ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 365 จวนชิง-3

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 365 จวนชิง-3

“คารวะท่านอาเหวินเจ้าค่ะ!”

แม้ชิงเสวี่ยชิงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังตามมารดามาต้อนรับแขก

นางก็ยังรู้จักมารยาทเหล่านี้

ไม่อาจขายหน้าจวนชิงได้

นางเลี่ยงเหวินฉีเหวินเล็กน้อย เพราะครั้งก่อนที่นางเต้นรำในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด เหวินฉีเหวินก็อยู่ด้วย

ครั้นร่ายรำจนจบบทเพลง เหวินฉีเหวินใจเต้นจนควบคุมตนเองได้ยาก จับมือชิงเสวี่ยชิงแน่นพร้อมกับมองนัยน์ตานาง

คราวนี้ทำเอาชิงเสวี่ยชิงรู้สึกตกใจ

ไม่สนใจกระทั่งลืมหยิบผ้าคลุมไหล่ ผละสองมือออกและรีบหันหลังวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว

นับแต่นั้นไม่ไปเต้นรำในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดอีกจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว

เหวินฉีเหวินไม่ใช่บุรุษเจ้าชู้สำราญ

ศิลปะสี่แขนง อาวุธสี่แขนงล้วนแต่สมบูรณ์แบบ

ทั้งยังเป็นคนหนุ่มสาวมีพรสวรรค์เป็นอันดับต้นๆ ในรัฐหงอีกด้วย

แม้แต่ตอนที่เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยามาตรวจสอบที่รัฐหง พบกับชายหนุ่มที่กล้าหาญเช่นเหวินฉีเหวิน ทั้งเคยเอ่ยปากยกย่อง และเคยมอบดาบอันล้ำค่าให้เขาด้วย

“ไม่พบกันหลายวัน เสวี่ยชิงงดงามขึ้นยิ่งนัก!”

ผู้ควบคุมรัฐหงเหวินทิงไป๋กล่าว

“งดงามอย่างเดียวจะมีประโยชน์อันใด ต่างเป็นเพียงดอกไม้ประดับเท่านั้น…”

นางเสี่ยวจงกล่าวพลางหัวเราะ

ผู้อื่นชมบุตรสาวของนาง ในใจนางรู้สึกปลื้มปริ่มยิ่งนัก

แต่ความงามของสตรีสามารถคงอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น

ยี่สิบปีให้หลังต้องพูดกันด้วยความสามารถแท้จริง

รูปลักษณ์ภายนอกของชิงเสวี่ยชิงน่าประทับใจอย่างยิ่งจริงๆ

แต่หากระดับพลังวิถียุทธ์ไม่สอดคล้องกัน เกรงว่าหลังจากแต่งเข้าจวนผู้ควบคุมรัฐแล้วจะถูกคนไล่ตะเพิดออกมาในตอนหลัง

“น้องชิง ผ้าคลุมไหล่ของเจ้าหล่นที่ทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดคราวก่อน ข้าเก็บมันไว้ให้เจ้าแล้ว คิดว่าวันต่อมาค่อยคืนให้เจ้า แต่ปรากฏว่าข้าไปที่นั่นสามวันติดก็ไม่พบเจ้า”

เหวินฉีเหวินกล่าวและนำผ้าคลุมไหล่ของชิงเสวี่ยชิงคืนให้นาง

ทันทีที่ชิงเสวี่ยชิงเห็นผ้าคลุมไหล่นี้ นางพลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

สองแก้มพลันแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

“ช่วงนี้ข้าให้นางฝึกดาบในจวนจึงไม่ได้ออกไปข้างนอก”

นางเสี่ยวจงไม่รู้เหตุการณ์ในวันนั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางของบุตรสาวจึงรู้ว่าอาจมีสิ่งใดเข้าใจผิดไปบ้าง จึงเอ่ยปากช่วยอธิบาย

“เสวี่ยชิงมีศักยภาพเสียจริง! คิดไม่ถึงว่าอายุเท่านี้จะสามารถฝึกฝนได้อย่างสงบนิ่งเช่นนี้ เหวินเอ๋อร์ หากเจ้าพยายามเท่าน้องชิงของเจ้าครึ่งหนึ่ง ข้าคงจะเบาใจแล้ว!”

เหวินทิงไป๋กล่าว

“หลักๆ เพราะท่านป้าจงสอนได้ดี! ข้าเรียนรู้ด้วยตนเองมาแต่เล็ก ไหนเลยจะเทียบกับน้องชิงได้เล่า!”

เหวินฉีเหวินกล่าว

มารดาของเขาจากไปเร็วนัก

ทว่าเหวินทิงไป๋ก็เป็นเหมือนชิงหรานสหายของเขาเช่นกัน ต่างเป็นผู้ที่รักใคร่อย่างสุดซึ้ง

หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยแต่งงานใหม่

ดำรงตำแหน่งผู้ควบคุมรัฐก็เอาแต่ยุ่งกับงานราชงานหลวง

ไม่ได้ใช้เวลากับบุตรชายของตนยามที่เขากำลังเติบโต

ช่วงวัยเยาว์นั้นเหวินฉีเหวินมักจะถ่อมาร่วมทานอาหารที่จวนชิงเสมอ

แต่สิ่งที่พลาดไปในปีนั้นไม่อาจชดเชยมันได้อีก

ทำได้เพียงพยายามคว้าปัจจุบันอย่างเต็มที่และปูทางสู่ภายภาคหน้าให้

“นี่เริ่มจะค่อนขอดพ่อที่ไม่ได้เรื่องเช่นข้าผู้นี้เสียแล้ว!”

เหวินทิงไป๋ชี้บุตรชายแล้วพูดถากถางตนเอง

“เหวินเอ๋อร์ ท่านพ่อเจ้าก็ลำบากทีเดียว! คนผู้หนึ่งเป็นทั้งบิดาทั้งมารดา ทั้งยังจัดการรัฐหงที่ใหญ่โตเพียงนี้อีกต่างหาก”

นางเสี่ยวจงเอ่ยปลอบใจ

เหวินฉีเหวินแย้มยิ้ม

คำพูดเมื่อครู่ เขาแค่จงใจกล่าวไปเช่นนั้น

เพื่อให้บรรยากาศพูดคุยมีชีวิตชีวาขึ้นเท่านั้น

อันที่จริงเขาไม่สนใจช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวเหล่านั้นในอดีตตั้งนานแล้ว

ทว่ายามที่เขาโดดเดี่ยวที่สุด การเล่นสนุกกับชิงเสวี่ยชิงทุกวันกลับเป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขา

ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะมีความรักลึกซึ้งต่อชิงเสวี่ยชิง

“พี่ชิงหรานสบายดีหรือไม่”

เหวินทิงไป๋จิบชาแล้วกล่าว

“เฮ้อ…นายท่านยังอ่อนแออยู่บ้าง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย…บางครั้งก็ยอมลุกจากเตียงเดินไปรอบๆ จวนสองสามหน บางครั้งกินเพียงข้าวต้มชามเดียวติดกันสองสามวัน”

นางเสี่ยวจงกล่าว

เหวินทิงไป๋ได้ยินแล้วจึงพยักหน้า

เขาเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดียิ่ง

แต่เขากลับอิจฉาชิงหรานยิ่งนัก

หลังจากที่มารดาของเหวินฉีเหวินล่วงลับ เหวินทิงไป๋ก็หมดความหวังไปในทันที…

กระทั่งยังอยากจะตามไปด้วยเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายคนเล็กของตน คิดถึงภาระตำแหน่งอันหนักหน่วงของรัฐหง ก็จำต้องผ่านมันไปให้จงได้

โชคดีที่เขาอดทนมาได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อความเห็นแก่ตัวและความรักลึกซึ้งของตน

จากมุมมองของผู้อื่นแล้วเช่นนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

แต่มีเพียงเหวินทิงไป๋เท่านั้นที่รู้ว่าเขาอยากปล่อยวางทุกสิ่งมากเพียงใด และเอาแต่จมอยู่ในอดีตเหมือนกับชิงหรานสหายรักของตน

จนกระทั่งตอนนี้ เหวินทิงไป๋ไม่สนว่าทุกวันจะดึกเพียงใด มักจะจุดธูปไหว้มารดาของเหวินฉีเหวินก่อนเข้านอนเสมอ

หากยามที่ทานอาหารไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ก็จะวางชามและตะเกียบเพิ่มไว้ด้านข้างอีกชุด

“ควรโน้มน้าวใจอย่างเต็มที่…โดยเฉพาะเสวี่ยชิงไปเยี่ยมท่านพ่อบ่อยๆ เจ้าไปแล้วเขาจะต้องมีความสุขเป็นแน่!”

เหวินทิงไป๋กล่าว

ชิงเสวี่ยชิงพยักหน้า

“ไฉนวันนี้ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐจึงมีเวลามานั่งเล่นที่นี่ได้เล่า”

นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม

พูดคุยตามมารยาทเสร็จสิ้นก็ควรจะเข้าประเด็นหลักเสียที

นางรู้ว่าเหวินทิงไป๋มาที่นี่ย่อมต้องมีเรื่องร้องขอเป็นแน่

“ไม่รู้ว่าฮูหยินรู้หรือไม่ว่าช่วงนี้เกิดสิ่งใดขึ้นในอาณาจักรเจิ้นเป่ย”

เหวินทิงไป๋เอ่ยถาม

“แต่ไรมาข้าออกไปข้างนอกน้อยนัก เพียงดูแลข้าวของในจวนเท่านั้น ไม่รู้ว่าใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐกล่าวถึงเรื่องใด”

ระหว่างที่นางเสี่ยวจงกล่าวนั้น จึงนึกทวนเหตุการณ์ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยในช่วงนี้ตามที่เขารู้ในหัวอีกรอบ

“เบี้ยหวัดของทัพชายแดนอาณาจักรเจิ้นเป่ยจำนวนสี่ล้านตำลึงถูกปล้น”

เหวินทิงไป๋กล่าว

“ผู้ใดกันช่างมีความกล้าเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าปล้นเบี้ยหวัดทัพชายแดน?!”

นางเสี่ยวจงแสร้งทำเป็นประหลาดใจแล้วกล่าว

เรื่องนี้นางย่อมรู้

“ไม่เพียงแต่กล้า ทั้งยังมีความสามารถอีกด้วย”

เหวินทิงไป๋กล่าวต่อทันที

ในวาจาแฝงไปด้วยความขมขื่นเล็กน้อย

“แต่ว่ารัฐหงของเราไม่มีทัพชายแดนนี่!”

นางเสี่ยวจงเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าว

“จริงอยู่ที่รัฐหงไม่มีทัพชายแดน แต่รัฐหงมีเหมืองแร่และแร่เหล็ก”

เหวินทิงไป๋กล่าว

นางเสี่ยวจงขมวดคิ้ว

ตอนนี้นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหวินทิงไป๋กล่าววาจาเช่นนี้หมายถึงสิ่งใด

“เมื่อวานข้าเพิ่งได้รับพระราชโองการจากวังเจิ้นเป่ยอ๋อง กล่าวกันว่ากลุ่มคนที่ปล้นเบี้ยหวัดเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะใช้เบี้ยหวัดชุดนี้ซื้อศรธนู ฮูหยินก็รู้ดีว่ารัฐหงของเรามีคลังอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุดในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง แม้ว่าข้าจะออกคำสั่งเข้มงวดให้ปิดตายร้านเครื่องธนูในรัฐหงทั้งหมดทุกแห่งแล้ว แต่…”

“แต่ก็กลัวว่าพวกเขาจะแอบไปซื้อแร่เหล็กและหลอมสร้างด้วยตนเองที่เหมืองแร่หรือ”

นางเสี่ยวจงกล่าวต่อทันที

ความเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการเช่นนี้ ทำให้เหวินทิงไป๋ค่อนข้างละอายใจอยู่บ้าง

“เป็นเช่นนี้จริงๆ”

เหวินทิงไป๋กล่าว

“ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐต้องการให้จวนชิงพวกเรากระทำสิ่งใด”

นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม

เหวินทิงไป๋กล่าวพลางลดเสียงต่ำ

นางเสี่ยวจงเงียบไม่เอ่ยวาจา

นางรู้ว่าเหวินทิงไป๋ต้องการให้จวนชิงและรัฐหงเกี่ยวดองแน่นแฟ้น

แต่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ เมื่อจวนชิงเข้ามาแทรกแซง ไม่แน่ว่าจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนได้

ครู่หนึ่ง นางเสี่ยวจงไม่อาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

“ฮูหยินไม่ต้องเป็นกังวลไป เรื่องนี้บางทีอาจต้องหารือกับพี่ชิงหราน!”

เหวินทิงไป๋กล่าว

“จวนชิงข้าพอจะมีหนทางที่เหมืองแร่อยู่บ้าง”

นางเสี่ยวจงครุ่นคิดอยู่นานและในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา

“ช่างดียิ่งนัก! แต่ไม่รู้ว่าหนทางนี้น่าเชื่อถือหรือไม่”

เหวินทิงไป๋เอ่ยถามต่อทันที

“หนทางนี้เป็นบุตรชายคนโตของนายท่าน”

นางเสี่ยวจงกล่าว

เหวินทิงไป๋กระจ่างแจ้งทันที

ได้ยินมานานแล้วว่าบุตรชายคนโตของชิงหรานออกไปหาเลี้ยงชีพที่เหมืองแร่

แต่หลังจากที่เขาส่งคนไปสอบถามที่เหมืองแร่กลับไม่มีผู้ใดสกุลชิง

มีเพียงผู้หนึ่งนามว่านายท่านจินและโดดเด่นในเหมืองแร่เป็นอย่างมาก

ตอนนี้ดูเหมือนว่านายท่านจินผู้นี้จะต้องเป็นบุตรชายคนโตของชิงหรานเป็นแน่

หลังจากที่ชิงหรานล้มป่วยก็ถูกนางเสี่ยวจงบีบจนต้องออกจากจวนชิง

แท้จริงแล้วนายท่านจินผู้นี้แปลงโฉม เปลี่ยนสกุล ‘ชิง’ ของตนให้พ้องเสียงกับ ‘จิน’

“เช่นนี้นี่เอง…ไม่รู้ว่าฮูหยินสามารถช่วยติดต่อให้ได้หรือไม่ ข้าจะได้เตรียมส่งเหวินเอ๋อร์ไปทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เหมืองแร่”

เหวินทิงไป๋กล่าว

“ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐวางใจได้ อีกเดี๋ยวข้าจะให้นายท่านเขียนจดหมายสักฉบับ ข้าคิดว่าจะให้เสวี่ยชิงนำไปส่งพร้อมกับเหวินเอ๋อร์ บังเอิญว่านางไม่ได้เจอพี่ชายมาหลายปีแล้วเช่นกัน!”

นางเสี่ยวจงกล่าว

ในเมื่อตัดสินใจลุยน้ำโคลนนี้กับจวนผู้ควบคุมรัฐแล้ว

นางเสี่ยวจงจึงทุ่มทุกสิ่งที่ตนมีหมดหน้าตัก

ไม่เพียงแต่ตกปากรับให้ชิงหรานที่ป่วยหนักเขียนจดหมายเท่านั้น ยังให้บุตรสาวที่ไม่เคยเดินทางไกลไปยังเหมืองแร่ร้างผู้คนอีกด้วย

ครั้นชิงเสวี่ยชิงได้ยินหมายจะโต้แย้ง แต่กลับถูกประโยค ‘รินชา’ ของมารดาตนขัดจังหวะเสียก่อน

จนท้ายที่สุด ชิงเสวี่ยชิงเพียงเปิดปาก ทว่าไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ในเมื่อฮูหยินมีช่องทางก็ช่วยข้าได้มากแล้ว! ข้าจำต้องกลับที่ทำการรัฐไปจัดการงานหลวง!”

เหวินทิงไป๋กล่าว

บางเรื่องออกหน้าไม่ได้ ทำได้เพียงอาศัยอำนาจของจวนชิงจัดการเท่านั้น

“ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐวางใจได้ จวนชิงและรัฐหงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แน่นอนว่าต้องทำสุดความสามารถ!”

ชิงเสวี่ยชิงกล่าว

“ไฉนเหวินเอ๋อร์จึงไม่อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนเล่า”

นางเสี่ยวจงมองเหวินฉีเหวินและเอ่ยอีกครั้ง

เหวินฉีเหวินย่อมน้อมรับด้วยความยินดี

แต่เขาก็ยังต้องถามความเห็นของบิดาตน

“ฮ่าๆ บังเอิญว่าวันนี้ข้างานยุ่ง เจ้าอยู่กับท่านป้าจงที่นี่อีกเดี๋ยวเถิด ทานอาหารเสร็จแล้วยังพูดคุยเรื่องเรียนรู้วิถียุทธ์กับน้องชิงเจ้าได้อีกด้วย”

เหวินทิงไป๋กล่าว

เหวินฉีเหวินจึงพยักหน้ารับ

แต่ชิงเสวี่ยชิงก็ถอนหายใจยาว…

อันที่จริงนางไม่ได้รังเกียจเหวินฉีเหวิน

เพียงแต่นางไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อความรู้สึกกระตือรือร้นเช่นนี้ของเหวินฉีเหวินอย่างไร

หากได้ทานอาหารด้วยกัน บางทีอาจจะพูดคุยกันได้อีกสักหน่อย

อย่างไรเสียมารดาของตนก็ได้ตัดสินใจแทนนางแล้วว่าจะต้องไปพบพี่ชายพร้อมกับเหวินฉีเหวิน

นางมีความทรงจำต่อพี่ชายผู้นั้นเลือนรางยิ่งนัก

หลังจากเติบใหญ่เพียงได้ยินผู้คนเอ่ยถึง ทว่าไม่ได้พบหน้า

นางเสี่ยวจงขอให้ชิงเสวี่ยชิงพาเหวินฉีเหวินไปยังสวนด้านหลังก่อน

ส่วนตนลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งเหวินทิงไป๋ที่ประตูจวน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท