บทที่ 546 ส่งมอบรางวัล
“แล้วจักรพรรดิต้องการพบเจ้าไปทำไม?” หลังอู๋ฝานกลับมาถึงศาลาพักม้า อูหย่าจึงเอ่ยถามขึ้นมา
แม้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางแล้ว แต่พอกล่าวถึงอีกฝ่ายอูหย่าก็อดรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ได้ อาณาจักรหนานปิงเคยอยู่เบื้องล่างอาณาจักรเหยียนเฟิงมาโดยตลอด และกองทัพของอาณาจักรเหยียนเฟิงก็ข่มเหงผู้คนของอาณาจักรหนานปิงมาเนิ่นนาน นางคือองค์หญิงสามแห่งหนานปิง จึงเป็นการยากที่จะมองจักรพรรดิชราในแง่ดี
“ไม่มีอะไร แค่พูดคุยกันเรื่องที่ดินศักดินาน่ะ” อู๋ฝานตอบกลับ
เขาไม่ได้บอกให้อูหย่าทราบเรื่องภารกิจลอบสังหารที่ได้รับมา อย่างไรหญิงสาวก็เป็นองค์หญิงแห่งหนานปิง และจักรพรรดิคนปัจจุบันแห่งหนานปิงก็ยังเป็นพี่สี่ของนาง อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่าจักรพรรดิอูเฉียนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ราชวงศ์ หากผลการตรวจสอบออกมาว่าอูเฉียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อูหย่าก็คงไม่ตั้งตัวต่อต้านอีกฝ่าย และถึงเวลานางคงไม่ยอมอยู่เฉยดูอู๋ฝานสังหารพี่ชายของตนเอง
ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกไม่ให้อูหย่าทราบถึงภารกิจลอบสังหาร อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เกิดการขัดขวางที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
นับเป็นโชคดีที่อูหย่าไม่ได้สงสัยอะไรในคำตอบของอู๋ฝาน อาจเป็นเพราะนางเองก็คงไม่คาดคิด ว่าจักรพรรดิชราจะมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นออกมา
“ที่ดินศักดินาเป็นที่ใด?” อูหย่าเอ่ยถาม
“ตอนนี้ยังไม่ทราบ” อู๋ฝานยักไหล่ตอบกลับ “แต่เดี๋ยวไม่ช้าคงได้ทราบ”
ทันทีที่อู๋ฝานเอ่ยคำจบ เสียงแหลมสูงจึงดังขึ้นที่ภายนอก
“พระราชโองการมาเยือน!”
มาแล้ว!
อู๋ฝานมองตามเสียงไปด้วยท่าทีตื่นตกใจ เขาค่อนข้างคาดหวังกับที่ดินศักดินา เนื่องจากเคยช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้ ดังนั้นคงไม่ตอบแทนกันด้วยที่ดินรกร้างไร้การพัฒนาหรอกใช่หรือไม่?
อู๋ฝานกระชับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พร้อมบอกอูหย่าให้อยู่ในห้องอย่างสงบ จากนั้นจึงนำลั่วเยวี่ยเดินออกไปจากห้อง
ขณะเดินมาถึงลานบ้าน ลั่วหยางและข้ารับใช้คนอื่นต่างรอคอยด้วยอาการนอบน้อม เนื่องจากเจ้านายได้รับพระราชโองการ ข้ารับใช้ทุกคนจึงต้องมาอยู่อย่างพร้อมหน้า
นอกจากพวกลั่วหยางแล้วก็ยังมีขุนนางคนอื่นที่อาศัยอยู่ในเรือนอื่นของศาลาพักม้าได้ยินเสียงดังจึงออกมารับชม ชั่วชีวิตของหลายคนไม่เคยเห็นพระราชโองการด้วยซ้ำ ขณะนี้ได้เห็นพระราชโองการมาเยือน จึงต้องการมาร่วมรับชมว่าแท้จริงเป็นเช่นไร
“ใต้เท้าอู๋รับพระราชโองการ” บุคคลที่นำพระราชโองการมาประกาศคือขันทีที่นำทางอู๋ฝานไปเยือนวังหลวงก่อนหน้านี้ คนทั้งสองพอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง เมื่อเจอหน้ากันจึงยิ้มให้เล็กน้อย เป็นการแสดงออกถึงความสุภาพและยินดีต่อเรื่องราว
“อู๋ฝานรับพระราชโองการ” อู๋ฝานประสานมือตอบรับโดยไม่คุกเข่า
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าขุนนางในพื้นที่ต่างเริ่มพูดกันออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะมันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นผู้อื่นไม่คุกเข่าลงตอบรับพระราชโองการ หลายคนกระทั่งรู้สึกว่าการกระทำอันหยาบคายนี้สมควรต้องได้รับโทษ ในไม่ช้าชายหนุ่มจะถูกองค์เหนือหัวตำหนิและมอบบทลงโทษให้
แต่ขันทีผู้นำพระราชโองการมาไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับทราบอยู่แล้วว่าอู๋ฝานจะตอบรับเช่นนี้ ใบหน้าของเขายังคงยิ้มแย้ม ก่อนจะคลี่ม้วนสารพระราชโองการเพื่ออ่าน
“เนื่องด้วยสวรรค์ประทานพร จักรพรรดิรับสั่งให้ชื่นชมความกล้าหาญไม่หวาดกลัวของจื่อเจวี๋ยอู๋ฝาน ผู้มีทั้งสติปัญญาและความยอดเยี่ยม ทำความดีความชอบช่วยเหลือปัดป้องศัตรูจากเหตุการณ์อันรุนแรง จึงได้แต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการรักษาความสงบ บัญชาการค่ายจิ้งจอกขาวที่ประจำการอยู่ในเทศมณฑลชิงหยวน และยังตกรางวัลเป็นจวนหนึ่งหลัง ร้านค้าหนึ่งแห่ง ม้าสิบตัว เหรียญทองห้าพันเหรียญ ผ้าไหมหนึ่งร้อยผืน และกระบี่เลื่องชื่อแห่งนครเหยียนหยาง พร้อมรับสั่งให้เทศมณฑลชิงหยวนเป็นที่ดินศักดินาแก่จื่อเจวี๋ยอู๋ฝาน ทั้งหมดนี้จะมีผลในทันทีที่ประกาศราชโองการ”
“เป็นพระกรุณา!” อู๋ฝานประสานมือคำนับตอบในทันทีที่ขันทีอ่านราชโองการจบ
“ขอแสดงความยินดีแก่ผู้บัญชาการอู๋ เนื่องจากผู้บัญชาการอู๋ได้รับความโปรดปรานจึงมีอนาคตอันแจ่มใสรุ่งโรจน์ หวังว่าจะไม่ลืมเลือนพระกรุณาและช่วยแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท” ขันทีผู้นั้นเผยยิ้มออกมา
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ” อู๋ฝานก้าวเท้าเข้าไปสองก้าว ก่อนจะส่งเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ขันทีผู้นั้น “ลำบากกงกงเดินทางมาไกลแล้วขอรับ”
“ไม่ได้ลำบากใด ๆ หามิได้ เป็นเกียรติแก่ตระกูลข้าที่ได้อ่านพระราชโองการให้แก่ใต้เท้าอู๋” ขันทีผู้นั้นยิ่งเผยยิ้มกว้างมากขึ้น
“ขอเสียมารยาทต่อกงกงแล้ว ผู้บัญชาการรักษาความสงบนี้เป็นขั้นใดหรือขอรับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
ระบบทางการทหารของอาณาจักรเหยียนเฟิงค่อนข้างยิบย่อย สูงที่สุดย่อมเป็นจอมพลแห่งทหารบกและทหารม้า แต่ตำแหน่งดังกล่าวนั้นไร้ขั้น เนื่องจากต้องได้รับการแต่งตั้งพิเศษจากจักรพรรดิในช่วงเวลาศึกสงคราม รองลงมาจึงเป็นขุนพลใหญ่ที่ถือเป็นขั้นที่หนึ่ง จุดต่ำสุดของระบบทางการทหารคือขั้นที่เก้าครึ่งล่าง และระหว่างนั้นยังมีการแบ่งขั้นและระดับที่ยิบย่อย อู๋ฝานย่อมไม่อาจจดจำได้หมด ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าผู้บัญชาการรักษาความสงบของตนเองเป็นขั้นใด
“ผู้บัญชาการรักษาความสงบเป็นขั้นที่แปดเต็มบน แท้จริงแล้วใต้เท้าอู๋กระโดดข้ามจากการไม่มีขั้นมาสู่ขั้นที่แปดเต็มบนได้ เป็นการแสดงออกว่าองค์เหนือหัวโปรดปรานผู้บัญชาการอู๋ถึงเพียงใด” กงกงเผยยิ้มตอบรับ พร้อมเอ่ยคำชมไม่ขาด
ขั้นที่แปดเต็มบน? นับว่าเป็นก้าวที่ดี
ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ก่อนหน้านี้ไม่มีระบบขั้นมาข้องเกี่ยว เป็นเพียงแค่นาม เหมือนดังผู้ช่วยตำรวจในชีวิตจริงที่ไม่ได้มียศตำแหน่ง แต่ขณะนี้ได้เป็นถึงผู้บัญชาการรักษาความสงบ มันคือการกระโดดจากขั้นที่เก้าครึ่งล่าง ขั้นที่เก้าครึ่งบน ขั้นที่เก้าเต็มล่าง ขั้นที่เก้าเต็มบน ขั้นที่แปดครึ่งล่าง ขั้นที่แปดครึ่งบน ขั้นที่แปดเต็มล่าง การสำเร็จขึ้นเป็นขั้นที่แปดเต็มบนคือการข้ามมาถึงเจ็ดระดับย่อย นับเป็นความก้าวหน้าที่ไม่ใช่ธรรมดา
ตอนที่อู๋ฝานเข้าร่วมกับค่ายวิหคก่อนหน้านี้ เพราะค่ายวิหคถือเป็นค่ายทหารจับฉ่าย ผู้บัญชาการค่ายจึงมีสถานะต่ำเตี้ยตามไปด้วย ในฐานะผู้บัญชาการค่ายวิหค อวี่เฟยเป็นเพียงผู้บัญชาการพลเรือน เป็นขั้นที่เก้าเต็มบน ส่วนเหล่าหัวหน้ากองพันทั้งหลายไม่ได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายกเว้นโจวซานเอาไว้คนหนึ่ง อีกฝ่ายคือผู้บัญชาการกองทัพเฟยสยง เป็นถึงขั้นที่แปดครึ่งบน แต่เพราะเกิดคดีขึ้นจึงถูกลดตำแหน่งลงมา หลังสร้างความดีความชอบจึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกลับคืน
แม้เป็นเช่นที่ว่า แต่อู๋ฝานในปัจจุบันกลับมีลำดับขั้นสูงกว่าโจวซานแล้วถึงสองขั้น ทั้งที่อีกฝ่ายใช้เวลาอยู่กับกองทัพเฟยสยงมานาน ต่อสู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังเป็นได้เพียงแค่ผู้บัญชาการรักษาดินแดน อาศัยเพียงแค่มุมมองนี้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกขึ้นมาว่าตำแหน่งผู้บัญชาการรักษาความสงบนับเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาพึงพอใจมากนัก เนื่องจากหน่วยของเขาประจำการอยู่ที่เทศมณฑลชิงหยวน เขาเป็นแค่ขั้นที่แปดเต็มบน ขณะที่ผู้ว่าการเทศมณฑลกัวเป็นขั้นที่เจ็ดเต็มล่าง จึงถือว่าสูงกว่าอู๋ฝานอยู่เกือบหนึ่งขั้นใหญ่ ลำดับขั้นขุนนางเป็นอะไรที่สามารถใช้กดดันกันได้ เดิมชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากไปข้องเกี่ยวอะไรกับผู้ว่าการเทศมณฑลกัวอยู่แล้ว เพียงแต่ยากจะรับรองได้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเห็นเป็นอื่นหรือไม่
‘โชคดีหน่อยที่ที่ดินศักดินาเป็นเทศมณฑลชิงหยวน ขุนนางปกครองไม่ได้ยุ่งกับขุนนางฝ่ายทหารอยู่แล้ว แต่ถ้ากล้าที่จะหาเรื่องก็ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องมากมารยาท ไม่มีอะไรต้องกลัวเกรงทั้งนั้น!’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
อู๋ฝานค่อนข้างประหลาดใจเสียด้วยซ้ำที่ที่ดินศักดินาถูกคัดเลือกและได้รับเป็นเทศมณฑลชิงหยวน แต่ก็รู้สึกว่ามันสมควรต้องเป็นแบบนี้ เนื่องจากเขามาจากที่นั่น เพียงแต่อีกประเด็นหนึ่งคือการที่ก่อนหน้านี้เคยสอบถามจากหลี่จื่อหยาง อีกฝ่ายกล่าวว่าที่ดินศักดินาของจื่อเจวี๋ยจะมีขนาดราวหมู่บ้านหรือว่าเมืองแห่งหนึ่ง นับเป็นเรื่องหาได้ยากที่จื่อเจวี๋ยจะได้เทศมณฑลเป็นที่ดินศักดินา อาศัยแค่จุดนี้ก็แสดงออกมากพอแล้วว่าจักรพรรดิตกรางวัลอย่างงามเพียงใดให้แก่ตนเอง
มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ที่ยามขันทีประกาศราชโองการจะเอ่ยคำชมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่จักรพรรดิมีให้แก่อู๋ฝาน