สืบแค้นคุณหนูสวมรอย – ตอนที่ 290 ปราบโจรราบคาบ

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

ตอนที่ 290 ปราบโจรราบคาบ

โถงประชุมค่ายเมฆาดำ บรรยากาศเคร่งเครียด

หัวหน้าหกสีหน้าตื่นเต้น “เจิ้นฝูสื่อบอกแล้ว อย่างช้าสุดเจ็ดแปดวันจะนำกองกำลังหนิงซานมา พี่รอง พี่น้องเราไม่อาจนั่งรอความตาย!”

“เจ้าหกมีความเห็นอย่างไร” แววตารองหัวหน้าวูบไหว

“แน่นอนสู้ตายกับพวกเขา!” หัวหน้าหกตบโต๊ะ “พวกเรามีพี่น้องมากมายเพียงนี้ ยังมีชัยภูมิได้เปรียบ พวกเขาคิดปราบค่ายโจรเรา ก็ต้องเอาชีวิตมาแลกชีวิตกับพี่น้องเราสามสี่ร้อยคน อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องใช้กำลังนับพันจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะกำชัยชนะ”

“ความหมายของน้องหกก็คือสู้ด้วยชีวิตให้ถึงที่สุด?” หัวหน้าสามถาม

หัวหน้าหกมองหัวหน้าสามทีหนึ่งอย่างแปลกใจ “ค่ายเมฆาดำก็คือบ้านของพวกเรา คนเขาจะมาทำลายบ้านเรา ไม่สู้ด้วยชีวิตให้ถึงที่สุด หรือว่ายังมีทางเลือกอื่น”

“ถูกต้อง สู้กับพวกเขาให้ตายไปข้าง! แม้ตายก็อย่าให้พวกเขาสบายเกินไป พวกเราตายไปหนึ่ง พวกเขาต้องตายสาม!” คนฝั่งหัวหน้าหกตอบรับอย่างตื่นเต้นตาม

รองหัวหน้าพยักหน้า “อีกสักครู่นับจำนวนคนที่ไปร่วมต่อสู้ได้สักหน่อย จะได้วางแผน”

พอพวกหัวหน้าหกออกไป หัวหน้าสามก็แค่นเยาะ “น่าขัน ผู้อื่นตายเท่าไรมีความหมายอันใด ชีวิตเรามีเพียงชีวิตเดียว!”

รองหัวหน้ายกมือขึ้น “ทุกอย่างรอน้องห้ากลับมาค่อยว่ากัน”

พอตกค่ำ หัวหน้าห้าก็แอบกลับมา เพราะเปลี่ยนคนเฝ้าประตูค่ายเป็นคนตนเอง ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะแพร่ออกไปถึงหูพวกหัวหน้าหก

พอเห็นสีหน้าของหัวหน้าห้า ในใจรองหัวหน้าก็หนักอึ้ง “สภาพการณ์ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่ได้การอย่างยิ่ง!” หัวหน้าห้าเล่าเรื่องหลังจากเขาเข้าเมืองไปทันที “ว่ากันว่าจะเคลื่อนกองกำลังหนิงซานสองพันมาโจมตีค่ายเมฆาดำ!”

“พวกเขาเคลื่อนกำลังคนได้มากมายเพียงนี้หรือ” หัวหน้าสามไม่อยากเชื่อ

พวกเขาไม่เหมือนโจรค่ายเมฆาดำพวกนี้ พวกเขาเป็นทหารเมืองหลวง มีประสบการณ์มากกว่า รู้ดีว่าการเคลื่อนกำลังคนสองพันนายไม่ใช่เรื่องง่าย

“เจิ้นฝูสื่อสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินผู้นี้มีตราคำสั่งทหาร คุณชายซินท่านนั้นสถานะไม่น่าจะธรรมดา ข้ายัดเงินถามเจ้าหน้าที่อำเภอนายหนึ่ง บอกว่าคุณชายซินสถานะสูงศักดิ์มาก กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเดินทางมาครั้งนี้นำตราคำสั่งทหารมาด้วยก็เพื่ออารักขาเขา และผู้ที่ต้องการปราบค่ายเมฆาดำก็คือความคิดของคุณชายซิน…”

รองหัวหน้าสบตากับหัวหน้าสาม แววตาเคร่งเครียดพร้อมกัน

“แล้วคนที่ทำการอำเภอพวกนั้นล่ะ” รองหัวหน้าถาม

หัวหน้าห้าสีหน้ายิ่งย่ำแย่ “ตอนข้าเข้าเมืองไปก็เห็นศีรษะนายอำเภอเจิ้งแขวนอยู่บนกำแพงเมือง ได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่า หวางจู่ปู้เองก็ถูกจับไปขังแล้ว ตอนนี้ผู้คุมการทำงานของที่ทำการอำเภอก็คือรองนายอำเภอ หยาง เจ้าสุนัขนี่แข็งขันเสียยิ่งกว่ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเสียอีก ฝึกซ้อมกำลังเจ้าหน้าที่ไม่น้อยทุกวัน ยังจ้างชาวบ้านใช้แรงงานมาทำงานจิปาถะสนับสนุนการทำงานอีก”

พอถามคำถามละเอียดแล้ว รองหัวหน้าก็นิ่งเงียบ

หัวหน้าห้าเป็นคนใจร้อน “พี่รอง วันนี้พวกเราหารือกันแล้วได้ความว่าอย่างไร พวกค่ายเมฆาดำว่าอย่างไร”

หัวหน้าสามเล่าเรื่องที่หารือกัน แล้วก็มองไปทางรองหัวหน้า “พี่รอง พี่คงไม่ได้เหมือนพวกเจ้าหกที่สาบานว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับพวกค่ายเมฆาดำใช่ไหม”

“เจ้าสามคิดอย่างไร”

ล้วนคนกันเอง หัวหน้าสามย่อมเอ่ยตามตรง “ค่ายเมฆาดำเกี่ยวอันใดกับพวกเรา พวกเราเลือกมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเป็นหลุมหลบภัยหาความสำราญ ตอนนี้ที่หลุมหลบภัยนี้ไม่อาจหลบพายุฝนได้อีกแล้ว พวกเราเปลี่ยนที่ใหม่ก็แล้วกัน”

หัวหน้าห้าพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ พวกค่ายเมฆาดำเรียกพวกเราว่าพี่น้องกันเพียงแค่ต่อหน้า ก็มิใช่เพราะพวกเราสังหารหัวหน้าพวกเขาไปหลายคนทำให้พวกเขาตกใจจนยอมสยบหรือ ไม่แน่ในใจพวกเขาอาจยังคับแค้นใจพวกเราอยู่ ทางการต้องการปราบค่ายเมฆาดำ ก็ให้พวกเขาปราบไปสิ พวกเราสะบัดตูดหนีไปตอนนี้ ทางการจะไปหาตัวพวกเราได้ที่ใด”

รองหัวหน้าเองก็คิดเช่นนี้ เห็นพี่น้องสองคนเห็นตรงกัน หารือละเอียดแล้วก็เริ่มวางแผนหนี

เส้นทางภูเขาอันตรายสูงชัน เดินทางยามค่ำคืนย่อมทำไม่ได้ แต่หากรอถึงเช้า ถูกพวกหัวหน้าหกรู้ทันเข้า ไม่มาลากพวกเขาสามคนไปหรือ จึงตัดสินจะมอมเหล้าหัวหน้าหกแล้วก็พวกหัวหน้าในค่ายเมฆาดำเดิมทั้งหมด

วันต่อมาทุกคนในค่ายโจรก็มารวมตัวกันหารือที่โถงประชุม

รองหัวหน้ายกจอกสุราขึ้นคำนับทุกคน “ศึกอันตรายอยู่ตรงหน้า พวกเราไม่อาจพูดจาไม่มงคล พี่น้องดื่มกันสักครั้งให้หนำใจ รอให้กำราบขุนนางสุนัขพวกนั้นหนีไปแล้ว พวกเราค่อยมาดื่มกันให้หนำใจอีกครั้ง!”

“เยี่ยม!”

ทุกคนดื่มกันทันทีแล้วก็ยกอีกจอกขึ้น

ดื่มกันไปหลายแก้ว หัวหน้าหกก็เริ่มโงนเงน จอกในมือก็ร่วงลงพื้น ร่างก็ล้มพับตามไป

เห็นคนค่ายเมฆาดำพากันสลบไปแล้ว รองหัวหน้าลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “ไป!”

ค่ายเมฆาดำมีคนที่มีกำลังต่อสู้สองร้อยนาย ยามนี้ไปฝึกที่หลังเขาแต่เช้าตรู่เพื่อรอรับมือกับศึกใหญ่ที่จะมาถึง ทางรองหัวหน้ามีคนราวหนึ่งร้อยจึงแยกตัวหนีได้ กอปรกับคนเฝ้าประตูค่ายเป็นคนของตนเอง จึงหนีออกจากค่ายโจรได้อย่างราบรื่นยิ่ง

ในยามนี้เอง หัวหน้าหกที่เดิมสลบไปแล้วก็ลืมตาขึ้น

“ตื่นๆ”

เขาตบเรียกพี่น้องที่ได้กินยาแก้ไปก่อนหน้านี้แล้วสองคน คนที่เหลือไม่ถนัดเสแสร้งก็ย่อมต้องปล่อยให้โดนยาสลบไปก่อน ราดน้ำเยียบเย็นลงไปปลุกให้ตื่น

“พวกเขาไปแล้วจริงหรือ”

“อืม”

โจรภูเขาที่ถามโดนน้ำเย็นราดก็ด่าทอดุดัน “แม่สุนัขเลี้ยงมันมาจริงๆ!”

“หัวหน้าหกพูดได้ถูกต้อง สุนัขพวกนี้ไม่มีวันเยี่ยวกระบอกเดียวกับพี่น้องค่ายเรา ปกติก็ยิ้มแย้มกันดี แต่ยามคับขัน คนที่แทงดาบใส่พวกเราคนแรกก็คือพวกมัน”

หัวหน้าหกสีหน้าคับแค้นใจ รู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจของตนอีกครั้ง “ดังนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว”

ผ่านไปไม่นาน สายลับที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ก็เข้ามารายงาน “หัวหน้าหก พวกเขาผ่านเนินเขาผิงอันแล้ว”

เนินเขาผิงอันก็คือชื่อเรียกที่ชาวค่ายเมฆาดำใช้เรียกเส้นทางภูเขาแถบนั้นที่มีชัยภูมิพิเศษ และก็คือสิ่งที่ทำให้ค่ายเมฆาดำอยู่รอดปลอดภัยมาได้หลายปีเช่นนี้

ได้ยินว่าพวกรองหัวหน้าผ่านพ้นเนินเขาผิงอันไปแล้ว หัวหน้าหกก็หัวเราะดังพร้อมกับสั่งการว่า “แขวนแพรแดงแจ้งข่าว”

ผ้าแพรแดงผืนใหญ่ถูกแขวนขึ้นบนเสาไม้สูง โดดเด่นท่ามกลางภูเขาสีเขียวและดินสีน้ำตาล

พวกรองหัวหน้าเดินผ่านเนินเขาผิงอันมาได้ ก็มีคนหันไปมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นสีแดงสะบัดรับแรงลมก็นึกสงสัย “นั่นคืออะไร”

รองหัวหน้าหันไปมอง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน “ไม่ได้การแล้ว!”

เขาเพิ่งตะโกนจบ ก็มีลูกศรมากมายนับไม่ถ้วนยิงแหวกอากาศมา

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นต่อเนื่อง ห่าลูกศรเก็บกวาดไปสิบกว่าชีวิต แล้งน้ำใจและง่ายดายยิ่ง

“รีบถอย กลับค่าย!”

แม้ว่ารับรู้แล้วว่าผิดปกติ แต่สิ่งแรกที่รองหัวหน้าเลือกก็คือถอยกลับค่ายเมฆาดำ มีคนซุ่มดักอยู่เท่าไรไม่อาจรู้ได้ ถอยกลับไปยึดครองชัยภูมิที่ดีจึงจะมีโอกาสรอด

คนหนึ่งร้อยกว่าคนพากันเบียดไปบนเส้นทางภูเขา ได้ยินคำสั่งรองหัวหน้าก็รีบหันหลังวิ่ง ก้อนหินนับไม่ถ้วนก็ถูกโยนลงมาจากที่สูงไม่ยั้ง

“อ๊าก…”

เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นสี่ทิศ มีคนกลิ้งลงไปข้างเนินเขาสูงชัน มีคนถูกกระแทกเลือดเนื้อแหลกละเอียด ท่ามกลางความหวาดกลัว มีคนวิ่งกลับไปต่อ แต่มีคนมากยิ่งขึ้นเลือกวิ่งลงเขา พอเป็นเช่นนี้ก็ทำให้สถานการณ์เริ่มชุลมุน ลูกศรและก้อนหินดังห่าฝน เนินเขาที่ถูกเรียกว่าผิงอันกลายเป็นขุมนรกบนโลกมนุษย์

เห็นพี่น้องข้างกายล้มตายอนาถไปทีละคน คนที่ยังยืนอยู่ได้ก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ รองหัวหน้าไม่มีความกล้าหาญที่จะต่อต้านอีกแล้ว ตะโกนดังขึ้นว่า “ข้าคือรองหัวหน้าค่ายเมฆาดำ ข้ายอมแพ้!”

ก้อนหินและลูกศรดังห่าฝนหยุดลง

รองหัวหน้าผ่อนลมหายใจโล่งอกด้วยสัญชาตญาณก่อนม่านตาจะหดเกร็ง

ลูกศรหนึ่งพุ่งตรงมาเข้านัยน์ตาเขา ปักลงกลางหว่างคิ้วเขาพอดี

พอรองหัวหน้าล้มลงตึง ซินโย่วก็ถือธนูเดินออกมา

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

สืบแค้นคุณหนูสวมรอย

Status: Ongoing
เมื่อมารดาถูกสังหาร ซินโย่วจึงมายังเมืองหลวงเพื่อสืบหาตัวฆาตกร แต่เมื่อสืบลึกลงไปก็กลับต้องพบกับความจริงอันน่าตกใจภายในนั้น…รายละเอียด นิยายรัก-สืบสวน ครบรสจากนักเขียนมากฝีมือ ‘ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย’ขณะที่ ซินโย่ว กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสืบหาเบาะแสสำคัญของฆาตกรสังหารมารดาก็ได้บังเอิญจับพลัดจับผลูตกหน้าผาแล้วเข้าสวมรอยฐานะของ โค่วชิงชิง คุณหนูหลานนอกของจวนรองเจ้ากรมพระราชยานหลวงเข้าเพราะทรัพย์สินมากมายโค่วชิงชิงจึงถูกญาติที่มาหวังพึ่งพิงผลักตกหน้าผาจนถึงแก่ความตาย นั่นทำให้นางได้เข้ามาสวมฐานะของอีกฝ่ายซินโย่วนั้นมีดวงตาที่พิเศษกว่าคนทั่วๆ ไป นางสามารถมองเห็น ‘เรื่องร้าย’ ที่จะเกิดขึ้นกับคนผู้หนึ่งได้โดยไม่เลือกว่าจะเป็นผู้ใด เวลาไหนประกอบกับไหวพริบอันชาญฉลาดทำให้นางสามารถอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพื่อสืบเรื่องฆาตกรสังหารมารดาซินโย่วจำต้องใช้ฐานะใหม่ที่มีสืบหาเบาะแสจาก ‘บันทึกโบตั๋น’ เปื้อนเลือดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งสืบลงลึกเรื่องราวก็เหมือนจะซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเรื่องราวในอดีตเบาะแสที่โยงใยสืบเนื่องกันมา ได้เวลาเผยโฉมแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท