองอาจารย์ใหญ่อย่างตัดพ้อ
“เจ้ามานี่”
จื่อเฉาอวี่ชี้ไปที่ตนเอง พอได้รับการพยักหน้าจากอีกฝ่าย จึงเดินเข้าไปหาเขาอย่างไม่เต็มใจนัก
“หากพวกเจ้าต้องการดูจริง ๆ รออาจารย์ของพวกเจ้ากลับมาก่อน แล้วพวกเจ้าจะได้ดูจนพอใจ”
ประโยคนี้มีข้อมูลมากเกินไป ทำให้จื่อเฉาอวี่ตาเบิกกว้าง อาจารย์ของพวกเขา… คืออาจารย์หลิงหรือ?
อาจารย์หลิงเป็นแค่ผู้บำเพ็ญขอบเขตปฐมวิญญาณ แล้วนางทำอย่างไรถึงไปแย่งชิงเปลวเพลิงพิสดารจากมือของผู้แข็งแกร่งหลายคนได้?
ท่านอาจารย์ใหญ่เดินออกไปอย่างสบายใจ แต่พอหันหลังจิตใจก็ห่อเหี่ยว แม้แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นเปลวเพลิงพิสดารเลย เมื่อหลิงเยว่กลับมา เขาจะต้องดูสักสามวันสามคืน เอาให้จุใจไปเลย!
ไม่ใช่เพียงท่านอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่เศร้า แต่ยังมีอดีตอาจารย์ใหญ่ผู้ที่เป็นนักกลั่นโอสถอาวุโสขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์อีกคน ความรู้สึกของเขานั้นช่างซับซ้อน แต่ยังรู้สึกภูมิใจแทนหลิงเยว่ด้วยเช่นกัน
นี่คงเป็นโชคชะตาของหลิงเยว่!
หลิงเยว่สังเกตเห็นสายตาอิจฉาของศิษย์พี่และศิษย์น้อง ดูเหมือนนางจะมีเปลวเพลิงพิสดารเป็นของตนเองแล้ว แน่นอนว่าถ้าดอกบัวเพลิงมีพลังมากพอ การกลืนกินเปลวเพลิงพิสดารนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลา
“พวกเจ้าต้องการเปลวเพลิงพิสดารเช่นกันหรือ?”
“ศิษย์น้องผู้นี้ เจ้าถามคำที่ไม่เข้าท่ากระมัง?” ฉีซิวซีผู้บำเพ็ญที่ไร้ซึ่งแก่นปราณเพลิงยังอดอิจฉาไม่ได้
“ศิษย์น้อง นอกจากดินแดนทางตอนเหนือที่มีเพลิงพิสดารแล้ว เจ้าอย่าบอกนะว่ายังรู้ที่ซ่อนของเพลิงพิสดารแห่งอื่นอีก?” ติงหลิวหลิ่วเอื้อมไปคว้ามือของหลิงเยว่ไว้มั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา จนหลิงเยว่รู้สึกผิด
“รู้สิ หากหาให้พวกท่านแต่ละคนยังพอไหว”
ครานี้ พวกผู่ตานต่างตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ
คนละหนึ่ง?
อย่าบอกนะว่านางกำลังโอ้อวดอยู่!?
โม่จวินเจ๋อมองหลิงเยว่ด้วยสายตาเคลือบแคลง แต่พอคิดถึงฐานะผู้สืบทอดของนาง บางทีอาจเป็นมรดกจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่บอกนางมาก็เป็นได้?